เมื่อน้ำมา ฉันจึงไป
ถึงแม้จะไม่ได้รีบเขียนแบบสดๆ ร้อนๆ ทันต่อเหตุการณ์ แต่ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง จนถึงวันนี้ ผ่านไปแล้ว 2 สัปดาห์กว่า จึงพร้อมที่จะเขียนเรื่องราวครั้งหนึ่งในชีวิต (และหวังว่าครั้งเดียวพอนะ) เก็บไว้เป็นที่ระทึกและระรึก ด้วยในคราวเดียว
เนื่องด้วยเหตุการณ์มีที่มาและที่ไป รวมแล้วก็ต่อเนื่องหลายวันอยู่ ดังนั้นก็ขอเขียนออกมาเป็น timeline (เดี๋ยวนี้อะไรๆ ก็ต้อง timeline ถึงจะ in trend)
18 ต.ค. 2554 น้ำมาวันแรก
เหตุการณ์จริงๆ ก็เริ่มตั้งแต่ตอนสายๆ/บ่ายๆ ที่มีข่าวว่าคันกั้นน้ำแถวบ้านเริ่มทยอยกันแตก ทำให้น้ำที่เคยกั้นไว้ไม่ให้ท่วมออกไปเป็นวงกว้าง ก็เริ่มไหลออกมาจากจุดที่เคยโดนกีดขวางไว้ และกระจายตัวออกไปเรื่อยๆ
ต้องบอกว่าความจริงปริมาณน้ำในวันนี้ยังไม่ถือว่าน่าเป็นห่วงนัก หลายๆ คนก็เริ่มรู้สึกตัวว่า "อืม น้ำใกล้เข้ามาแล้วสินะ" เพราะน้ำเท่าที่เห็น ก็แค่เริ่มผุดๆ ขึ้นมาจากท่อระบายน้ำเท่านั้นเอง ยังไม่มีกระแสน้ำที่ไหลมาจากคันกั้นน้ำที่แตกโผล่มาให้เห็น (ยังเดินทางมาไม่ถึง) ดังนั้นหลายๆ คนก็ยังพยายามปลอบใจตัวเองกันว่า "คงไม่ท่วมมากหรอก" แต่หลายๆ คนที่รู้อยู่แล้วว่าถ้าคันกั้นน้ำแถวนั้นแตก ยังไงซะน้ำก็ต้องมาถึงอย่างแน่นอน ก็เริ่มทยอยขนของขึ้นที่สูง (ตอนนั้นยังไม่มีหน่วยงานไหนออกประกาศเตือนให้ขนของเหมือนตอนที่น้ำเข้า กทม. ด้วยซ้ำ)
แน่นอนว่าคนที่ติดตามข่าว (ในทวิตเตอร์) ตลอดเวลาอย่างเรา ก็ต้องเตรียมพร้อมไว้ก่อน ก็ไม่รู้หรอกว่าน้ำมันจะมาเร็วหรือมามากแค่ไหน แต่ก็ต้องทำอะไรที่พอทำได้ไปก่อน นั่นก็คือ การยกของขึ้นที่สูงนั่นเอง
ค่อนข้างโชคดีว่าของๆ เราที่อยู่ชั้นล่างจริงๆ แล้วก็มีอยู่ไม่กี่ชิ้น และอันที่จริง ของที่อยู่ชั้นล่างก็เป็นตู้ใบยาวๆ ที่ไว้เก็บของ (ซึ่งยกไม่ไหวอยู่แล้ว) กับพวกโต๊ะเก้าอี้ ที่เป็นเหมือนของเหลือใช้จากร้าน Bakery ที่เคยเปิด ดังนั้นของที่จำเป็นต้องยกจริงๆ จากชั้นล่างบ้านเราก็มีแค่ พัดลม, เครื่องเสียง (ลำโพงตัวใหญ่สองตู้ กับ sub อีกตัว), โทรทัศน์ (ซึ่งอันนี้ดันมายกวันถัดมา เพราะแม่บอกว่ายังไม่ต้องยก) และอีกอย่างที่เสนอให้รีบย้ายไว้ก่อนเลยก็คือตู้รองเท้า ซึ่งมันวางอยู่ตรงที่พักบันได ที่ต้องให้ย้ายก็เพราะว่าถ้าเวลาต้องขนของขึ้นชั้น 2 จริงๆ มันต้องเกะกะแน่ๆ ก็เลยย้ายมันซะก่อนเลย นอกจากตัวตู้รองเท้าแล้ว ของทุกอย่างก็ขนหนีขึ้นไปไว้ที่ชั้น 3 เพราะชั้น 2 จะได้มีที่ว่างถ้าต้องขนอะไรหนีขึ้นมาอีก
และอีกอย่างที่ต้องเตรียมก็คือ การเคลียพื้นที่ชั้น 2 (ชั้นที่อยู่) เพื่อทำให้ถ้าต้องมีการขนของย้ายขึ้นชั้น 2 จากชั้น 1 จะได้มีพื้นที่วางได้มากขึ้น ก็เลยยกของจากชั้น 2 ขึ้นไปชั้น 3 อีกนิดหน่อย
ผลของการเคลียพื้นที่ชั้นสองไว้ ก็คือ มีการยกโซฟาจากบ้านอีกหลังมาวางไว้จริงๆ นั่นแหละ ซึ่งเจอโซฟาชุดใหญ่หน่อยไปชุดเดียว ชั้นสองบ้านเราก็ไม่เหลือพื้นที่ให้วางอะไรได้แล้ว ขนาดโซฟาตัวนึงจากชั้นล่าง พอยกขึ้นมายังต้องพาดไว้หลังตู้เสื้อผ้าเอาเลย
จะเห็นว่า ความจริงของก็ไม่ได้มีน้อย แต่เนื่องด้วยที่แม่เราค่อนข้างใจเย็น คิดว่าน้ำคงมาไม่มาก ถึงมากก็คงไม่เข้าบ้าน กลัวว่าถ้ารีบยกของหนีแล้ว ถ้าน้ำมันไม่มา เดี๋ยวจะต้องเสียแรงมาขนกลับอีก ซึ่งผลของความคิดแบบนี้ก็คือ พอน้ำมาจริงๆ ก็ต้องมานั่งขนของที่ไม่ยอมขนตั้งแต่ทีแรก (ตอนยังแห้งๆ) และก็ต้องย่ำน้ำขนของมันไม่จบไม่สิ้น (บ่นจนเอือม)
แต่ต้องบอกว่าความจริงที่บ้าน ได้เตรียมความพร้อม(นิดนึง) ไว้ตั้งแต่สัปดาห์ก่อนแล้ว คือได้มีการหากระสอบทรายมาวาง และก่ออิฐขึ้นมากั้นไว้หน้าบ้าน (ซึ่งไอ้อิฐเนี่ยไม่รู้ว่าเป็นข้อดีหรือข้อเสีย แล้วจะบอกต่อไป) ตั้งแต่วันที่ 12 ต.ค. 2554 ก็คือช่วงก่อนน้ำทะเลหนุนสูงตอนกลางเดือนรอบนั้นนั่นเอง แต่พอพ้นช่วงน้ำหนุนสูง ทุกคนก็เริ่มคลายใจ แต่ก็ได้แค่ไม่กี่วันเท่านั้นแหละ ก็เจอฤทธิ์น้ำเหนือเข้าให้...
สรุปสถานการณ์โดยรวมวันนี้ก็แค่อยู่ในระดับเฝ้าระวังเท่านั้นเอง
19 ต.ค. 2554 น้ำเข้าบ้านแล๊ววว!
วันนี้แหละที่เรียกได้ว่าได้สัมผัสกับคำว่าน้ำท่วมกันอย่างจริงจัง เริ่มกันตั้งแต่ตอนเช้าๆ เลย น่าจะประมาณตีสี่ตีห้าได้
ต้องแทรกนิดนึงว่า ตอนที่ตื่น ก็ได้ยินว่า แมวมันกระโดดเข้าไปตรงกองโซฟา แล้วก็หายเงียบไปเลย ตอนนั้นก็ยังไม่ได้คิดอะไร มันก็คงโดดเข้าไปหาที่นอนของมันตามปกติ แต่เรื่องนี้กลายมาเป็นสาเหตุนึงที่ทำให้แม่นั่งกังวลอยู่ทั้งวัน เนื่องจากไอ้แมวเจ้ากรรมมันดันไม่ยอมโผล่ออกมาอีกเลยตั้งแต่เราได้ยินมันกระโดดไปในกองโซฟาตามที่บอก เรียกยังไงก็ไม่หือไม่อือ พยายามหาทั่วบ้านแล้วก็ไม่เจอ แต่ตรงกองโซฟาเองนั้นมันค่อนข้างมีซอกมีหลืบพอสมควร ก็ไม่ได้ถึงกับเลื่อนโซฟาทั้งชุดออกมาหาแมว
และในที่สุดความจริงก็เปิดเผย สักประมาณหกโมงเย็น เรามุดเข้าไปตรงกองโซฟาเพื่อจะหยิบเอาที่กันยุงแบบเสียบปลั๊กออกมาจากซอกนั้น แล้วก็เลยนึกเล่นๆ ดู ว่าถ้าแมวมันซ่อนอยู่ตรงนั้นจะทำยังไงให้มันแสดงตัว ก็เลยทำเสียงขู่ฟ่อๆ ใส่เข้าไปในซอกนั้น แล้วก็แน่ะ! มีเสียงแมวขู่กลับมาด้วยแฮะ ก็สรุปได้ว่าทั้งวันที่มันหายไป มันก็ซ่อนอยู่ในกองโซฟานั่นแหละ ทำเอาคนเป็นห่วงอยู่ได้นานสองนาน
เนื่องจาก cycle การนอนของเราวนมานอนเร็วแล้วก็ตื่นเช้าๆ จึงตื่นมาก่อนชาวบ้าน แต่ก็พบว่าความจริงแล้ว แทบจะทั้งคืนแม่เราไม่ได้หลับเลย แป๊บๆ ก็ลุกไปดูน้ำ แป๊บๆ ก็ลุกลงมาเข้าห้องน้ำ และสักประมาณตีห้า แม่ก็ลงไปเปิดประตูดูน้ำหน้าบ้าน... ก็พบว่า ระดับน้ำสูงขึ้นมาจนจะเข้าตัวบ้านแล้ว
หมายเหตุ: อธิบายลักษณะบ้าน เป็นตึกแถวอยู่ข้างถนนเมนของในหมู่บ้าน ตัวพื้นบ้านก็ยกสูงจากพื้นถนนอยู่แล้วไม่น้อย ดังนั้น ที่บอกว่าระดับน้ำใกล้จะเข้าตัวบ้าน ก็แปลว่าความสูงของระดับน้ำบนผิวถนนจริงๆ ก็สูงเกิน 1 ฟุตขึ้นมาแล้วแน่ๆ อาจถึง 50CM แล้วก็ได้
แต่ถึงแม้ระดับน้ำจะพอๆ กับพื้นบ้านขึ้นมาแล้ว เนื่องด้วยอิฐที่ก่อไว้ ทำให้น้ำยังไม่ไหลเข้าตัวบ้านเข้ามาจริงๆ ดูเหมือนจะเป็นข้อดีที่ก่ออิฐไว้ แต่มันก็มีข้อเสียตรงนี้แหละ
คืออิฐที่ก่อไว้ ไม่ได้ก่อติดกับขอบบ้านเลย แต่มีที่ว่างระหว่างกำแพงอิฐกับพื้นบ้านอยู่สักเกือบฟุต ทำให้มันกลายเป็นร่องน้ำ สาเหตุที่มันเป็นร่องน้ำ ก็เพราะว่ามีรูที่ให้น้ำมันสามารถแทรกซึมเข้ามาได้นั่นเอง จุดหนึ่งก็ติดกับบ้านข้างขวา ซึ่งมีท่อน้ำ ทำให้การก่ออิฐไม่สามารถปิดได้สนิท อีกฝั่งก็บ้านติดกันฝั่งซ้าย ซึ่งเพิ่งมาเจอว่ามันมีปากท่อพีวีซีเก่าที่ไม่ได้ใช้แล้ว เป็นช่องให้น้ำผุดขึ้นมา และทำให้น้ำมาขังอยู่ในพื้นที่ว่างระหว่างตัวบ้านกับอิฐที่ก่อไว้...
ความเซ็งก็คือ แทนที่จะอยู่เฉยๆ รอน้ำขึ้น ก็ต้องมาวิดน้ำออกจากไอ้บ่อเล็กๆ นี่ เพื่อชะลอไม่ให้น้ำมันไหลเข้าบ้าน แต่วิดไป น้ำก็ไหลเข้าไป เพราะไม่สามารถอุดรูรั่วของกำแพงอิฐได้หมดจริงๆ ช่วยกันวิดกับแม่สองคน อยู่หลายรอบ จนไม่รู้จะวิดต่อไปทำไม เพราะน้ำด้านนอกก็สูงขึ้นๆ
จนท้ายสุดน่าจะประมาณสายๆ น้ำก็เริ่มไหลเข้าตัวบ้านเข้ามาแล้วจริงๆ และจากการวัดระดับน้ำ (ด้วยความสูงของขั้นบันได) ก็พบว่าน้ำใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง จะสูงขึ้นได้หนึ่งขั้นบันได ดังนั้นเมื่อตกเย็นระดับน้ำในตัวบ้าน ก็สูงเต็มขั้นบันไดขั้นแรกแล้ว ถัดมาประมาณเที่ยงคืน ระดับน้ำก็สูงขึ้นมาถึงบันไดขั้นที่สอง และแน่นอนว่าตอนนั้น ก็คิดว่าเดี๋ยวตื่นมาพรุ่งนี้ถ้าน้ำมันยังขึ้นด้วยอัตราเดิม (ไม่หวังว่ามันจะเร็วขึ้นอยู่แล้วอะนะ) สักหกโมงเช้า ก็คงถึงบันไดขั้นที่สามกันล่ะ...
จนมาถึงช่วงบ่าย ที่เห็นแล้วว่ายังไงน้ำก็สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องแน่ๆ และสิ่งที่น่าเป็นห่วงอีกอย่างก็คือเรื่อง ไฟฟ้า เพราะที่ชั้นล่างนั้นมีปลั๊กไฟที่อยู่ระดับต่ำหลายจุด พอน้ำขึ้นสูงระดับนึง ก็ต้องคิดถึงการตัดไฟกันแล้ว แต่ยังโชคดี เพราะที่บ้านมีการทำวงจรไฟฟ้าแยกเป็นชั้นๆ ไว้ชัดเจน และในแต่ละชั้นก็มีการแยกระหว่าง ไฟฟ้า(ปลั๊ก) กับ แสงสว่าง(หลอดไฟ) ไว้อีกด้วย
ดังนั้นเมื่อน้ำขึ้นสูงสักครึ่งขั้นบันได ก็จำเป็นที่จะต้องตัดไฟของชั้น 1 กันแล้วล่ะ
สิ่งที่ทำให้ยังไม่ตัดไฟเตรียมไว้ตั้งแต่น้ำเข้าบ้านตอนแรกก็คือตู้เย็นนั่นเอง เนื่องจากตู้เย็นชั้นล่างเป็นแหล่งสะเบียงเพราะเป็นตู้ใหญ่ และไม่สามารถย้ายขึ้นชั้น 2 ได้ ทำได้แค่หาเก้าอี้มารองไว้ เพื่อให้สูงขึ้นมาอีกฟุตกว่าได้แค่นั้น
และผลกระทบโดยตรงจากการตัดไฟชั้นล่างก็คือ "internet" แม้ว่าตัว modem กับ router จะใช้ปลั๊กที่อยู่สูง และทั้งสองชิ้นก็วางไว้สูง แต่วงจรปลั๊กที่ใช้ก็เป็นของชั้น 1 พอตัดไฟของชั้น 1 แล้ว ก็ทำให้เน็ตเดี้ยงตามไปด้วย
แต่แค่การโดนตัดไฟ(ชั้นเดียว) ไม่ทำให้การเชื่อมต่อโลกออนไลน์ของเราโดนตัดขาดอย่างแน่นอน เพราะอย่างไรก็ต้องมีแผนสำรองกันไว้บ้าง ในกรณีที่แย่สุดๆ อย่างน้อยๆ ก็ยังสามารถใช้เน็ตจากมือถือได้ แต่ก็ขอเก็บไว้เป็นกรณีสุดท้ายจริงๆ เพราะแพงและช้ามาก
วิธีที่เลือกใช้ก็คือ จัดการ set up network ขึ้นมาใหม่ ต้องบอกว่าโชคดีมากที่เลือก Linksys WRT54Gl มาใช้เป็น access point ในบ้าน เพราะนอกจากจะสามารถเพิ่มกำลังสัญญาณ Wi-fi ให้ครอบคลุมบ้านได้หลายหลังแล้ว มันยังมีฟังชั่นการใช้งานที่หลากหลาย ทำให้เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ก็สามารถเปลี่ยนการใช้งานไปเป็นรูปแบบอื่น ได้อีกด้วย
เปลี่ยน WRT54Gl ให้กลายเป็น repeater โดยให้มัน repeat สัญญาณของ 3BB ซึ่งเป็น public access point ที่บังเอิญมีให้บริการอยู่ในหมู่บ้านด้วย จากนั้นก็ไปสมัคร package ของ 3BB เพื่อใช้งาน โดยวิธีสมัครที่สะดวกวิธีหนึ่งก็คือ การสมัครผ่าน AIS ทีแรกก็ไม่มั่นใจว่าจะใช้งานได้เลยหรือเปล่า เพราะที่รู้มาคือ ค่าบริการอยู่ที่ 99 บาท ต่อเดือน และเงินในซิม AIS ตอนนั้นมีไม่ถึง แต่เมื่อสมัครใช้งานจริง ก็พบว่า package นี้คิดเงินเป็นรายสัปดาห์ นั่นก็แปลว่าจะหักเงินสัปดาห์ละ 25 บาท ไปเรื่อยๆ
โดยวิธีสมัครใช้งาน wi-fi internet ของ 3BB ก็เพียง กด star 388# จากเบอร์ AIS ของท่าน (ไม่แน่ใจว่าถ้าเป็นรายเดือนจะใช้ได้เหมือนกันหรือเปล่า แต่ 1 2 call ได้ชัวๆ) จากนั้นเราก็จะได้ sms ที่บอก user name และ password มาใช้งาน แต่ถ้ารอสักพักแล้วยังไม่ได้ ก็มีวิธีจาก Call center แนะนำว่าให้กด star 388 star 5# เพื่อขอรับ user name และ password ดูอีกที วิธีสมัครใช้งานสะดวกมากๆ แต่ถ้าคุณจะยกเลิกการใช้บริการ ต้องโทรเข้าไปที่ call center เพื่อให้พนักงานยกเลิกให้นะครับ โดยเมื่อสมัครแล้ว ระบบจะหักเงินทุกสัปดาห์ โดยจะหักในวันเดียวกับที่คุณสมัคร เช่นคุณสมัครใช้บริการในวันพุธ ระบบก็จะหักเงินทุกๆ วันพุธ ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีการยกเลิกการใช้บริการ
การใช้งาน wi-fi internet จาก 3BB ไม่พบปัญหาแต่อย่างใด เมื่อได้ user name และ password มาแล้วก็สามารถใช้ log in ได้ทันที แต่ที่พบปัญหาก็คงเป็นเพราะว่าเราใช้ WRT54GL ทำ repeater เลยเจอว่าพอต่อไปสักพัก เน็ตจะโดนตัด และไม่สามารถต่อได้อีก คือระบบไม่ได้ให้ log in ใหม่ด้วยซ้ำ แต่ทางแก้คือ เราต้องเปลี่ยนให้ router connect กับ SSID ตัวอื่นๆ ของ 3BB แทน ก็ต้องสลับๆ กันไป คาดว่าน่าจะเกิดมาจาก MAC address หรืออะไรสักอย่าง
สรุปแล้วปัญหาการเชื่อต่ออินเทอร์เน็ตของเรา ก็ยังสามารถพอถูๆ ไถๆ ไปได้เกือบจะปรกติ เพราะความเร็วที่ 3BB ให้นั้นก็อยู่ในระดับหลาย Mb ซึ่งไม่มีปัญหาในการใช้งานทั่วๆ ไปอยู่แล้ว
แน่นอนว่า ระหว่างวัน ในระหว่างที่ระดับน้ำเริ่มสูงขึ้นๆๆ แม่ก็ทยอยขนของ (ที่ไม่ยอมขนตั้งแต่แรก) อีกเรื่อยๆ ไม่ก็ออกไปดูระดับน้ำ คุยกับคนแถวๆ นั้น อะไรเรื่อยเปื่อยทั้งวัน ต้องบอกว่าพอน้ำท่วม หน้าบ้านเราดูคึกครื้นขึ้นอย่างมาก ผู้คนเดิม(ย่ำน้ำ) กันอย่างขวักไขว่ บ้างก็ไม่มีอะไรจะทำ บ้างก็เดินออกจากหมู่บ้าน หรือที่เรียกกันว่าอพยพนั่นแหละ แต่สิ่งที่ได้ยินอยู่ตลอดเวลาก็คือเสียงน้ำไหลดังซู่ๆ
น้ำที่ทำให้ในหมู่บ้านท่วมจริงๆ ไม่ใช่น้ำที่ผุดขึ้นมาจากท่อเพียงอย่างเดียว แต่เป็นน้ำที่ไหลมาจากคันกั้นน้ำที่ทยอยกันพังและไหลมาตามถนน บางกรวย-ไทรน้อย พอผ่านหน้าหมู่บ้านไหน น้องน้ำก็จะแวะเข้าไปทักทาย และขอใช้เป็นทางผ่าน เหอๆ เสียงน้ำไหลที่ได้ยินก็เกิดจากน้ำที่ไหลเข้าหมู่บ้านมาจาก ถนนใหญ่ และไหลค่อนข้างแรงไปยังท้ายหมู่บ้าน จะเห็นได้ว่าระดับน้ำสูงขึ้นเร็ว เพราะน้ำที่มานั้นก็ไหลแรงด้วยเช่นกันนั่นเอง...
มีคลิปที่ถ่ายไว้นิดนึง แต่ไม่อยากอัพขึ้น Youtube ถ้าอยากชมและฟังเสียงของผู้คนและเสียงน้ำที่ไหลเชี่ยว ก็กด ตรงนี้ โหลดวิดิโอไปชมกันเองละกัน (ขนาดเกือบ 6MB )
เกือบจะจบวันด้วยการเฝ้ามองน้ำที่สูงขึ้น แต่พอช่วงหัวค่ำ ก็มีประเด็นเรื่องการอพยพเข้ามาให้ถกเถียงกัน...
เริ่มมาจากป้าไปได้ข่าวมาจากสายในเทศบาลว่า เขาจะตัดน้ำตัดไฟ เพราะมีเด็กโดนไฟดูด (เหตุผลของการตัดไฟเห่ยมาก) แล้วก็กลัวว่าถ้าน้ำมันสูงขึ้น แล้วจะอยู่กันอย่างไร น้ำสูงขึ้นแล้วอาจจะอพยพกันลำบากหรืออาจจะไม่มีใครเข้ามาช่วยเหลือ บราๆๆๆ ก็เลยติดต่อกับคนที่รู้จักกัน ซึ่งพี่เขาทำงานอยู่ในเทศบาล ว่าจะให้หาเรือมารับ ก็เหมือนจะสรุปกันได้ว่าคงเป็นประมาณพรุ่งนี้สายๆ ก็น่าจะออกจากบ้านกัน
ถ้าคุยกันไว้อย่างนี้ เราก็โอเค ประกอบกับก็เห็นๆ อยู่แล้วว่าระดับน้ำมีแต่จะสูงขึ้นๆ ยังไงก็คงอยู่ต่อไปไม่ไหวแน่ๆ ก็เตรียมใจไว้แล้วว่าพรุ่งนี้ยังไงก็เก็บข้าวเก็บของ อพยพหนีน้ำกันแน่ๆ....
แต่เหตุการณ์มันไม่เป็นเช่นนั้นอะสิครับพี่น้องงง ตกดึก สักประมาณห้าทุ่ม ในขณะที่แม่เราซึ่งเรียกว่าไม่ได้นอนมาเกินหนึ่งวันแล้วก็กำลังจะหลับ และเราที่ก็กำลังอ่านทวีตไปจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่ไป. แม่ก็ลงมาบอกว่า ป้าโทรมาบอกว่าจะอพยพเลยตอนนี้ให้เก็บของเลยทันที (ป้าเราอยู่กันคนละหลังเลยต้องใช้โทรหากัน เพราะระหว่างบ้านน้ำท่วมหมดแล้ว และบ้านป้าก็ปิดตายชั้นล่างไปแล้ว) ก็รนสิครับพี่น้อง คนกำลังจะหลับ อยู่ๆ ก็ถูกปลุกขึ้นมาให้เก็บของแบบกระทันหัน แน่นอนว่าคนใจเย็นอย่างเรา รู้ว่าวันรุ่งขึ้นจะต้องอพยพ แต่มีเหรอที่จะเก็บของเตรียมไว้ก่อนตั้งแต่ตอนกลางคืน ก็กะว่าจะตื่นมาเก็บตอนเช้าๆ และของที่จะขนไปส่วนใหญ่ ก็เป็นของที่ยังใช้งานอยู่ด้วย (ก็คอมพิวเตอร์นั่นแหละ) เลยไม่สามารถเก็บได้
แต่พอเอาเข้าจริงๆ เราก็เก็บกระเป๋าอย่างไวมั่กๆ จนเสร็จ เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว กลายเป็นว่า พอมาตะโกนคุยกันอีกรอบ (บ้านอยู่ติดๆ กันมีจุดที่ตะโกนคุยกันได้) พอถามว่าจะออกไปยังไง ดึก็ดึก น้ำก็แรง ความจริงแม่เราไม่อยากออกตอนกลางคืนอยู่แล้ว แต่เห็นว่าเขาจะออกกัน ก็เลยคงต้องไปพร้อมๆ กัน
ปรากฏคำตอบที่ได้กลับเป็นอะไรก็ไม่รู้ ไม่ได้มีแผนที่ชัดเจน ไม่ได้จะมีเรือมารับ (บอกว่าเรือมาแล้ว แต่ออกไปแล้ว) ถามว่าจะเดินออกไปกันไหวไหม? (จะบ้ารึ แค่ตอนกลางวันคนก็เดินกันลำบากจะตายแล้ว นี่จะมาให้เดินออกตอนกลางคืน แถมน้ำก็สูงกว่าตอนกลางวันซะอีก) เถียงกันไปเถียงกันมา เราก็เลยสรุปว่า ไม่ละ ไม่ยุ่งกับคนบ้านนั้นละ มีแต่ความตื่นตระหนก ไม่มีแผนการ กลัวอยู่อย่างเดียว เอาเป็นว่าตัดสินใจบ้านใครบ้านมันเลยละกัน ถ้ามามุกนี้ แถมเรื่องตัดน้ำตัดไฟที่เคยกลัว เราก็โทรเชคกับพี่ที่น่าเชื่อถือได้ เพราะบ้านพี่เขาน้ำท่วมสูงมาหลายวันแล้ว แต่ด้วยความที่มีการป้องกันตัวบ้านไว้อย่างดี น้ำเลยไม่เข้าบ้าน ให้พี่เขาเชคข้อมูลให้ตั้งแต่เย็น ก็ได้คำตอบว่าไม่น่าจะตัด เพราะถ้าตัดคนก็จะอยู่กันไม่ได้ หนักกว่าเก่า แถมยังได้ข้อมูลที่ทำให้ใจชื้นขึ้นมาอีกอย่าง ว่าหมู่บ้านเราค่อนข้างสูง คืออย่างน้อยๆ เทียบกับหมู่บ้านพี่เขาบ้านเราก็สูงกว่าถึง 3 ฟุต ดังนั้นก็มีความหวังว่าถ้าน้ำท่วม ก็อาจจะท่วมไม่สูงมากนัก ก็อาจจะพออยู่กันไปได้ (เพราะสะเบียงก็เตรียมไว้อยู่กันได้น่าจะเกินสัปดาห์)ก็เลยรื้ออุปกรณ์ที่ต้องใช้เล่นเน็ต เล่นคอม ออกมาอีกรอบ เปลี่ยนชุด กลับไปนอนต่อดีกว่า....
20 ต.ค. 2554 วันอพยพ
ได้แต่ตามข่าวจากในทวิตเตอร์อยู่นาน อ่านผ่านคำว่า "ผู้อพยพ" ไปไม่รู้กี่ครั้ง วันนี้แหละที่ข้าพเจ้ากลายมาเป็น "ผู้อพยพ" เองเสียแล้ว
เหตุการณ์ก็เริ่มตั้งแต่ตอนเช้าๆ น่าจะสักหกโมงเช้าได้ พอตื่นมา แน่นอนว่าแม่เราไม่ค่อยหลับไม่ค่อยนอนอีกแล้ว ก็เริ่มวันกันด้วยการหาอาหารเช้ากินกันก่อนละกัน ด้วยความที่ของก็เริ่มระเกะระกะเต็มบ้านไปหมดแล้ว ก็สรรหาที่กินให้มันบรรยากาศดีๆ หน่อยละกัน เลยจัดการยกโต๊ะเหล็กกลมๆ ที่ปกติไว้ใช้วางคอมข้างเตียง เอาขึ้นไปวางไว้บนระเบียงชั้น 3 ประมาณว่ากินไปชมวิวไปว่างั้น ได้บรรยากาศประดุดว่าบ้านอยู่ริมคลองกันเลยทีเดียว 55
กินๆ อยู่ก็เอาอีกแล้ว มีโทรศัพท์จากคนข้างบ้าน มาถามเรื่องอพยพอีกแล้ว อย่างที่บอกว่าตั้งแต่เมื่อคืนก็ได้ตัดสินใจแล้วว่าต่างคนต่างไปละกัน ประกอบกับเมื่อเช้าที่ตื่นมา จากที่คาดการไว้ว่าน้ำควรจะสูงขึ้นมาถึงบันไดขั้นที่ 3 แล้ว แต่สถานการณ์ดันดูดีขึ้น เพราะระดับน้ำไม่ได้ท่วมบันไดขั้นที่ 2 ขึ้นมามากนัก เรียกว่าน้ำแทบไม่ขึ้นเลยก็ว่าได้ในคืนที่ผ่านมา เราก็เลยเริ่มไว้วางใจ และคิดในแง่ดีว่า ดีไม่ดีน้ำอาจจะลดก็ได้ หรือไม่ก็ทรงตัว ซึ่งอย่างที่บอกไปแล้ว ว่ามีความหวังว่าน้ำจะไม่ท่วมสูง แล้วถ้ามันทรงตัวอยู่แค่นั้น ก็อาจจะพออยู่ในบ้านต่อไปได้ ไม่ต้องอพยพไปไหน ยิ่งถ้าไม่ตัดน้ำตัดไฟแล้วด้วย
แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เพราะแม่เราก็ดันอยากออกไปพร้อมๆ กับป้า ไม่ใช่ว่าอยู่ไม่ได้ แต่ถ้าเขาไป ก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม ส่วนเราก็หวังว่ามันจะไม่หนักไปกว่านี้ ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่ได้อยากอพยพ ก็เลยขัดแย้งกันนิดหน่อย แต่จนแล้วจนรอด ด้วยข้อมูลในทวิตที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา และข้อมูลเก่าๆ หลายอย่าง ก็จำใจต้องตัดสินใจอพยพจนได้ เพราะดูท่าแล้วน้ำคงมีแต่จะสูงขึ้น ไม่งั้นก็คงท่วมอยู่อีกเป็นเดือนแน่ๆ (หลังจากใช้มุกว่าแม่จะไปก็ไป เราอยู่คนเดียวก็ได้ แล้วก็ไม่สำเร็จด้วยนะ)
พอตัดสินใจว่าอพยพชัวๆ ก็เลยลองดูซะหน่อย ว่าไอ้เบอร์ที่ให้โทรไปขอความช่วยเหลือเนี่ย จะช่วยเหลืออะไรเราได้แค่ไหน ก็เลยโทรไปที่เบอร์ 1131 ซึ่งเห็นว่าเป็น call center หลักของแถวบางบัวทอง OK ก็มีคนรับค่อนข้างเร็ว ไม่ต้องรอสายนาน คนรับก็พูดจารู้เรื่อง ให้คำตอบได้ เข้าใจคำถาม ไม่ใช่แบบว่าตูท่อง script มาแบบนี้ อย่าพาออกนอกลู่นอกทางสิ ตูตอบมะด้ายยย! สรุปแล้ว ขั้นแรกเจ้าหน้าที่ก็จะถามชื่อที่อยู่ เบอร์ติดต่อ ตามมาตรฐานทั่วๆ ไปก่อน แต่เราก็บอกยังไม่ทันจะครบก็ชิงถามก่อนเลยดีกว่าว่า ถ้าเราขอความช่วยเหลือไปเนี่ย จะมีเรือมารับไหม แล้วจะมาเร็วแค่ไหน คำตอบที่ได้ก็ไม่ได้ต่างจากที่คิดไว้ก่อนโทรสักเท่าไหร่ เจ้าหน้าที่ก็บอกว่า ก็ยังตอบไม่ได้ว่าจะมีเรือเข้าไปรับได้เมื่อไหร่ เพราะตอนนี้ก็มีคนขอความช่วยเหลือเข้ามาจำนวนมาก ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากให้เดินทางออกไปยังถนนใหญ่ด้วยตัวเอง แล้วตรงจุดนั้นน่าจะมีความช่วยเหลือ (ที่ผ่านไปผ่านมา) ให้ได้มากกว่า เพราะขนาดตอนนี้คนที่อยู่บนถนนใหญ่ที่ว่าก็มีเป็นพัน พอได้ฟังอย่างนี้เราก็อืม... งั้นก็ขอบคุณครับ ไม่เป็นไรครับ จะเห็นว่าความช่วยเหลือจากทางหน่วยงานรัฐ นั้น ไม่ได้ให้คำตอบอะไรกับประชาชนได้เลย ประชาชนต้องเน้น "ช่วยตัวเอง" เป็นหลัก อย่างที่แซวๆ กันในทวิตเตอร์จริงๆ
กว่าจะตัดสินใจอพยพได้ ... หันมาเก็บกระเป๋าอีกรอบ ยังไม่ทันจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า บ้านโน้นก็ตะโกนมาว่าเรือมาแล้ว ให้รีบลงไปเลย! สรุปแล้วตูก็ต้องอพยพมันทั้งชุดที่ใส่นอนนั่นแหละ ก็ไม่อะไรมาก ก็แค่เสื้อขาว กางเกง(ขาสั้น) สีขาวด้วยแค่นั้นเอง 555
มาดูสมบัติที่เราขนออกมาซะหน่อยดีกว่า ของที่ขนใส่เป้ออกมา (หนักมากกกกก) ส่วนใหญ่ก็มีแต่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น
- notebook 1
- netbook 1
- router 1
- ปลั๊กรางอีก 1
- อุปกรณ์ฟังเพลงส่วนตัว อีก 1 กระเป๋าใบเล็ก
- อุปกรณ์ชาร์จไฟสำหรับมือถือ
- adapter notebook+netbook+router (adapter นี่แหละตัวหนักเลย)
- ของใช้ส่วนตัว (อันนี้มีจัดเป็นของใช้ชุดเล็กสำหรับไปข้างนอกไว้อยู่แล้ว เลยไม่เสียเวลาแค่ยัดใส่เป้ก็จบ)
แน่นอนว่าของทุกชิ้น เพื่อความปลอดภัย(จากน้องน้ำ) ก็ใส่ถุงพลาสติกซ้อน2ชั้น ไว้ด้วย
จะเห็นว่าเป้เราไม่มีพวกเสื้อผ้าออกมาเลย ความจริงมีมาชุดนึง คือชุดที่เตรียมไว้ใส่ตอนเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ลุยน้ำแล้ว ซึ่งก็ฝากแม่ไว้ เพราะมีความเชื่อว่ายังมีเสื้อผ้าของตัวเอง ซึ่งกระจายอยู่ตามบ้านอื่นๆ อีกหลายที่ (ซึ่งตอนหลังมาพบว่าจำผิด ซะงั้น) แต่แค่นี้ก็ทำเอาตอนแบกแทบจะปวดหลังอยู่แล้ววว
เริ่มต้นอพยพ
เอาละทีนี้ก็มาถึงเวลาระทึกใจกันแล้ว ถ้าเป็นภาพยนต์ก็ถึงตอนที่มันที่สุดของเรื่องแล้วล่ะ
สิ่งที่ตัดสินใจเป็นอย่างสุดท้ายก็คือ รองเท้า! (ทำไมไม่เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืนฟระ?) สรุปแล้วก็ใส่เป็นรองเท้าหนังๆ แบบที่มีรัดส้นออกมา (ซึ่ง ณ ตอนนี้ก็ทิ้งมันไปเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากสภาพหลังใส่ลุยน้ำ ทำให้มันเยินมวากกก แถมมันก็เป็นรองเท้ามือสองที่รับต่อมาจากลุงอีกทอดแล้วด้วย เลยช่างมัน)
ระดับน้ำที่ลุยออกมาตั้งแต่ในตัวบ้าน จนข้ามมาอีกบ้าน นั้นไม่สูงเท่าไหร่ (ข้อดีของคนขายาว) คืออยู่ระดับประมาณหัวเข่าเท่านั้น ยกเว้นตรงระหว่างบ้านสองหลังซึ่งที่จะต่ำลงไปหน่อย น้ำก็เกินหัวเข่าขึ้นมาอีกนิด แต่จุดที่น่ากลัวจริงๆ คือตอนก่อนจะขึ้นเรือ ตรงที่ต้องลงจากประตูรั้วหน้าบ้านออกไปนี่แหละ ว่าง่ายๆ คือต้องยืนบนผิวถนนในซอยหน้าบ้าน ซึ่งน้ำน่าจะเกินระดับเอวเราขึ้นมาแล้ว ถ้าเป็นคนตัวเตี้ยๆ หน่อย ก็อาจถึงระดับอกได้เลย เลยต้องส่งเป้ที่ทีแรกก็สะพายออกมา ให้คนบนเรือรับไปก่อน แล้วค่อยโดดขึ้นเรือ แปลว่าบนผิวถนนหน้าบ้านในซอยระดับน้ำต้องเกิน 1 เมตรขึ้นมาแล้วแน่ๆ จะเห็นว่าเพียงวันเดียว จากระดับน้ำครึ่งเมตร กลายมาเกิน 1 เมตรได้เลยทีเดียว
เรือที่มารับเป็นเรือของพี่ทหาร และค่อนข้างใหญ่ คือนั่งกันได้หลายสิบคนอยู่ และมีเครื่องเรียบร้อย ดังนั้นการฝ่ากระแสน้ำออกไปหน้าหมู่บ้านจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร เพราะส่วนนี้จากที่ดูคนอื่นๆ อพยพกันมาวันนึง พบว่าหลายคนที่พยามฝ่ากระแสน้ำออกไปหน้าหมู่บ้านด้วยตัวเอง นั้นทำได้ลำบากมาก ไม่ว่าจะเดินเฉยๆ หรือมีเรือและมีคนลาก พอมาถึงตรงปากซอยบ้านเรา ซึ่งเป็นสี่แยก กระแสน้ำจะแรงมากจนทุกคนต้องข้ามไปอีกฝั่งเพื่อพักกันก่อน เพราะอีกฝั่งนึงน้ำไม่เชี่ยว แต่ขนาดเรือมีเครื่อง ในบางจุดที่น้ำแรงมากๆ ก็ยังต้องเร่งเครื่องกันพอสมควรถึงจะฝ่าออกไปได้
นอกจากจะมีคนนั่งบนเรือแล้ว เนื่องจากความต้องการออกจากพื้นที่นั้นมีสูงกว่าจำนวนเรือที่เข้ามารับ ทำให้ถ้าเป็นผู้ชาย ก็ไม่สามารถขึ้นมานั่งบนเรือได้ หลายคนก็ต้องใช้เกาะข้างเรือ แล้วลอยตัวออกกันมาด้วยก็มี รวมถึงพี่ๆ ทหาร เองก็ด้วย นอกจากคนขับแล้ว คนอื่นๆ ก็ต้องคอยเกาะอยู่ตามหัวเรือ คอยควบคุมทิศทางและคอยช่วยชาวบ้านที่จะอาศัยมากับเรือด้วย
ติดเกาะรถบรรทุกถุงทราย
นั่งเรือออกมาได้แค่หน้าหมู่บ้าน เนื่องจากเรือต้องเข้าไปรับคนในหมู่บ้านถัดไป ไม่สามารถไปส่งคนต่อไปยังตรงสี่แยกบางพลูซึ่งเป็นจุดที่น้ำแห้ง และจะหารถเข้าเมืองได้ ดังนั้นก็ต้องลง...
แต่ยังโชคดี ที่พอจะลงจากเรือ ยังไม่ต้องเปียกน้ำ เพราะดันมีรถบรรทุกขนถุงทรายจากไหนไม่รู้ มาจอดตายอยู่หน้า 7 11 ตรงหน้าหมู่บ้านพอดีเลย นอกจากจะอาศัยเป็นเกาะชั่วคราวแล้ว แม่เราดันไปแซวเด็กในร้าน 7 11 ขอน้ำดื่มหน่อย คือความจริงก็กะจะซื้อนั่นแหละ แต่เขาก็ให้มาแถมไม่เอาเงินซะงั้น (อย่างนี้สิสมกับที่อุดหนุนกันมานาน ~~) เราเลยได้ชาเขียวมาไว้เติมกำลังหนึ่งขวด และชาเขียวขวดนี้นี่แหละ ที่ช่วยได้มากในการเดินทางขั้นถัดไป....
บนเกาะรถบรรทุกถุงทรายหน้าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง.. มีคนนั่งรอ (อะไรม่รู้) กันอยู่สิบกว่าคน รวมครอบครัวเราด้วย อ้อๆ ต้องบอกก่อนว่าครอบครัวเราที่อพยพกันออกมา ประกอบไปด้วย ป้า, ลุง, แม่เรา, เรา น้อง(ลูกป้า), และชิวาว่าอีกสองตัว และคนที่ติดเกาะนี้ก่อนเราอยู่แล้ว ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็คนในหมู่บ้านเดียวกันนั่นแหละ แอบได้ยินเขาคุยโทรศัพท์น่าจะประมาณว่า รอคนรู้จักหาเรือมารับ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องรออีกนานแค่ไหน เหมือนว่าจะนั่งรอกันมาเป็นชั่วโมงแล้วซะด้วย ไอ้เราก็เห้อออ แล้วนี่ตูจะต้องรออีกนานแค่ไหนล่ะเนี่ย? เพราะส่วนใหญ่เรือที่ผ่านไปผ่านมา เขาก็จะเน้นเข้าไปรับคนอพยพจากหมู่บ้านด้านในเข้าไป ซึ่งสถานการณ์น้ำท่วมหนักกว่า (ยิ่งเข้าไปข้างใน เข้าใกล้ตลาดบางบัวทองมากเท่าไหร่ น้ำก็ยิ่งสูง)
สรุปแล้วหนทางที่พอจะเห็นได้ชัดที่สุดและปฏิบัติได้ทันที ก็คือ การเดินลุยน้ำออกไป! ซึ่งระยะทางจากหน้าหมู่บ้านเรา จนถึงแยกบางพลูจุดที่น้ำแห้งและมีรถราก็น่าจะหลายกิโลเมตรอยู่ ไม่นับน้ำที่สูงเป็นเครื่องถ่วงแรงอย่างดีอีกล่ะ
เรือลำที่ 2 พี่เรือเหล็ก
แต่สรุปแล้ว ด้วยความช่างเจรจาของแม่เรา ก็ทำให้ได้พี่คนนึงที่ลากเรือผ่านมา (เป็นเรือเหล็กเล็กๆ) แม่เราก็ถามเขาว่าจะไปไหน ขอติดไปด้วยได้ไหม ปรากฏเขาก็จะไปเส้นทางที่จะไปทางแยกบางพลูพอดี แต่ไปแค่ประมาณกลางทาง เพราะพี่เขายืมเรือมา จะลากไปคืนเจ้าของ แน่นอนว่า โดยความคิดของคนส่วนใหญ่ ก็ต้องคิดว่าคนตาบอดอย่างเรา ค่อนข้างเป็นภาระ จะทำอะไรก็ต้องให้สบายไว้ก่อน ดังนั้นเขาก็พยายามให้เรานั่งไปบนเรือ แต่จุดนี้ความจริงเราก็คิดไว้อยู่แล้วว่าพอถึงเวลาอย่างนี้ขึ้นมาจริงๆ มีหรือที่เราจะนั่งสบาย แล้วให้คนอื่นคอยเข็นเรือ และพอลงจากเกาะรถบรรทุกลงไปบนเรือ ก็เจอกับความจริงอีกข้อ ซึ่งทำให้ไม่มีทางที่เราจะนั่งสบายอยู่บนเรือได้แน่ๆ เพราะแค่ของกับน้ำหนักของเราที่ลงไปบนเรือ เรือเหล็กลำเล็กๆ ก็ปริ่มน้ำแล้ว ไหนจะต้องให้เด็กกับหมาสองตัวลงมาเพิ่มอีก ไม่ไหวแน่ๆ เราจึงสระเรือออ ลงไปเข็นดีฝ่า...
ดังนั้นจึงเป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสกับระดับน้ำตรงหน้าหมู่บ้านแบบจริงๆ พบว่าระดับน้ำลึกไม่ต่างจากตอนก่อนขึ้นเรือตรงหน้าบ้านสักเท่าไหร่ คืออยู่ในระดับเอวเรา หรือสูงกว่าเล็กน้อย และเมื่อเดินเข็นเรือมาเรื่อยๆ ในบางที่ระดับน้ำก็ลึกขึ้น (นิดนึง) แต่บางที่ก็ต่ำลง จนถึงแค่ระดับข้อเท้าก็มี
ด้วยระยะทางในช่วงแรกที่ไปกับพี่เรือเหล็ก โดยส่วนใหญ่ระดับน้ำจะสูงเป็นส่วนมาก ดังนั้นการลากเรือก็ค่อนข้างจะไปได้เรื่อยๆ และยังมีแรงกันอยู่มากเพราะพึ่งเดินได้ไม่นาน...
เรือลำที่ 3 (2 ตำรวจกับเรือพลาสติก)
แต่พอใกล้จะถึงหมู่บ้านที่พี่เรือเหล็กเราจะต้องเอาเรือไปส่งคืนเจ้าของ ก็พอดีเจอคุณตำรวจ2คน ลากเรือพลาสติกลำไม่ใหญ่มากผ่านมา ก็แม่เราอีกนั่นแหละที่เจรจาจนได้เรือลำถัดไปที่จะช่วยผ่อนภาระในการแบกของ และไปส่งเราถึงยังที่แห้ง....
จากการสอบถามได้ความว่า ความจริงพี่ตำรวจจะเอาเรือเข้าไปรับคนป่วยในหมู่บ้านตรงที่เราเจอนั่นแหละ แต่พอดีมีเรือเครื่องเข้าไปรับแทนแล้ว พี่เขาเลยจะลากเรือกลับ ก็พอดีเป็นเรือเปล่าๆ เราก็เลยได้โอกาสบอกลา(และขอบคุณ) พี่เรือเหล็ก แล้วก็เดินทางต่อมากับพี่ตำรวจสองคนนี้แทน
ทีแรกเราก็นึกชมว่า "ตำรวจดีๆ ก็ยังมีอยู่นี่หว่า" เพราะพี่ๆ เขาช่วยเราลากเรือ แต่มารู้ความจริงภายหลังว่า มีบางตอนที่พี่เขา(ทั้ง2คน) ก็ปล่อยให้เราลากเรือกันเองเลย แต่ก็เข้าใจได้อะนะ เพราะไหนจะลุยน้ำ ไหนจะลากเรือ มันก็เหนือยใช้ได้เลยล่ะ เพราะอย่างเราเอง ตั้งแต่ตอนช่วยผลักดันเรือเหล็กรำแรก แค่ไม่นานก็ถามหาน้ำดื่มแล้วล่ะ ก็โชคดีที่แม่ไม่ได้ทิ้งชาเขียวขวดที่ว่าไว้บนรถบรรทุกทราย แต่หยิบติดมาด้วย เลยได้จิบชาเขียวเติมพลังไปเรื่อยๆ ระหว่างทาง
ตลอดทางมีทั้งน้ำลึกประมาณเอว และก็ต่ำสุดคือประมาณข้อเท้า ซึ่งยิ่งเดิน โดยเฉลี่ยน้ำก็ยิ่งตื้นขึ้น สิ่งที่มากับน้ำนี่ก็สารพัดไม่ว่าจะเสดไม้ ถุงพลาสติก ก้อนหินบนพื้นถนน หลอดน้ำ ฯ ก็อย่างว่า น้ำมันก็พัดเอาสิ่งที่คนเราหมกเม็ดไว้ออกมาได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรม ในบางช่วง ส่วนใหญ่ก็คือตามทางเข้าหมู่บ้าน น้ำก็จะไหลแรงต้องใช้แรงเดินเพิ่มกันพอสมควร บางช่วงน้ำก็เย็น บางช่วงน้ำก็อุ่น แต่โดยส่วนใหญ่น้ำจะเย็น ทำเอาคนเป็นตะคริวกันได้ง่ายๆ เลยแหละ
แรกๆ แม่ก็ประคองเรืออยู่ด้านหน้าเรา (ตลอดทางเราจะเกาะอยู่ท้ายเรือ ช่วยผลักดันมั่ง แค่เกาะๆ ไปมั่ง แล้วแต่เรี่ยวแรง) แต่มีอยู่ช่วงนึงหลังจากมาเจอเรือพลาสติกของพี่ตำรวจแล้ว ก็เดินไปเจอกับคนที่ออกมาจากหมู่บ้านเดียวกัน แม่เราก็เลยปล่อยเรือ แล้วเดินอยู่ด้านหลังทักทายกับคนกลุ่มนั้น แต่ทำไปทำมา เรือและคนลากเรือ ก็หนีจากกลุ่มนั้นไปเรื่อยๆ จนในที่สุดแม่เราก็หลุดจากวงโคจรไปเลย ประกอบกับก็เดินมากันค่อนข้างไกลแล้วน่าจะได้สัก 2/3 ของระยะทาง ทุกคนก็เริ่มเหนื่อย ไม่มีใครพูดอะไรกันแล้ว (คงหมดแรงแม้แต่จะพูดกัน) เราก็เลยเดินไปแบบไม่ค่อยรู้อะไร
พบความจริงอย่างหนึ่งว่า ที่ๆ น้ำตื้นๆ สักระดับข้อเท้า เรือยังลอยลำได้อยู่ก็จริง แต่คนที่เข็นเรือจากด้านหลังนี่ลำบากมาก เพราะข้อแรกน้ำตื้นไม่ได้แปลว่าจะเดินง่ายขึ้น กลับรู้สึกว่ามันถ่วงแรงมากกว่าหรือพอๆ กับตรงที่น้ำสูงๆ ด้วยซ้ำ อีกข้อก็คือมือที่จะเกาะเรือ ก็เอื้อมลงไปไม่ถึงเรือ กลายเป็นต้องเดินแบบก้มๆ ลำบากกันไปอีก (แต่คนด้านหน้าเขามีเชือกใช้ลากเรืออะนะ) แล้วก็ได้ทดลองอะไรอีกอย่าง นั่นก็คือการลองเดินถอยหลังดู ก็พบว่ามันอาจไม่ได้ช่วยผ่อนแรงหรือลดแรงต้านของน้ำได้เท่าไหร่ แต่ที่รู้สึกว่าเดินได้ง่ายขึ้น(นิดนึง) เราคิดว่าน่าจะมาจากการที่เราได้เปลี่ยนท่าทางซะมากกว่า เพราะถ้าปรกติเดินหน้าเราก็จะรู้สึกเมื่อย แต่พอได้เดินถอยหลัง ก็จะลดแรงกระทำต่อกล้ามเนื้อที่ใช้เดินหน้า มาใช้กล้ามเนื้อที่ใช้เดินถอยหลังแทน (มั่วชัดๆ ความจริงมันก็กล้ามเนื้อเดียวกันนั่นแหละ แค่ใช้กลับด้าน 55)
เดินเข็นเรือบ้างไม่เข็นบ้าง แต่เดินอยู่ในน้ำ มันก็ต้องเหนื่อยเป็นธรรมดา หลายครั้งก็มีเรือสวนกันไปมา บางทีก็ต้องหลบเรือเครื่องเข้าข้างทาง และพอไปถึงจุดที่น้ำตื้นพอที่รถจะวิ่งได้ บางทีก็ต้องหลบรถ ซึ่งรถคันที่สวนมาก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่รถคันที่วิ่งไปทางเดียวกับเรานี่ดิ ก็สงสัยว่าทำไมเขาไม่ขอพ่วงท้ายรถ ให้รถลากเรือให้ แล้วคนจะได้เดินกันสบายๆ หน่อย ถามใครก็ไม่ได้คำตอบ ก็อย่างที่บอกทุกคนไม่มีใครพูดจากันแล้ว แต่พอเดินๆ ไปสักพัก ใช้ฟังคนอื่นๆ เขาคุยกัน เลยเดาได้ว่า รถแต่ละคันที่ผ่านๆ มานั้น คงจะมีเรือพ่วงมาด้วยอยู่แล้วนั่นแหละ เขาถึงไม่ขอพ่วงเรือเราไปด้วยอีกลำ สรุปแล้วก็ลากๆ เข็นๆ เรือลำที่ 2 ที่อาศัยเขามาจนถึงจุดหมายแรก....
จุดหมายแรก ท่าเรือ(จำเป็น)
เอาเป็นว่าเรามาถึงจุดหมายแรกกันเลยดีกว่า จุดหมายแรกก็คือตรงที่น้ำแห้ง ซึ่งพอเราไปถึง มันก็คือท่าเรือดีๆ นี่เอง เพราะเรือทุกลำไม่ว่าจะเข้าหรือออก ก็ต้องมาจอดกันอยู่ตรงจุดนี้ทั้งนั้น พอเอาเรือเทียบท่าเสร็จ ก็ต้องขนของขึ้น และปล่อยให้พี่ตำรวจเขาเอาเรือต่อไปไหนก็ไป แต่ก็ไม่เห็นว่าเขาเอาไปตอนไหนนะ คงจะไปพักผ่อนกันก่อนมั้ง?
มาว่าถึงท่าจอดเรือกันดีกว่า ท่าจอดเรือจำเป็นนี่ก็ไม่ใช่อะไร มันก็คือกำแพงดินที่ใช้กั้นน้ำอยู่ข้างถนนนี่เอง คนก็เอาเรือมาเทียบตรงฐาน แล้วก็ขนของขึ้นไปด้านบนของกองดินซึ่งเป็นที่แห้ง พอเดินขึ้นไปด้านบน ก็เลยเข้าใจความจริงข้อหนึ่งว่า ที่มีข่าวอยู่เรื่อยๆ ว่าคันกั้นน้ำ ซึ่งหลายๆ ที่ก็ใช้กำแพงดินแบบนี้นี่แหละ ทำไมมันถึงต้านน้ำไม่ไหว เพราะต่อให้คุณใช้ดินมากแค่ไหน พออยู่ไปสักพัก ดินมันก็จะละลายไปกับน้ำ เรื่อยๆ และตรงส่วนไหนที่อ่อนที่สุด น้ำมันก็จะแทรกซึมเข้ามา ทำให้กำแพงดินของคุณมีรูรั่ว แล้วพอมันรั่วได้จุดหนึ่ง มันก็จะขยายรูรั่วนั้นได้อย่างเร็วมาก ลองคิดถึงแรงดันน้ำดูว่ามันมากมายแค่ไหน ยิ่งน้ำสูงแรงดันก็ยิ่งมาก สาเหตุที่เข้าใจจุดนี้ก็เพราะว่า ตรงฐานของกำแพงดินนี้มันกลายเป็นโคลนเหลวๆ กว่าจะเดินขึ้นไปได้ รองเท้าก็จมโคลนอยู่ไม่น้อย
พูดถึงรองเท้า ก็ขอบอกว่าโชคดีที่เลือกรองเท้ารัดส้นมา แล้วก็ไม่เลือกรองเท้าแตะ หลายคนอาจคิดว่าถ้าจะต้องใส่รองเท้าลุยน้ำ ก็ต้องใช้รองเท้าแตะสิ หรือพวกรองเท้าพลาสติก มันจะได้แห้งได้ง่ายๆ แต่ความจริงก็คือ เราไม่รู้หรอกว่าพื้นถนนใต้น้ำที่เราเหยียบลงไปแต่ละก้าวนั้นมันจะเจอเข้ากับอะไร ถ้าเป็นรองเท้าแตะพื้นบางๆ มันอาจจะกันเท้าคุณจากของมีคมใต้น้ำไม่ไหวก็ได้นะ ไม่นับที่พื้นผิวสัมผัสของรองเท้ากับพื้นถนน ซึ่งไม่ว่าจะรองเท้าแตะหรือรองเท้าพลาสติก พื้นผิวสัมผัสมันจะเรียบและลื่น ไม่ค่อยยึดเกาะกับผิวถนน ทำให้ยิ่งลดความมั่นคงของการเดินแต่ละก้าวเดินของคุณในน้ำลงไปอีก ซึ่งโดยส่วนตัวคิดว่าไม่ใช่ผลดีแน่ๆ ที่จะมีอะไรมาลดความมั่นคงของการเดิน ในสภาวะที่ความมั่นคงก็มีน้อยอยู่แล้ว และอีกอย่างพวกรองเท้าที่ใช้สวมก็ยังมีโอกาสหลุดและไหลไปตามน้ำได้ง่ายๆ หากคุณก้าวพลาดหรือแวะพัก หรืออะไรก็ตามที่รองเท้ามีโอกาสหลุด ดังนั้นรองเท้าที่หุ้มข้อหรือมีรัดส้นจึงเหมาะกับการเดินลุยน้ำด้วยประการทั้งปวง...
เหตุการณ์ ณ เดินดินริมน้ำ(ตื้นๆ)
แน่นอนว่าบนเนินดินแห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คน ซึ่งส่วนใหญ่ก็ยังไม่รู้จะเอายังไงต่อไปกับชีวิต (คิดว่างั้นนะ) เพราะผ่านด่านน้ำมาได้แล้วขั้นนึง แต่พอพ้นน้ำออกมา จะเอายังไงต่อไปล่ะ รถที่จอดเบียดเสียดกันอยู่ถัดไปไม่ไกล ก็ล้วนแล้วแต่เป็นรถที่จอดตายจากการลุยน้ำบ้าง รถที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือคนในพื้นที่บ้าง รถที่จะให้บริการเพื่อออกจากพื้นที่เข้าไปในเมือง หรือไปยังจุดอื่นแทบจะไม่มีเลย แน่นอนว่าครอบครัวเราก็ไม่ได้มีราชรถมารอรับแต่อย่างใด แค่ขอให้ออกมาได้ก่อนอย่างอื่นก็ค่อยหาเอาดาบหน้า...
เมื่อมาถึงจุดนี้สิ่งนึงที่แทบทุกคนจะทำก็คือ "โทรศัพท์" ในยุคที่โทรศัพท์มือถือแทบจะกลายเป็นอวัยวะชิ้นที่ 33 ของมนุษย์ไปแล้ว ต่างคนก็ต่างกด กด และ กด มือถือของตัวเอง เพื่อบอกคนรู้จักบ้าง เพื่อขอความช่วยเหลือจากคนรู้จักบ้าง และก็คงมีอีกส่วนหนึ่งที่ใช้สื่อสารเพื่อการรายงานข่าวบ้าง ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าการจราจรทางการสื่อสารในจุดนี้จะคับคั่งแค่ไหน เท่าที่เจอกับตัวเอง ณ ตอนนั้น พบว่า AIS และ DTAC เหมือนจะใช้งานไม่ได้เลย โทรไม่ติด หรือติดแล้วก็หลุด แต่น่าแปลกใจที่ Truemove กลับยังใช้งานได้ ไม่ว่าจะเป็น DTAC > Truemove หรือ Truemove > Truemove ก็เห็นว่าพอจะใช้งานได้ ดังนั้นสิ่งนึงที่ได้จากประสบการณ์นี้ก็คือ ผู้ให้บริการเครือข่ายควรให้ความสำคัญกับภัยพิบัติ ในพื้นที่ที่มีคนไปรวมกันมากๆ ควรเพิ่มช่องทางการจราจรให้มากกว่าปกติ โดยอาจจะส่งหน่วยเคลื่อนที่เข้าไปยังพื้นที่นั้นๆ เพื่อเสริมศักยภาพของระบบโดยรวมหรืออะไรก็ตามแต่ เท่าที่จะพอทำได้ ไม่ใช่แค่เรื่องการจ่ายไฟให้กับสถานีฐานเพียงอย่างเดียว
อ้อ พอนั่งอยู่บนเนินดินนี้ได้สักพัก แม่ที่พลัดกันไประหว่างทางก็ตามมาถึง แถมมาบอกให้อิจฉาเล่นซะด้วยว่า ระหว่างทางไปขอเขาเกาะรถกระบะขนเก้าอี้มา ไม่ได้เดินขาลากมาเหมือนคนอื่น ~~
แต่โดยสรุปแล้วทั้งเราและคนอื่นๆ ในครอบครัว ก็ไม่สามารถติดต่อใครที่จะพอมีรถขับมารับพวกเราออกไปจากพื้นที่ได้ ดังนั้นสิ่งที่ควรทำขั้นถัดไปก็คือการพยายามเดินออกมาและหวังว่าจะมีรถที่จะอาสัยออกไปด้วยได้ โดยถนนที่เดินมาก็แห้งหมดแล้ว แต่ก็มีอยู่บางส่วนที่เหมือนเป็นแอ่งและมีน้ำท่วมขังอยู่บ้าง แต่ไม่ลึก
นอกจากรถที่จอดกันเรียงรายและผู้คนที่ขวักไขว่แล้ว สิ่งที่น่าชื่นใจไม่น้อยในสังคมไทยสมัยนี้ นั่นก็คือ มีร้านที่เคยขายอาหารอยู่ริมทาง แต่ในสภาวะน้ำท่วมและผู้คนหนีน้ำกันมากมาย เขาไม่ได้รีบใช้ช่วงเวลานี้มาหากำไรจากผู้คนที่เพิ่มมากขึ้น แต่เขากลับทำตัวเป็นผู้ให้ คือแจกอาหารและน้ำให้แก่ใครก็ได้ที่ผ่านไปผ่านมา ซึ่งเป็นน้ำใจที่อาจจะไม่ยิ่งใหญ่ แต่ต้องบอกว่าน่ายกย่องมากๆๆ ซึ่งภาพร้านค้าหรือจุดแจกอาหารและน้ำนี้ก็มีให้พบได้เรื่อยๆ ระหว่างทางที่เดินออกมาจนถึงแยกบางพลู โดยส่วนตัวคิดว่าอาหารอาจจะไม่ใช่อะไรที่จำเป็นมาก แต่น้ำนี่ไม่ว่าคนหรือสัตว์เลี้ยงที่ฝ่ากระแสน้ำออกมา ล้วนคงต้องกระหายกันแทบจะทุกคน เพราะคงมีไม่กี่คนที่จะพกน้ำดื่มร่วมทางกันมาด้วย (แต่เรามีชาเขียวขวดนึงนะ ออกมาจนถึงแยกก็ยังไม่หมด เพราะใช้จิบๆ เอา ^^)
ในที่สุดก็มีราชรถ(ฟอจูนเนอร์)มาเกย
ในระหว่างที่เดินออกมาอย่างยังไม่มีจุดหมายนั่นเอง ก็เจอคนรู้จัก(อีกแล้ว) เป็นป้าที่อยู่หมู่บ้านเดียวกัน อยู่ซอยเดียวกัน และก็หนีน้ำออกมาวันเดียวกัน (แต่ไม่พร้อมกันนะ) เขาก็บอกว่านี่นัดให้คนขับรถมารับ นัดเจอกันตรงด้านนอกของสี่แยก น่าจะไปด้วยกันได้ ทีนี้ก็แหล่มสิคร้าบ มีคนเสนอความช่วยเหลือที่เราก็ต้องการอยู่พอดี ใครล่ะจะปฏิเสธได้ลงคอ
ทริปหนีน้องน้ำครั้งนี้ก็เลยจบด้วยญาณพาหนะที่ชื่อว่า ฟอจูนเนอร์ ซึ่งก็อัดกันมาสิบกว่าชีวิต คนน่าจะเกือบสิบ น้องหมาอีก 3 ตัว ของเรา 2 ของเขาอีก 1 ขับรถออกมาเราก็พยายามกดมือถือจะทวีตอยู่ตลอดทาง (กดซื้อชั่วโมงเน็ตตั้งแต่ติดเกาะรถบรรทุกทรายละ) รวมถึงป้าเราที่ก็พยายามกดโทรศัพท์ไปหาเพื่อนที่กำลังจะมุ่งหน้าไปหา ก็พบว่าต้องออกมาจนถึงประมาณศาลากลางแน่ะ กว่าสัญญาณมือถือจะติดต่อได้ตามปรกติ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าปัญหาการติดต่อสื่อสารในสภาวะภัยพิบัติ เป็นเรื่องที่ควรได้รับการแก้ไขอย่างแรง
เรื่องฮาเล็กๆ คือน้องหมาที่อยู่ในรถทั้ง 3 ตัว ล้วนแล้วแต่มีชื่อเป็นของกินด้วยกันทั้งนั้น แถมต่างชาติกันคนละประเทศอีกด้วย ของบ้านเรามี บราวน์นี่ (ชิวาว่าตัวเมียสีน้ำตาล) ซูชิ (ชิวาว่าสายพันธุ์เกาหลี คนขายว่างั้นนะ สีขาวล้วน) และน้องหมาที่มากับเจ้าของรถ ก็ชื่อ บ๊ะจ่าง (น่าจะเป็นพุดเดิ้ล สีอะไรไม่ทราบ)
ปลายทาง
ปลายทางที่ฉันรอเธอ ที่สุดก็จบตรงนี้ เอ้ยไม่ช่าย! ปลายทางของทริปนี้ของเราอยู่ที่บ้านเพื่อนของป้าแถวๆ หลังเดอะมอลล์งามวงวาน ซึ่งป้าเอารถมาฝากไว้ตั้งแต่วันแรกที่น้ำเริ่มผุดจากท่อนั่นแหละ แต่เช้าวันที่เราอพยพ มีข่าวว่าน้ำจะท่วมมาทางคลองประปา เพื่อนป้าเราก็เลยเอารถทั้งของตัวเอง และของป้าเรา ไปจอดหนีน้ำไว้บนทางด่วน (หึหึ) ซึ่งตอนหลังก็มารู้ว่ารถป้าเราก็เจอยกด้วย แต่ยังดีนะที่ยกไปจอดไม่ให้มันซ้อนคัน และเดินขึ้นไปไกลขึ้นเท่านั้น ไม่ได้โดนผู้หวังดี(กับตัวเอง แต่ประสงค์ร้าย(กับผู้อื่น) ยกไปขายแถวเขมรแล้ว
เราก็เลยได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็ไปจัดอาหารมื้อเย็นที่ยาโยอิ ณ เดอะมอลล์งามนั่นเอง....
เตร้งเตรง เตร่งเตร้งงง เตรงเตร่งเตร้งเตรงเตร่งงง เรื่องราวทั้งหมดก็จบด้วยประการฉะนี้.....