หนังสือที่อ่านในปี 2015
สืบเนื่องจากเห็นในทวิตภพแว่บๆ ว่ามีคนโพสต์ tag #คนไทยอ่านปีละ50เล่ม ประกอบกับหลังๆ นี้ก็รู้สึกว่าตัวเองอ่านหนังสือค่อนข้างเยอะขึ้น (ถึงส่วนใหญ่จะเป็นนิยายก็เถอะ) ก็เลยคิดว่า เอาวะ ลองตั้งเป้าตามนั้นดูบ้างก็น่าจะดี
ทีแรกก็ไม่รู้หรอกนะว่า tag ที่ว่าใครเป็นคนต้นคิด แต่พอทวีตใส่ tag นั้นไปแล้ว เห็นว่า @DRPopPop มา fav tweet เราด้วยแฮะ ให้เดาก็คือเขาน่าจะเป็นคนต้นคิดใช้ tag ที่ว่าแหละ
ไหนๆ ก็อ่านแล้ว จะแค่ทวีตว่าอ่านอะไรบ้างไปเล่มๆ ก็ดูจะกระไรอยู่ เลยคิดต่อยอดว่า ควรจะเอามารวมไว้เป็นบล็อก พร้อม preview/review/comment ของหนังสือแต่ละเล่มด้วย (คล้ายๆ สมุดรักการอ่านตอนเรียนหนังสือเลยเนาะ) ก็น่าจะดี จึงเป็นที่มาของโพสต์นี้นี่เอง....
1. มิเกะเนะโกะ โฮล์มส์ แมวสามสียอดนักสืบ ตอนที่ 1 ปริศนาศพนักศึกษาสาว
เล่มนี้ก็เป็นหนึ่งในหนังสือที่ดองไว้มานานแล้ว และถือโอกาสก็อบมันลงมือถือ ทดสอบแอพเล่นหนังสือเสียงบน Android สักหน่อย ปรากฏว่าแอพก็ดี หนังสือก็ดี ก็เลยยาวเลยทีนี้ 555
เล่มนี้เป็นเล่มเปิดตัวของหนังสือชุดนี้ ดังนั้นการดำเนินเรื่องอาจจะไม่กระชับมากเท่าไหร่ เพราะผู้เขียนต้องแนะนำตัวละครหลักๆ ให้เราทราบกันก่อน การเดินเรื่องก็คล้ายกับหนังสือสืบสวนโดยทั่วไป คือเรื่องจะมาขยายปมทุกอย่างตอนท้าย เลยทำให้เหมือนว่ามันมาสนุกเอาท้ายเล่มเท่านั้น แต่ปมคดีฆาตกรรมในห้องปิดตายของเล่มนี้ ก็ถือเป็นการสร้างสรรค์ปมคดีห้องปิดตายได้อย่างน่าสนใจเลยทีเดียว
มีฉากอีโรติกที่ไม่สุด :@ อยู่เนืองๆ ตัวละครหลายตัวพอเดาได้ว่าที่จริงเป็นยังไง และเอาจริงๆ เจ้าแมวสามสีก็อาจจะไม่ได้ตั้งใจช่วยพระเอกของเราไขคดีสักเท่าไหร่ บางอย่างดูเป็นความบังเอิญด้วยซ้ำ แต่คาดว่าเล่มถัดๆ ไป ก็คงมีส่วนร่วมในการไขคดีชัดเจนกว่านี้แหละนะ:)
2. CSI:ไขปมคดีปริศนา ตอน ฆาตกรสองหน้า
CSI นี่ตอนเป็นซีรีไม่เคยคิดจะโหลดมาดูเลย เหตุผลหลักคือ "มันยาวมากกกกก" และหลายครั้ง การดูหนังสืบสวนสอบสวนสำหรับเรา ก็ไม่ได้อรรถรสอย่างที่ควร เพราะมันมักจะมีฉากที่ไม่พูด (แล้วตูจะรู้ได้ไงว่าเขาทำอะไร เห็นอะไรกัน) ,ต่พอเห็นว่ามีหนังสือมาให้อ่าน ก็เลยลองอ่านดูสักหน่อย ปรากฏ "โอเค" แฮะ ด้วยความที่มันเป็นหนังสือ ยังไงเราก็เสพได้เท่าเทียมกับคนทุกคน
และจริงๆ นี่เป็น CSI เล่มที่สองที่ได้อ่าน เพราะเล่มแรกอ่านไปตั้งแต่ปลายปีที่แล้วแล้ว ถ้าจะพูดถึงพลอต ถือว่าสองเล่มที่อ่าน มาตรฐานไม่ได้ต่างกันนัก ความสนุกก็ให้อยู่ระดับกลางๆ แล้วกัน เรื่องอาจจะดูเนิบๆ แต่ก็ดีอย่างตรงหนังสือไม่ได้หนาเกินไป ตอนจบส่วนใหญ่จะมีหักมุม (เป็นปกติ) ฉากฆาตกรรมไม่ได้โหดร้าย (ไม่บรรยายอี๋ๆ อะไร) แต่ส่วนตัวให้เล่มก่อนหน้านี้ที่อ่าน (ย้อนรอยฆาตกรรม) ดูสนุกกว่า ตอนจบแอบมีให้คิดต่อเองได้ด้วย
3. Black & Blue : สืบซ้อน ฆาตกรเงา
เรื่องนี้ให้บรรยากาษฉากหลังเป็นประเทศสก็อตแลนด์ ซึ่งถือว่าค่อนข้างแปลกใหม่ พลอตเรื่องดูจะอ้างอิงเรื่องจริงมาพอสมควร ความประทับใจหลักๆ ก็คงอยู่กับฉากหลังของสก็อตแลนด์ (ซึ่งไม่เคยอ่านหนังสือที่พูดถึงประเทศนี้เท่าไหร่) บุคลิกตัวละครหลักค่อนข้างดิบเถื่อน ถ้ามาทำเป็นหนัง นึกไปถึงหนังแนว Die Hard อะไรทำนองนั้น
เห็นว่าเล่มนี้ก็เป็นหนึ่งในหนังสือชุด แต่เท่าที่อ่าน ก็ไม่รู้สึกว่าต้องมีพื้นมาจากเล่มอื่นแต่อย่างใด ผู้เขียนไม่ได้ใส่จุดที่ต้องอ้างอิงไปถึงข้อมูลที่ไม่เคยกล่าวถึง ดังนั้นจึงถือว่าสามารถหยิบมาอ่านได้แบบไม่ต้องคิดอะไรมาก สำหรับความเป็นหนังสือชุดของมัน
4. THE REAL ALASKA อลาสก้าล้านเปอร์เซ็นต์
เล่มนี้ถือว่าได้อ่านแบบไม่ได้ตั้งใจเท่าไหร่ เห็นว่าเข้ามาใหม่ปุ๊บ ก็ลองฟังดูปั๊บ แล้วก็มาฟังจริงจบภายในไม่กี่ชั่วโมง หนังสืออาจจะเน้นไปที่รูปประกอบ จนตัวหนังสือมีไม่เยอะนัก
โดยส่วนตัวไม่ค่อยอ่านหนังสือแนวท่องเที่ยวเท่าไหร่ (เคยอ่านมาไม่กี่เล่ม) แต่พอลองอ่านเล่มนี้แล้ว ทำให้รู้สึกว่า นี่มันเป็นหนังสือ Travel diary มากกว่าจะเป็น travel guide นี่นา คนเขียนเป็นเด็กยุคใหม่ ใช้สำนวนตรงๆ แรงๆ เน้นให้คนอ่านมีอารมณ์ร่วมแบบวัยรุ่นๆ ถ้าไม่นับบรรยากาศแปลกใหม่ที่ผู้เขียนนำพาเราไปสัมผัส (แบบคร่าวๆ) แล้ว พลอตเรื่องโดยรวมถือว่า "เฟล" มาก เพราะผู้เขียนไปเที่ยวแบบที่อะไรๆ ก็ผิดพลาด ผิดแผน คือถ้าเป็นตัวเองไปเที่ยวแล้วเจอสภาพแบบนั้น คงจะไม่มีอารมณ์มานั่งจดบรรทึก แล้วเขียนออกมาเป็นหนังสือได้แน่ๆ
แต่พออ่านจบ มาหาลิงก์อ้างอิงก็พบว่า สำนักพิมพ์นี้ มีการนำเสนอหนังสือบนหน้าเว็บไซต์ได้อย่างน่าสนใจดี หนังสือแต่ละเล่มมี URL แบบย่อเป็นของตัวเอง min.ms/**** ซึ่งก็ดูเก๋ไก๋ดี แถมพอเข้ามาในหน้าของหนังสือแล้ว ยังมีตัวอย่างให้อ่าน (ยั่ว) อยู่ 2-3 บท มีส่วนที่เป็น extra content สำหรับคนที่ซื้อหนังสือไปแล้ว นำ special code มากรอกเพื่ออ่านเนื้อหาเพิ่มเติมได้ ถือว่าสมแล้วที่เป็นสำนักพิมพ์ของเด็กยุคใหม่ เข้าใจ life style ของคนยุคดิจิทัลดีจริงๆ
5. Digital Fortress : ล่ารหัสมรณะ
Quis custodiet ipsos custodes
เป็นประโยคในภาษาลติน ซึ่งแปลเป็นไทย (ตามผู้แปลหนังสือ) ได้ว่า "ใครเล่าจะคอยดูแลผู้ปกปักรักษา" credit: http://ijira.blogspot.com/2006/06/quis-custodiet-ipsos-custodes.html
จากที่เคยอ่านเล่มนี้มาแล้วหนึ่งรอบ เมื่อสามปีที่แล้ว (หนังสือแดน บราวน์ แต่ละเล่มนี่ไม่เคยอ่านรอบเดียวอะ) และคงด้วยความค้างคาใจ กับประโยคดังกล่าว (ตอนนั้นยังหามาโพสต์ไม่ได้ 55) ก็เลยทำให้อยากอ่านเล่มนี้อีกรอบ แล้วก็อาจจะเพราะข่าวเกี่ยวกับ NSA พักหลังๆ นี้ด้วยแหละมั้ง เลยอยากเปรียบเทียบมุมมองของนักเขียน ที่อ้างอิงถึง NSA ในตอนนั้นว่าต่างกับข่าวสารที่ออกมาในช่วงนี้หรือไม่อย่างไร
การอ่านหนังสือเล่มนี้ซ้ำ ทำให้ได้รู้ว่า ประสบการณ์นี่ก็จำเป็นต่อการอ่านหนังสือหลายเล่มเป็นอย่างมาก ถึงรอบที่แล้วจะไม่ได้มีปัญหากับศัพท์แสงด้าน IT ที่ใช้ในเรื่อง (จริงๆ เขาก็มีเชิงอัดอธิบายไว้ค่อนข้างละเอียดแหละ) แต่ด้วยอะไรๆ หลายอย่าง การตามข่าวสารด้าน IT ทุกวันในเวลาสามปีที่ผ่านมา ก็ทำให้การอ่าน Digital Fortress รอบที่สองของเรา รู้สึกว่าเข้าใจมันได้ดีขึ้น และถึงจะพอจำเนื้อเรื่องได้บ้างคร่าวๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้การอ่านรอบสองรู้สึกน่าเบื่อเลย เพราะอย่างที่บอก นอกจากจะเก็บรายละเอียดส่วนที่ไม่เคยเก็บได้แล้ว จุดที่เป็นปมสำคัญๆ มันก็ยังทำให้ตื่นเต้นได้อยู่เหมือนเดิม (เพราะจำไม่ได้นั่นแหละ)
นอกจากนี้ เรายังได้รู้ปริศนาที่แดน บราวน์ ทิ้งไว้ให้คนอ่านท้ายเล่มอีกต่างหาก ตอนอ่านรอบแรก ไม่เข้าใจว่ามันคือปริศนาด้วยซ้ำ แต่ตอนอ่านรอบสอง ไปเจอว่ามีคนพูดถึงว่า เสียใจที่คนไทยเล่นปริศนาท้ายเล่มไม่ได้ เพราะมันเป็นปริศนาสำหรับภาษาอังกฤษ ก็เลยเอะใจ พออ่านจบ ก็ อ๋อ... สรุปไอ้ตัวเลขท้ายเล่มนี่มันเป็นปริศนารึ 555
6. ความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน vol.3
ไม่น่าเชื่อว่าการเขียนอีเมลตอบกันไปตอบกันมาของคนสองคน จะสามารถนำมารวมเล่มกลายเป็นหนังสือขายได้ (แถมมีมากกว่าหนึ่งเล่มอีกต่างหากนะ) แต่ก็นั่นแหละ ด้วยความน่าจะเป็น (บนเส้นขนาน) เอ้ย ด้วยความที่คนสองคนนั้น คนหนึ่งก็ชื่อปราบดา หยุ่น และอีกคนก็ชื่อวินทร์ เลียววาริณ มันจึงเป็นไปได้
น่าเสียดายว่าเล่มที่ได้อ่านนี้เป็นเล่มที่ 3 (และไม่แน่ใจว่าจะหาเล่มที่เหลืออ่านได้จนครบหรือเปล่าด้วย) เราจึงไม่ได้เห็นพัฒนาการของ "ความน่าจะเป็น" ทั้งหมด ว่ามีที่มาที่ไปกันอย่างไร แต่เท่าที่อ่านจากเล่มนี้ก็พบว่า อาจจะไม่จำเป็น เพราะความน่าจะเป็นนั้นมันก็เป็นไปได้ในทุกแง่มุม ทุกเรื่องราว คงยากที่จะจับต้นชนปลายได้
การคุยกันที่เริ่มต้นด้วยเรื่องราวของร้านอาหารอิตาลี่ในประเทศสิงคโปร์ จนไปถึงการเลือกตั้งประทานาธิบดีในสหรัฐ วกกลับมาที่ซึนามิในเอเชีย และก็ดูว่าประเด็นพูดคุยถกเถียงนี้จะกระเด้งไปกระเด้งมา ไม่ใช่เพียงแค่อยู่ในโลกกลมๆ ใบนี้ บางทีก็ทะลุไปจนถึงนอกโลก นอกอวกาศ และอาจหลุดพ้นนอกกาลเวลาไปได้อีกต่างหาก ก็อย่างว่าแหละนะ มันคือ "ความน่าจะเป็น" นี่นะ อะไรๆ ก็คุยกันได้ :d
พูดถึงคุณภาพ ด้วยชื่อเสียงของนักเขียนสองท่านนี้ สำหรับใครที่ติดตามผลงานและรู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้วนั้น ก็คงบอกได้แค่ว่า 'เหมือนเดิม' คือเคยเข้มข้นจัดจ้านอย่างไร คมคายแค่ไหน ลึกซึ้งปานใด ในบทสนทนาทางอีเมลเหล่านี้ ก็คงความเป็นตัวตนของนักเขียนทั้งสองท่านไว้ได้อย่างชัดเจนที่สุด
โดยส่วนตัว (แอบ) คิดเข้าข้างตัวเองอยู่เล็กๆ ว่า สำนวนการเขียนของเรา ไอ้ประโยคแนวๆ จิกกัดหรือแขวะอะไรต่อมิอะไรนี่ ดูจะได้อิทธิพลการเขียนของคุณวินทร์มาพอสมควรเหมือนกันนะเนี่ย >_<
7. ฝนตกตลอดเวลา
ชายคนหนึ่งตื่นขึ้นในสภาพล่อนจ้อนในห้องที่เขาไม่คุ้นเคย ยิ่งไปกว่านั้นเขาจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร เขารู้แต่เพียงว่า ภายนอกเป็นโลกที่ดูเหมือนฝนจะตกอยู่ตลอดเวลา
ชีวิตในมิติประหลาดเร้นลับ พาเขาไปพบกับผู้หญิงคนหนึ่งทุกวัน ทว่า อายุของเธอและสถานที่ที่พบเจอเปลี่ยนไปทุกครั้ง จนกระทั่งเขารู้สึกผูกพันธ์กับเธออย่างถอนตัวไม่ขึ้น
นวนิยายลำดับที่ 3 ของปราบดา หยุ่น นำคุณไปสู่ปริศนาแห่งรักที่เปียกปอน แต่น่าติดตามตลอดเวลา
cr: คำโปรยจากปกหลังของหนังสือ
ถือว่าเป็นเรื่องบังเอิญพอสมควรที่หยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่านต่อจาก "ความน่าจะเป็น บนเส้นขนาน" เพราะเป็นงานเขียนของคุณปราบดา หยุ่น อีกเล่มหนึ่ง ก่อนหน้านี้ไม่เคยอ่านงานของนักเขียนท่านนี้แบบที่เป็นรูปเล่มมาก่อน (เท่าที่จำได้อะนะ) และพอได้ลองอ่านดูแล้ว ก็พบว่า ถือเป็นนักเขียนอีกท่านหนึ่ง ที่มีลีลาการนำเสนอตัวอักษรและการประดิษฐ์เรื่องราวได้น่าสนใจ ไม่แพ้คุณวินทร์ เช่นกัน
เป็นหนังสือเล่มบางๆ ที่อาจใช้เวลาขบคิดมากกว่าเวลาที่ใช้อ่านมันจริงๆ เสียอีก ถ้าจะให้นิยามประเภทของเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ ก็คงจะต้องจัดมันอยู่ในหมวด ปรัชญา+วิทยาศาสตร์ ถือว่าค่อนข้างเป็นหนังสือที่อ่านไม่ง่ายนัก ถึงขั้นที่ว่าผู้เขียนเอง ยังแนะนำไว้ว่าเป็นหนังสือที่ "ควรอ่านอย่างน้อย 3 รอบ เพื่อความเข้าใจ" (อันนี้มาอ่านเจอทีหลังหลังจากอ่านจบแล้ว) ซึ่งโดยส่วนตัวก็ค่อนข้างเห็นด้วย เพราะหนังสือเล่มนี้ทำให้เกิดเครื่องหมายคำถามในหลายๆ แง่มุมมากมายเหลือเกิน การทำตามคำแนะนำ อาจไม่ใช่การอ่านซ้ำ 3 รอบ ติดๆ กัน เราอาจจะอ่านมันในช่วงชีวิตที่แตกต่างกัน ก็อาจได้ความหมายของหนังสือเล่มนี้ที่แตกต่างออกไปก็เป็นได้
การนำเสนอดูแปลกใหม่ โดยผู้เขียนใช้ชื่อบทเรียงจากบทที่ -10 และไปจบที่บทที่ 0 และยังมีคำนำอยู่ตอนท้ายเล่มอีกต่างหาก เอ๊ะ อะไรยังไง ? เห็นไหม ขนาดแค่สารบัญก็ทำให้ผู้อ่านหลายคนเกิด ? กันได้แล้ว
ถ้าจะให้สรุปสั้นๆ เกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ ก็คงขอสรุปได้ในประโยคเดียวว่า "โลกของเขา คือโลกที่ฝนตกตลอดเวลา"
ป.ล. ลิงก์ที่ชื่อหนังสือตรงหัวข้อด้านบน มีการสปอยเนื้อหา แนะนำว่าควรอ่านหนังสือเล่มนี้จบสักรอบนึงแล้ว จึงกดเข้าไปอ่านรีวิวจากลิงก์นั้น
8. The Night Eternal อวสานราตรีนิรันดร์
เป็นภาคที่ 3 และเป็นเล่มจบของหนังสือในชุด "The Strain Trilogy" ซึ่งต่อจากภาคแรก The Strain สายพันธุ์มรณะ และภาค 2 The Fall วันดับโลก ซึ่งเอาจริงๆ ถือเป็นหนังสือแนวที่ไม่คิดจะอ่านมาก่อน (แต่ดันอ่านไปแบบไม่รู้ว่ามันคือเรื่องอะไร) เพราะมันออกแนวซอมบี้ยึดโลก ซึ่งปกติก็ไม่ชอบดู/อ่าน เรื่องแนวซอมบี้นี่อยู่แล้ว
แต่ด้วยฉากเปิดเรื่องในเล่มแรก มันจะไปในแนวเรื่องราวลึกลับ แถมผู้เขียนยังใส่ความเป็นวิทยาศาสตร์ ความสมเหตุสมผลให้กับข้อสงสัยได้อย่างน่าติดตาม จนทำไปทำมา ก็ได้อ่านครบทั้ง 3 เล่ม
แต่พออ่านแล้ว จะว่าหนังสือชุดนี้เป็นหนังสือแนวซอมบี้ยึดโลกก็ไม่ใช่ เพราะจริงๆ สิ่งที่ยึดครองโลกในเรื่องนี้คือแวมพาย และเป็นการตีความแวมพายในอีกรูปแบบหนึ่ง คือมาในรูปแบบของสายพันธุ์ทางชีววิทยา ซึ่งคล้ายกับไวรัสที่มาแพร่พันธุ์และยึดโลก
แถมสายพันธุ์นี้ ก็ไม่ได้สักแต่ทำลายล้าง แต่ด้วยความสมเหตุสมผล มนุษย์ซึ่งถูกทำให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตในชนชั้นที่ต่ำกว่าเหล่าแวมพาย กลายเป็นทาตเป็นแหล่งอาหารสำหรับพวกมัน ต่างจากหนังหรือหนังสืออื่นๆ ที่เราคงจะเคยอ่านเจอว่าถ้าหากมีสายพันธุ์ใหม่จะเข้ามายึดครองดาวโลกของเรา สายพันธุ์นั้น ก็ดูจะมีพฤติกรรมรุนแรง ทำลายทุกชีวิตไม่ให้เหลือ
ตัวเอกของเรื่องนี้เป็นพ่อ ซึ่งก่อนที่จะเจอวิกฤติการแวมพายยึดโลก เขาก็ไม่ได้มีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์ดีพร้อมอะไรอยู่แล้ว และวิกฤติการแวมพายยึดโลก ก็ยิ่งเป็นตัวทำให้ครอบครัวของเขา แตกแยกกันยิ่งขึ้นไปอีก (อย่างไม่มีทางย้อนกลับ) และบทสรุปของเรื่อง ก็จบลงด้วยโศกนาฏกรรม
สิ่งที่ชอบในงานเขียนของผู้เขียนหนังสือชุดนี้ก็คือ การใส่ความสมจริง ของหลักการทางวิทยาศาสตร์เข้ามาในเรื่องได้อย่างน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นชีวะ การแพทย์ ไวรัสวิทยา บวกกับตำนานความเชื่อต่างๆ ที่นำมาผูกกับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ และสรุปโครงเรื่องทั้งหมด ด้วยตำนานทางศาสนา
เห็นว่าหนังสือชุดนี้กำลังจะถูกสร้างเป็นซีรีในอเมริกาอีกด้วย
9. Enigma : อีนิกมา (Robert Harris)
ขุดขึ้นมาอ่านซ้ำ จากกระแสของหนัง The Imitation Game, ซึ่งก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่า สรุปแล้วหนังใช่เอาหนังสือเล่มนนี้ไปเป็นพลอตหรือเปล่า แต่ถึงจะอ่านซ้ำอีกรอบ เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ ก็ไม่ได้เน้นไปที่ปู่ Alan Turing แต่อย่างใด อาจจะมีชื่อของเขาโผล่มาบ้าง ไม่กี่ประโยค กับผลงานของเขาที่มีการพูดถึงว่ากำลังจะสร้าง (ตัวต้นแบบของคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน)
แต่ข้อดีของการได้กลับไปอ่านหนังสือเรื่องนี้อีกครั้งก็คือ ทำให้เข้าถึงหนังสือเล่มนี้ได้มากขึ้น เพราะพอดีกับที่ก่อนหน้านี้ได้อ่าน Digital Fortress ซ้ำด้วยแหละ ซึ่งหนังสือสองเล่มนี้ เหมือนเป็นภาคต่อกันก็ว่าได้
เนื่องจาก Enigma เป็นการถอดรหัสในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งมีตั้งแต่การถอดรหัสโดยใช้แรงงานสมองมนุษย์ ทำด้วยดินสอและกระดาษ จนขยับไปถึงการใช้เครื่องจักรอย่างเครื่องปอมช่วยในการถอดรหัส แต่มันก็ยังเทียบไม่ได้กับการดักฟัง และถอดรหัสการสื่อสารทั่วโลก ในยุคของ NSA ในอเมริกา ซึ่งนอกจากปริมาณข้อมูลมากมายมหาศาลแล้ว ยังมีความแข็งแรงของรหัสผ่านที่ถูกพัฒนามาในยุคคอมพิวเตอร์อีกด้วย
อ่านแล้วให้อารมณ์ว่า Enigma เป็นหน่วยงานในยุคอนาลอก และ NSA ใน Digital Fortress เป็นหน่วยงานในยุคดิจิทัล ซึ่งเป้าหมายของทั้งคู่เหมือนกัน แตกต่างกันตรงวิธีการและความยากง่ายในการถอดรหัสเท่านั้น
10. ผู้หญิงขี้เล่า
เป็นหนังสืออีกเล่มที่อ่านซ้ำอย่างงงๆ คืออยู่ในลิสต์ของหนังสือที่เข้าใจว่ายังไม่ได้อ่าน แต่พอเริ่มอ่านก็รู้สึกคุ้นๆ (แต่ก็ยังจำไม่ได้อยู่ดีว่าเคยอ่านไปเมื่อไหร่)
สำหรับหนังสือเล่มนี้ก็คงไม่มีอะไรมาก ก็เป็นหนังสือเชิงให้กำลังใจในการดำเนินชีวิต ตามสไตล์ของผู้หญิงอารมณ์ดี เป็นคนคิดบวกอย่างพี่อ้อย (ดีเจ นภาพร) แต่ละบทเป็นเหมือนเรื่องสั้น ที่นำเอาเหตุการณ์บ้านเมือง หรือข่าวที่ดังๆ นำมาจับกับประเด็นในการให้กำลังใจผู้อ่าน
ก็ถือเป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่อ่านได้แบบไม่มีพิษภัย แต่ถ้าใครที่มีอารมณ์อ่อนไหว ในบางบทบางตอน ก็อาจจะทำให้ท่านเสียน้ำตาได้บ้างอยู่เหมือนกัน
11. บุหงาปารี
เป็นหนังสืออีกเล่มที่ตั้งใจจะอ่าน และเหตุผลที่อยากอ่านก็เพราะมันถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ถึงแม้ว่าสุดท้ายตัวหนังก็ยังมิได้ดู แต่อ่านหนังสือจบไปแล้วทั้ง 2 เล่ม ฮาฮา
บุหงาปารี พาเราย้อนไปในช่วง พ.ศ. 2000 ต้นๆ คาบเกี่ยวระหว่างก่อนการเสียกรุงครั้งแรก และช่วงหลังจากเสียกรุงครั้งแรก แต่เหตุการณ์ในเรื่องมิได้กล่าวถึงเหตุการณ์บ้านเมืองของไทย แต่ฉากหลักของเรื่องอยู่ที่รัฐปัตตานี ซึ่งก็กำลังอยู่ถ่ามกลางความปั่นป่วนทางการเมืองเช่นกัน ทั้งจากศึกภายใน และศึกภายนอก แถมเจ้าผู้ครองนคร ณ ตอนนั้น ก็หาใช่ชายชาตรีไม่ แต่หากเป็นสามหญิงสาวพี่น้องที่ต้องทำหน้าที่รายา (ชื่อเรียกเจ้าผู้ปกครองนครที่เป็นผู้หญิง คล้ายกับราชินี) ซึ่งถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องลุกขึ้นมาปกป้องบ้านเมือง
เมื่อพี่สาวคนโตเสียไป คนน้องก็ต้องขึ้นทำหน้าที่แทน และเมื่อพี่สาวคนกลางก็ต้องเสียไป น้องสุดท้องก็ต้องขึ้นมาทำหน้าที่แทน จนสุดท้าย ความสงบสุขของบ้านเมือง ก็มาเกิดเอาในยุคของรายองค์ที่เป็นลูกสาวของน้องสาวคนสุดท้องอีกทีหนึ่ง
ผู้แต่ง คุณวินทร์ เลียววาริณ ได้นำเอาประวัติศาสตร์ ของทั้งคาบสมุทรแถบนี้ (เอเชียอาคเนย์) ไล่ไปจนถึงญี่ปุ่น นำมาผสมผสานกับเรื่องราวแฟนตาซี ความเหนือธรรมชาติของวิชาดูหลำ ซึ่งเป็นวิชาของชาวน้ำ ซึ่งมีพระเอกของเราเป็นตัวเดินเรื่องหลัก ความสามารถของวิชานี้ก็คือ ในขั้นพื้นฐานสามารถใช้ในการจับปลาได้ แต่ถ้าหากฝึกในขั้นสูงขึ้นไป ผู้นั้นก็จะสามารถเรียกปลาหรือสัตว์น้ำอื่นๆ มาหาได้ จนถึงขั้นที่สูงขึ้นไปอีก ก็จะถึงขั้นที่สามารถบังคับให้สัตว์น้ำต่างๆ ทำตามที่เราต้องการได้ เช่น สั่งให้ปลากระทงกระโดดขึ้นจากน้ำ เพื่อใช้ครีบทำร้ายศัตรู สั่งให้ปลาฉลามโจมตีเรือของศัตรู เป็นต้น
และมีอยู่เรื่องนึงที่คุณวินทร์แทรกเข้ามาในเคล็ดวิชาดูหลำเบื้องต้นก็คือหลักการหายใจ เราทุกคนเกิดมาหายใจ "ได้" แต่ไม่ใช่ทุกคนที่หายใจ "เป็น" การหายใจที่ถูกต้องคือการหายใจยาวๆ สูดลมหายใจให้ลึก หน้าท้องป่องขึ้นมา และค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออก หน้าท้องก็จะยุบลง ซึ่งเราก็อาจคุ้นๆ สำหรับหลักการนี้ จากการไปปฏิบัติศาสนกิจในหลายๆ ศาสนา ซึ่งจากที่ได้เคยติดตามผลงานเขียนของคุณวินทร์มาพอสมควร พบว่า หลักการหายใจยาวนี้ ดูจะสอดคล้องกับทฤษฎีการเต้นของหัวใจในสิ่งมีชีวิต กล่าวคือ มีทฤษฎีนึงอ้างสถิติว่า หัวใจของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดนั้น ดูเหมือนจะถูกกำหนดมาให้เต้นในจำนวนครั้งที่ตายตัว ราวๆ 1,500 ล้านครั้ง ตลอดอายุขัยของมัน นั่นก็แปลว่า สิ่งมีชีวิตชนิดใดที่หัวใจเต้นช้า เช่น เต่า มันก็จะมีอายุยืนกว่าสิ่งมีชีวิตที่หัวใจเต้นเร็วนั่นเอง โดยสรุปก็คือ การที่เราหายใจให้ช้าและลึก นอกจากจะทำให้การถ่ายเทออกซิเจนทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นแล้ว ยังเป็นการทำให้หัวใจของเราเต้นช้าลง และถือเป็นการทำให้เรามีอายุที่ยืนนานขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง
ภาพยนตร์ที่สร้างจากหนังสือเล่มนี้ ซึ่งที่จริง อาจต้องบอกว่าหนังสือสองเล่มนี้ก็เกิดขึ้นมาเพราะต้องการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ตั้งแต่ต้นซะมากกว่า ก็คือ "ปืนใหญ่จอมสลัด" ซึ่งแน่นอนว่าปมหลักอย่างนึงของเรื่องนี้ก็คือ "ปืนใหญ่" ในการรบพุ่งสมัยนั้น อาวุธที่ดูจะเป็นตัวตัดสินสงคราม ก็คงจะเป็นปืนใหญ่ เพราะมันสามารถทำลายเรือของข้าศึก หรือฝ่ายข้าศึกก็สามารถใช้ปืนใหญ่ในการทำลายกำแพงเมือง ดังนั้นช่างที่มีความสามารถในการสร้างปืนใหญ่ จึงเป็นที่ต้องการตัวมาก
ปมหลักสำหรับภาคแรกนี้ ก็ดูจะอยู่ที่การแย่งชิงนายช่างที่มีความสามารถในการสร้างปืนใหญ่คนนึง ให้ไปสร้างปืนใหญ่ให้กับฝ่ายตน มีการใช้อุบายกลโกงต่างๆ จากฝ่ายกบฏ ทำให้สุดท้ายฝ่ายกบฏก็มีปืนใหญ่ที่จะสามารถนำไปรบกับทางปัตตานีได้
12. บุคคลสำคัญ (นิ้วกลม)
นี่ก็เป็นหนังสืออีกเล่มที่กว่าจะอ่านจบนานมาก เพราะแรกเริ่มมันเป็นหนังสือที่ถูกใส่ไว้ในมือถือ (เครื่องเก่า) และพอเปิดขึ้นมาฟังทีไร ก็ฟังได้ไม่นาน และก็อีกนานมาก ถึงจะหยิบมาฟังต่อ ซึ่งก็จำไม่ได้แล้วว่าคราวที่แล้วฟังไปถึงไหน ทำให้จนแล้วจนรอด ก็ยังไม่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้ได้จบสักที จนล่าสุดได้โอกาสนำมันย้ายมาในมือถือเครื่องใหม่ และจัดสรรเวลาสำหรับฟังมันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว หนังสือความยาวไม่มากเล่มนี้ ก็จึงถูกอ่าน (ฟัง) จนจบเสียที
นิ้วกลมใช้การเขียนจดหมายถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงหลายๆ คนในอดีต ซึ่งแน่นอนว่าคนส่วนมากในหนังสือเล่มนี้ก็เสียชีวิตไปแล้ว เนื้อหาในจดหมาย เหมือนเป็นการรีวิวชีวิตและความสำคัญของบุคคลเหล่านั้นให้ผู้อ่านได้ทราบ ผ่านการวิเคราะห์ของนิ้วกลมเอง
และในสองบทสุดท้าย นิ้วกลมได้เขียนถึง "เจ้าชายน้อย" และ "ผู้อ่าน" ซึ่งหนึ่งคือบุคคลที่ไม่มีตัวตนจริงๆ เป็นตัวละครสมมติจากหนังสือเล่มหนึ่ง และอีกคนนึง (จริงๆ คือหลายคน) ก็คือผู้อ่านที่อ่านหนังสือของเขา ซึ่งสองบทท้ายนี้ ดูจะเป็นความแตกต่างกันแบบคนละด้าน นอกจากที่มันแตกต่างจากเนื้อหาโดยรวมของหนังสือทั้งเล่มแล้ว
ถ้าจะว่าไป ถ้าไม่นับว่างานเขียนเล่มนี้ มีการดำเนินเรื่องที่ค่อนข้างแหวกแนวจากหนังสือโดยทั่วไป (คือเป็นการเขียนจดหมายถึงคนที่ตายไปแล้วในอดีต) หนังสือเล่มนี้ ก็น่าจะถือเป็นหนังสือแนวให้กำลังใจ ทำให้เราเห็นความยากลำบากของคนในประวัติศาสตร์ ที่ในตอนนี้พวกเขาคงถือเป็น "บุคคลสำคัญ" แต่ในช่วงที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ พวกเขาต้องเจอกับอุปสรรคอะไรบ้าง หลายคนก็ไม่ได้มีความสุขเลยตลอดช่วงชีวิตของเขา ทำให้เรามีกำลังใจในการต่อสู้ มีแรงผลักดันให้ทำตามความฝัน ความเชื่อของเราในปัจจุบัน การเขียนจดหมายจากนิ้วกลมไปยังบุคคลในอดีต กลับสะท้อนเสียงของบุคคลในอดีตมาถึงบุคคลในปัจจุบัน ตัวอย่างของบุคคลสำคัญ ที่อาจจะส่งผลต่อบุคคลไม่สำคัญได้
13. บุหงาตานี
ภาคต่อและภาคจบของ "บุหงาปารี" ตัวละครส่วนใหญ่ (ถ้าไม่ตายไปในภาคก่อน) ก็กลับมาโลดแล่นบนหน้ากระดาษให้เราได้มีอารมณ์ร่วมไปกับพวกเขากันอีกครั้ง
เทคนิคที่เห็นได้ชัดจากงานเขียนของคุณวินทร์ในเล่มนี้ก็คือ การบรรยายเหตุการณ์คู่ขนาน เราจะพบว่ามีการใช้คำหรือประโยคซ้ำๆ กัน แต่เปลี่ยนบุคคล ซึ่งเหตุการณ์เหล่านั้น อาจเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน หรือต่างเวลากันก็ได้ เป็นการตัดฉากที่อาจจะทำให้ใครหลายคนตามไม่ทัน แต่ก็ถือเป็นลูกเล่นอย่างนึงที่ทำให้งานเขียนดูมีความน่าสใจ (อยากใช้คำว่า เท่ มากกว่า) มากยิ่งขึ้น
เนื้อหาของเรื่องก็เป็นเหตุการณ์ต่อจากภาคก่อน สงครามระหว่างรัฐปัตตานีกับกลุ่มกบฏ ก็ยังไม่จบสิ้น แถมรอบนี้ ศัตรูของรัฐปัตตานีมิใช่แค่เพียงกลุ่มกบฏที่เป็นเพียงกลุ่มโจรสลัดอีกต่อไป แต่หากเป็นการดึงเอาความขัดแย้งระหว่าง "ชาติ" เข้ามาเป็นประเด็น
ในเล่มนี้มีการกล่าวถึงอยุทยา นครศรีธรรมราช เป็นช่วงตอนปลายของราชวงศ์พระร่วง ตั้งแต่พระเจ้าทรงธรรม ไปจนถึงพระเจ้าปราสาททอง ซึ่งเหตุการณ์ในราชสำนักไทยนั้น ก็มีการอ้างอิงจากประวัติศาสตร์จริงเป็นส่วนใหญ่อีกด้วย
การบรรยายฉากหลายฉาก ก็ย้อนความเดิมไปยังเล่มก่อน ดังนั้นจึงค่อนข้างจำเป็นที่ผู้อ่านจะต้องมีพื้นฐานจากภาคแรกมาก่อนแล้ว จึงจะเข้าถึงบุหงาตานีนี้ได้มากขึ้น รวมไปถึงการเข้าใจในการใช้เทคนิคคู่ขนานตามที่บอกไว้ข้างต้นอีกด้วย
ในภาคสองนี้ พระเอกของเรา และอาจารย์ผู้สอนวิชาดูหลำของเขา ได้สามารถฝึกวิชาดูหลำไปจนถึงขั้นสูงสุด ซึ่งกว่าจะสำเร็จนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเคล็ดของวิชาดูหลำนั้น พอฝึกจนถึงขั้นนึง จิตใจก็จะไหลลงสู่ทางต่ำ เข้าสู่ด้านมืดของจิตใจของตัวเอง และถ้าไม่สามารถข้ามพ้นด้านมืดที่สุดของจิตใจตนเองไปได้ ก็ไม่มีทางที่บุคคลนั้นจะสามารถฝึกวิชาดูหลำได้จนถึงขั้นสูงสุดเป็นอันขาด
คุณวินทร์ให้นิยามของวิชาดูหลำขั้นสูงสุดนี้ไว้ว่า เป็นเหมือนการหลุดพ้นของนักบวช คือถ้าหากใครฝึกสำเร็จจนถึงขั้นสูงสุดได้แล้ว ก็จะหลุดพ้นจากกิเลสตัญหาทางโลกอย่างสิ้นเชิง ปล่อยวาง และแสวงหาเพียงความสงบสุขที่แท้จริงเท่านั้น แต่ก็น่าแปลกใจว่า ถึงสุดท้ายแล้ว พระเอกของเรา แม้จะสามารถฝึกวิชาดูหลำนี้จนถึงขั้นสูงสุดได้แล้ว แต่ก็ยังมาช่วยรัฐปัตตานีรบอยู่ ถึงแม้ว่าวิธีการจะเป็นการทำให้ข้าศึกยอมแพ้ไปแบบต้องใช้ความรุนแรงก็ตาม แต่ก็ดูว่าไม่ได้ตัดทางโลกไปเหมือนกับผู้ที่ฝึกสำเร็จคนอื่นๆ อะนะ
นอกจากปมโศกนาฏกรรม ระหว่างความรักที่ไม่มีใครสมหวังกันสักคน ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุของการต่างชนชั้น ต่างเชื้อชาติ แล้ว ปมที่คุณวินทร์สื่อให้เห็นก็คือ ความเป็น "ชาติ" นั้นสำคัญจริงหรือ มนุษย์เรารบกันไปเพื่อสิ่งใด สงครามใช่สิ่งที่จำเป็นหรือไม่ อาวุธที่ดีที่สุดคืออะไร มันใช่ปืนใหญ่ที่ทรงอานุภาพที่สุดหรือเปล่า ?
โดยสรุปก็คือ หนังสือ บุหงาปารี และ บุหงาตานี สองเล่มนี้ นอกจากจะอ่านสนุกในฐานะนิยายชั้นดีเรื่องหนึ่งแล้ว ก็ยังแฝงข้อคิดเชิงปรัชญาตามแบบของคุณวินทร์ เลียววาริณ ไว้เช่นเคย และถ้าใครเป็นคอนิยายตัวยงก็อาจสัมผัสถึงกลิ่นไอของนักเขียนชื่อดังอีกหลายท่านอยู่ในงานเขียนชิ้นนี้ เพราะในตอนท้าย คุณวินทร์ ก็ได้ให้เครดิตไว้ว่า งานเขียนสองเล่มนี้ เป็นเหมือนการเขียนบูชาครู ซึ่งก็คือนักเขียนนิยายชื่อดังหลายๆ ท่าน ที่คุณวินทร์เองก็ได้เสพผลงานของท่านเหล่านั้นมาตั้งแต่เด็ก
14. ปฐพีเพลิง (พนมเทียน)
ปกติเรียกตัวเองว่าเป็นแฟนนิยายสายบู๊ของคุณพนมเทียน แต่ก็มีอีกแนวนึง ก็คืออย่างสิวาราตรี หรือปฐพีเพลิง นี่แหละ ที่เป็นอีกแนวที่ก็ตามอ่านอยู่เหมือนกัน
เล่มนี้หลักๆ คงต้องบอกว่าพลอตยังค่อนข้างอ่อน ไม่ดูอลังเหมือนกับสิวาราตรี เพราะเห็นว่าเป็นนิยายเรื่องแรกๆ ที่คุณพนมเทียนแต่ง สมัยยังเรียนอยู่ด้วยซ้ำ
เนื้อหาประมาณ 1.5 เล่ม (จาก 4) เป็นการเกริ่นนำตัวละคร เนื้อเรื่องหลักแทบไม่ได้คืบหน้าไปไหน ถ้าเป็นหนังก็คงเหมือนกับหนังที่ดำเนินเรื่องเอื่อยตอนแรก แล้วค่อยมาทำให้เราตื่นเต้นช่วงหลังๆ
ฉากการรบพุ่งที่ (ควรจะ) เป็นฉากเด่นๆ ของนิยายแนวนี้ ในเรื่องนี้ก็ยังทำได้ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ เน้นอธิบายเหตุการณ์ในภาพรวมมากกว่าจะอธิบายฉากนองเลือดอย่างละเอียด บางศึกก็บอกเลยแค่ว่าใครไปรบกับใคร แล้วแพ้ชนะอย่างไร เร็วแค่ไหนอะไรอย่างนี้ ทั้งที่จริงๆ ถ้าแวะไปโฟกัสสักหน่อย ก็จะทำให้เรื่องสนุกได้มากกว่านี้
โดยสรุปๆ คงต้องบอกว่าเป็นนิยายของคุณพนมเทียนที่จะอ่านหรือไม่อ่านก็ได้ ถ้าชอบแนวนี้ ข้ามไปอ่านสิวาราตรีเลยจะฟินกว่า แต่เชื่อว่าสำหรับแฟนพันธุ์แท้แล้ว ก็คงอยากอ่านเพื่อเก็บให้ครบๆ กันอยู่ดีแหละนะ อิ_อิ
15. เบื้องบนยังมีแสงดาว
หนังสือรวมเรื่องสั้นแนวให้กำลังใจจากคุณวินทร์ เลียววาริณ ซึ่งถ้าจะว่าไป ก็คล้ายๆ กับ ผู้หญิงขี้เล่าของพี่อ้อยที่อ่านไปก่อนหน้านี้ เพียงแต่เนื้อหาจะดูหนักกว่ากันพอสมควร ประเด็นที่ให้ขบคิด หรือออกแนวจิกกัดสังคม จัดเต็มตามระเบียบ
หลายเรื่องให้ความรู้รอบตัว ส่วนมากจะกล่าวถึงบุคคลที่มีความ "พิเศษ" จากทั่วทุกมุมโลก ที่ทำให้เราอ่านเรื่องของเขาแล้ว ต้องรู้สึกว่า "แล้วทำไมเราจะทำไม่ได้ อะไรทำนองนั้น
จุดเด่นของงานเขียนของคุณวินทร์ก็คือ การหาข้อมูลที่กว้างขวางและลึกซึ้ง และประกอบกับมุมมองในการถ่ายทอด การโฟกัสในประเด็นต่างๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้แม้จะเป็นเรื่องสั้นแนวให้กำลังใจ แต่ก็ยังแฝงข้อคิด และคำถามให้แก่สังคมไปด้วยในตัว ก็ถือเป็นหนังสืออีกเล่ม ที่อาจจะติดไว้อ่านยามว่างๆ เพราะเป็นเรื่องสั้นๆ ไม่ต้องการสติสมาธิในการอ่านมากมายอะไรนะ อ่านแล้วก็กลับมาอ่านใหม่ได้ (นี่ก็อ่านไปสองรอบ)
16. The Final Conflict : ดับโองการนรก (สปอย)
กลับมาหานิยายเสพอีกตามเคย ซึ่งไม่ได้รู้เลยว่าเนื้อหาของเล่มนี้เกี่ยวกับอะไร เห็นชื่อน่าสนใจก็ตัดสินใจอ่านเลย 55
พออ่านแล้ว ถึงได้รู้ว่าหนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือชุด เล่มนี้น่าจะเป็นเล่มที่ 3 และจริงๆ ตั้งใจไว้ให้เป็นเล่มจบ แต่คงด้วยการตอบรับอย่างล้นหลาม (?) ก็ยังมีออกตามมาอีก 2 เล่มด้วยกัน รวมเป็นทั้งหมด 5 เล่มในซีรีนี้ (แต่คงได้อ่านแค่เล่มนี้เล่มเดียวแหละ)
เนื้อหาอ้างอิงจากเนื้อหาในคำภีร์ไบเบิลของศาสนาคริสต์ ดังนั้นใครที่อาจจะไม่ได้ศึกษาแนวนี้มากนัก ก็อาจจะไม่เข้าใจที่มาที่ไปในประเด็นต่างๆ เท่าไหร่ อาจจะบอกว่าไม่ฟินก็พอได้
ሦงจะเป็นหนังสือเล่มต่อ แต่ก็สามารถอ่านได้จบในตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องอ่านเล่มก่อนหน้ามาก็ได้ คล้ายๆ กับการดูหนังภาคต่อนั่นแหละ อีกทั้งตัวหนังสือเอง ก็เขียนมาเหมาะที่จะนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ดีทีเดียว การดำเนินเรื่องค่อนข้างกระชับ ไม่อืดมาก (เลยทำให้รู้สึกว่ามันสั้น)
ถึงแม้ฉากเปิดตัวจะเป็นฉากในหอดูดาว (หลอกเราให้นึกว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์) แต่โดยรวมในเรื่อง ก็ไม่ได้มีความเป็นวิทยาศาสตร์แต่อย่างใด
โดยสรุปคงต้องบอกว่าเป็นนิยายที่เหมาะสำหรับคนที่มีความรู้เกี่ยวกับศาสนาคริสต์และไบเบิล และถ้าได้อ่านเล่มอื่นๆ เพื่อปูพื้นมาก่อน ทำให้รู้สึกอยากติดตาม ก็น่าจะทำให้ฟินกับพลอตโดยรวมของหนังสือชุดนี้ได้มากกว่า
17. เส้นรอบวงของหนึ่งวัน
เป็นอีกเล่มที่เป็นงานเขียนเชิงทดลองของคุณวินทร์ ถึงแม้ในบางบทจะใช้ภาพสื่อสารเป็นหลัก แต่ก็ยังดีที่ส่วนใหญ่ ยังเป็นตัวหนังสือ คล้ายๆ เรื่องสั้น
ซึ่งโดยส่วนตัวก็ชอบหลายบทนะ ถึงแม้บางเรื่อง ก็เป็นมุกที่เราอาจจะเคยได้อ่านกันมาบ่อยแล้ว อย่างมุกซื้อกาแฟรถเข็น ใส่แก้ว Starbuck อะไรอย่างนี้ แต่คาดว่าตอนที่หนังสือเล่มนี้ออก มุกเหล่านี้ ก็น่าจะยังเป็นอะไรที่ใหม่สำหรับบ้านเราอยู่ (ดีไม่ดีก็เป็นที่มาของมุกที่เราได้อ่านๆ กันนั่นแหละ)
โดยรวมๆ ให้ความรู้สึกเหมือนเล่นอินเทอร์เน็ต แล้วเจอเว็บรวมบทความ/เรื่องสั้นอะไรสักเว็บ อ่านได้เรื่อยๆ เรื่องแต่ละบทไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกัน อ่านจบได้ในตัวเอง บางเรื่องก็ให้ข้อคิด บางเรื่องก็ฮา ส่วนเรื่องที่ชอบที่สุด ก็คงเป็นเรื่องกาน้ำร้อนแหละ 555
18. โต๊ะ โตะ จัง เด็กหญิง ข้าง หน้าต่าง
เป็นหนังสือที่ดองไว้นานแล้วอีกเล่ม ละพอได้อ่าน ก็รู้สึกว่าสมควรแล้วที่หนังสือเล่มนี้ยังอยู่มากว่า 30 ปี
เป็นเรื่องราวชีวิตของเด็กผู้หญิงในประเทศญี่ปุ่นคนนึง ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเป็นเหตุการณ์ในสมัยชั้นประถม เริ่มตั้งแต่เธอโดนไล่ออกจากโรงเรียนเก่า จนได้ไปเข้าโรงเรียนใหม่ และต้องออกจากโรงเรียน เพราะต้องหนีภัยสงคราม
ที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ เล่มนี้ไม่ใช่นิยาย แต่เป็นเรื่องจริง ที่ผู้เขียนนำประสบการณ์ในวัยเด็กของตัวเอง นำมาถ่ายทอด ในเวลาหลายสิบปีให้หลัง แต่ถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานแล้ว รวมกับเวลาจากที่หนังสือได้ตีพิมพ์ครั้งแรกมาถึงปัจจุบันเข้าไปอีก เหตุการณ์ในเรื่อง ก็มีอายุใกล้ร้อยปีเข้าไปแล้ว
แต่เราจะพบว่า หลายๆ ประเด็นในเรื่อง ก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้ต่างจากสังคมของเราในปัจจุบันนี้แต่อย่างใด ซึ่งก็อาจจะมองได้สองมุมคือ สังคมของเราไม่ได้พัฒนาไปไหนกันเลย หรือบุคคลในเรื่อง มีความคิดที่ล้ำยุคไปมากๆ
นอกจากมุมมองของโต๊ะโตะจัง ซึ่งเป็นตัวดำเนินเรื่องหลักแล้ว หนังสือยังชี้ให้เราเห็นถึงวิศัยทัศน์ ของคุณครูใหญ่ ซึ่งถือเป็นนักการศึกษาตัวจริงเสียงจริงคนนึงของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งประเด็นด้านการให้การศึกษาดังกล่าวนี้ นับจนถึงปัจจุบัน มันก็ยังนำมาพูดคุยถกเถียง หรือนำมาปรับใช้ได้อย่างไม่ล้าหลังแต่อย่างใด
ส่วนที่ทำให้อึ้งจริงๆ ไม่ได้อยู่ในเนื้อเรื่อง ถึงจะมีอะไรที่น่าสนใจอยู่หลายจุดก็ตาม แต่อยู่ในส่วนของภาคผนวก ที่ผู้เขียนได้ไปทำการบ้าน อัพเดตชีวิตล่าสุดของเพื่อนๆ ในสมัยประถมในโรงเรียนแห่งนั้นหลายๆ คน ว่าแต่ละคนมีชีวิตกันอย่างไร เมื่อแยกย้ายกันจากโรงเรียนแห่งนั้นแล้ว
บางคนก็กลายเป็นพ่อค้า บางคนก็เป็นแม่บ้าน แต่ก็มีคนที่ได้เป็นถึงนักวิจัยระดับโลก ซึ่งจุดนี้แหละที่พออ่านแล้วทำให้ร้อง "หู!" เพราะใครจะคิดว่า เด็กที่ดูเนิร์สๆ ในโรงเรียนประถมเล็กๆ แห่งนึง ต่อไปในอนาคต เขาจะสามารถไปไกลได้ถึงขนาดนั้น
ทำให้เราฉุกคิดว่า การปูพื้นฐาน นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ และอาจจะตัดสินชีวิตคนคนนึงไปแบบหน้ามือหลังมือเลยก็ว่าได้
เนื่องจากโรงเรียนในเรื่อง คุณครูไม่ได้ยึดติดการศึกษาแบบที่เราๆ ประสบกัน มีการให้นักเรียนเลือกว่าจะเรียนวิชาไหนก่อนหรือหลังได้ด้วยตัวเอง ใครสนใจอะไร ก็ให้โอกาสในการศึกษาสิ่งนั้นได้อย่างอิสระ ไม่ไปกำหนดกรอบความคิดของเด็ก ถือเป็นการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างดีมากๆ
นอกจากนี้ ในหลายๆ ฉาก เราจะเห็นว่า คุณครูใหญ่ ไม่มองว่าเด็กเป็นแค่เด็ก คุณครูมองว่าเด็กก็มีเหตุผลของเขา และยินดีรับฟังเหตุผลเหล่านั้นอย่างตั้งใจ และตอบกลับด้วยประโยคง่ายๆ ที่ทำให้เด็กกลับไปคิดได้ด้วยตัวเอง และยังทำให้เด็กมีความรู้สึกว่าคุณครูให้ความเท่าเทียมกับเขา ซึ่งจุดนี้ ผู้ใหญ่หลายคนมักไม่นึกถึง มักมองว่าเด็กก็คือเด็ก เด็กจะไปมีความคิดอะไร และมักจะยัดความคิดของตัวเองให้เด็ก ไม่พยายามเข้าใจ และปรับความคิดของเขา
᧴นังสือเล่มนี้ต้องถือเป็นหนังสือที่ขึ้นทำเนียบคลาสสิกอีกเล่ม ที่ชีวิตนี้สมควรอ่าน และอาจจะอ่านได้มากกว่าหนึ่งครั้ง ในช่วงชีวิตที่แตกต่างกันไป จะทำให้เราได้แง่มุมใหม่ๆ จากหนังสือเล่มนี้ได้อย่างแน่นอน
แอบมาลงรายชื่อหนังสือที่อ่านเล่มที่เหลือไว้ก่อน ไว้ถ้ามีความขยันเมื่อไหร่ เล่มที่เหลือเหล่านี้ อาจจะได้รีวิว >_<
- CSI : ไขปมคดีปริศนา ตอน นรกเย็น <<สรุปจะตามเก็บ CSI หมดเลยใช่มะเนี่ย เล่มนี้เหมาะอ่านตอนร้อนๆ นะ
- Yellow Cabby แท็กซี่นิวยอร์ก <<อ่านรีวิวตามลิงก์แล้วกัน ครบละ 55
- The Lost Temple : วิหารที่สาบสูญ) <<หนักไปทางประวัติศาสตร์กรีกโบราณ รวมๆ ก็สนุกตามสูตร ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ
- ถอดรหัสปริศนา อเมริกาโบราณ - <<เปลี่ยนแนวมาเป็นหนังสือสารคดีประวัติศาสตร์กันบ้าง...
- สี่ฤดู, ทั้งชีวิต <<หนังสือรวมไฮกุ อ่านจบง่าย แต่เก็บรายละเอียดยาก
- ความลับแห่งโดราเอมอน เส้นทางสู่การเป็นขวัญใจมหาชน - <<เป็นการต่อยอดจาก Stand by me และวิถีแห่งโนบิตะ
- The Adventures of Sherlock Holmes <<อ่านซ้ำแบบไม่รู้ตัวจนได้ (จริงๆ ก็รู้แหละ)
- June Bride : เจ้าสาวปริศนา <<เกลียด เกลียดดด จบแบบเน้มาต่อยกันเลยดีฝ่า :@
- คืนฝนลวง <<ฆาตกรรม ดราม่า หักมุม #ดีงาม เป็นปัญหาครอบครัวที่อ่านแล้วน่าคิด
- The Memoirs of Sherlock Holmes (ชุด จดหมายเหตุ) <<สำนวนแปลเก่าง่ะ
- The Surgeon : แกะรอยหมออำมหิต <<ฉากผ่าตัด/สมจริงมาก สยองจนคิดว่าคงไม่อ่านเล่มถัดไปแล้ว (แต่พอมาจริงก็อ่าน เห่อๆ)
- THE WARRIORS : ปลุกตำนาน นักรบจากสวรรค์ <<แนวความเชื่อทางศาสนา/จิตวิญญาณ ผสมกับนิยายสายลับผจญภัย สนุกดี
- ทำไมต้องฆ่า <<เหมือนอ่านแฟ้มสืบสวนสอบสวนของตำรวจ (ปกหลังสปอยเกิ๊น) ช่วงเวลาเก่าไปหน่อย แต่ก็สะท้อน...
- ชาร์ลส์ ดาร์วิน: วิวัฒนาการ’ แห่งชีวิต <<นานๆ จะอ่านหนังสือที่เป็นชีวประวัติทีแฮะ เหมือนประเด็นสำคัญที่ดาวินเน้นก็คือการศึกษานะ ไม่ว่าจะศึกษาจากสถานศึกษา หรือศึกษาด้วยตัวเอง
- Sherlock Holmes : หมาปีศาจแห่งบาสเกอร์วิลส์
- Dead Simple : สืบสังหรณ์ <<สนุกดีนะหักหลายมุมอยู่
- Tonight I Said Goodbye : บอกลา...มรณะ <<แนวสืบสวนที่มีนักสืบเอกชนที่ทำงานเป็นคู่ แต่ยังห่างไกลจากไมรอนเยอะอยู่นะ
- เรือเชื่องช้าสู่เมืองจีน <<ถ้าถามอ่านยากไหม ฉันตอบเลยว่ามากกกกก ยากเย็นจนเกินความ เข้าใจ.
- ใต้เงาเชอร์ล็อค โฮล์มส๎ - <<หลายเรื่องก็คล้ายนะ แต่บางเรื่องก็งงแฮะ
- เรื่องสั้น เชอร์ล็อก โฮล์มส์ 13 ชุดพิเศษ <<อ่านจนจะสืบคดีได้บ้างละ
- ผ่านพบไม่ผูกพัน <<อ่านซ้ำอีกรอบ เป็นหนังสืออีกเล่มที่อ่านซ้ำได้เรื่อยๆ เราจะเข้าใจสิ่งที่ผู้เขียนต่างไปในแต่ละช่วงอายุ และหรือประสบการณ์ชีวิตที่มีเพิ่มขึ้น
- Jurassic Park 1+2 <<ดูหนังนานมากแล้ว จำได้ว่าไม่ค่อยฟินเท่าไหร่ แต่อ่านหนังสือสนุกมาก
- As the Future catches you : เมื่ออนาคตไล่ล่าคุณ <<ดองมานานมาก ในที่สุดก็อ่านจบ T^T
- CSI: ไขปมคดีปริศนา ตอน เมืองคนบาป <<ถ้าทางจะเป็นซีรีที่ตามอ่านตลอดๆ แล้วล่ะ
- (spoil) นครรัตติกาล : เมืองเทวดาตกสวรรค์ <<เป็นซีรีอีกชุดที่ตามเก็บเรื่อยๆ
- นครรัตติกาล เล่ม 5 เมืองวิญญาณสาบสูญ <<อ่านสองเล่มติด นี่ชักจะหาดินสอหินมาเขียนลายรูนมั่งละ
- คิมหัน สวรรค์หาย <<นิยายแนวอิโรติกจากคุณพนมเทียน เอาจริงๆ คือนิยายสมัยใหม่ถึงไม่ได้ออกตัวว่าอิโรติก แต่ฉากอย่างว่าดูจะแรงและโจ๋งครึ่มมากกว่าเล่มนี้เสียอีก (เล่มนี้แอบเฟมีนีสนะครัช)
- สุดขอบฟ้า กาลาปากอส <<อ่านแล้วชอบมากกก ถ้าเกาะนี่อยู่แค่ประเทศเพื่อนบ้านคงจะไปโดยพลัน (แต่ความจริงคือค่าใช้จ่ายครึ่งล้านต่อทริปได้) T___T ไม่เคยชอบนกมาก่อน แต่พออ่านเล่มนี้แล้วเข้าใจพวกที่ชอบส่องนกแล้วล่ะ
- after earth <<นิยายแนววิทยาศาสตร์ ผจญภัญ อ่านเพราะเห็นว่าถูกสร้างเป็นหนังมั้ง แต่อ่านแล้วก็ไม่ได้อยากดูหนังเท่าไหร่ แอบมีปมดราม่าความสัมพันธ์ในครอบครัวพอสมควร
- โต๊ะ โตะ จัง กับ โต๊ะ โตะ จัง ทั้งหลาย <<ดันได้อ่านเล่ม 3 ก่อนเล่ม 2 ในเซ็ตนี้แฮะ แต่ก็ดี เพราะถ้าเทียบเล่มนี้ก็ชอบกว่าเล่ม 2 อ่านแล้วได้สัมผัสความทุกข์ยากของคนที่เขาขาดแคลนจริงๆ (เช่นประเทศที่ขาดแคลนน้ำสะอาด)
- the secret of Zara <<หนังสือแนวธุรกิจนี่อ่านแล้วไม่ค่อยเข้าหัวแฮะ เล่มนี้เขียนเจาะที่ตัวบุคคลเจ้าของ Zara เองซะมาก ไม่รู้อวยหรือเปล่า เหอๆ
- The King's Deception - ปริศนาลับบัลลังก์ทิวเดอร์
- consent สารลับจากความตาย <<เป็นอีกเล่มที่ชอบมากกกก พลอตอาจดูไม่มีอะไร ถ้าอ่านแล้วสรุปคร่าวๆ อาจดูไม่น่าอ่าน แต่สารที่ผู้เขียนใส่มาหลายส่วนน่าคิดน่าสนใจมาก (ส่วนที่ดูมึนๆ หลอนๆ นั่นแหละ)
- กัมพูชาพริบตาเดียว <<ดูเหมือนหนังสือที่คุณนิ้วกลมเขียนได้โอเคก็คือหนังสือซีรีท่องเที่ยวนี่แหละ แต่อ่านแล้วก็ไม่ได้อยากไปเขมรเพิ่มขึ้นเท่าไหร่นะ 55
- มิเกะเนะโกะ โฮล์มส์ แมวสามสียอดนักสืบ ตอน บทเพลงมรณะ <<เป็นซีรีสืบสวนอีกเล่มที่ถ้าเจอก็คงอ่านอีก มันน่าเบื่อ (จริงๆ คือแอบอิจฉา) ตรงที่อิพระเอกมีแต่ผู้หญิงเข้าหา แต่ไม่กล้าพอจะสานสัมพันธ์กับใครสักทีนี่แหละ พอกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม ก็มีเหตุให้เลิกกลางครันทุกเล่มสิน่า #ขัดใจวัยรุ่น
- สิ่งมหัศจรรย์ธรรมดา
- Roommate - ปริศนาเพื่อนร่วมห้อง <<เล่มนี้ถ้าวิจารณ์ก็เท่ากับสปอยล์เลยนะเนี่ย ปมด้านจิตวิทยาที่ผู้เขียนนำมาใช้
- แม่มด <<หนังสือเด็ก (แล้วตูอ่านทำไม) ก็สนุกดี แต่อ่านแล้วได้อัลไล?
- Charlie and the Chockolate Factory - โรงงานช็อกโกแล็ต มหัศจรรย์ <<ค่อนข้างชอบตั้งแต่ดูหนังแล้ว พออ่านหนังสือก็ได้อีกอารมณ์ (อารมณ์ที่ไม่มีตัวลุมบ้ามาร้องเพลงแง้วๆ)
- Animal Farm - กรรมของสัตว์ <<นิยายการเมือง ซึ่งแร๊งงง
- ชาร์ลี โบน ตอน เสียงกระซิบจากภาพถ่าย <<เป็นอีกเล่มที่เดาว่าคงมีภาคต่อ ก็สนุกดีนะ แต่ก็แค่ระดับมาตรฐาน เอื่อยๆ แล้วก็พีคตอนจะจบ
- โลกนี้มันช่างยีสต์
- โลกนี้มันช่างยุสต์
- เราทุกคนมีวันฝนตก <<หนังสือแนวให้กำลังใจ คิดบวก โลกสวย ฯ ดูจะสนใจวิถีชีวิตของผู้เขียนในอเมริกามากกว่านะ
- Moby Dick - วาฬมหาภัย <<คุ้นๆ ว่าเคยดูหนัง แต่หนังสือดูจะต่างกันเยอะเลยแฮะ
- A Wrinkle in Time : ย่นเวลาทะลุมิติ <<นิยาย (เด็ก) แนววิทยาศาสตร์ที่สนุกมาก อธิบาย+นำทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่ยากๆ มาใส่ไว้ได้อย่างแนบเนียน มีถึงขั้นพยายามสมมติเหตุการณ์ว่าถ้าเราหลุดไปอยู่ในดาวที่เป็น 2D จะรู้สึกอย่างไร เว่อวังอลังการอะ
- A Wild In The Door : ข้ามมิติพิชิตจักรวาล <<เป็นเล่มต่อจากเล่มก่อน ก้สนุกนะ แต่รู้สึกว่าฟินกับเล่มแรกมากกว่าไปแล้ว
- กาลเวลา <<นี่ก็นิยายวิทยาศาสตร์ แต่จากผู้เขียนไทย จริงๆ มาอ่านตอนนี้ถือว่าไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเท่าไหร่ แต่... ถ้าดูวันที่หนังสือออก ซึ่งยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ก็แอบแปลกใจพอสมควรว่า ผู้เขียนศึกษาข้อมูลด้านเทคโนโลยี และคาดเดาอนาคตได้ถูกต้องอย่างไม่น่าเชื่อเลยแฮะ
- อาร์เธอร์ ราชันแห่งนิรันดร์กาล ภาค1-2 <<อ่านไปหลับไป หลับแล้วหลับอีก กว่าจะอ่านจบ เคยได้ยินมาก็บ่อย แต่เพิ่งได้มาอ่านที่มาที่ไปของอาร์เทอร์แบบจริงจังก็คราวนี้ (เล่ม 3-5 ยังไม่รู้จะอ่านเมื่อไหร่)
- นางสาวโต๊ะโตะ <<โชคดีที่มาอ่านเล่มนี้เป็นเล่มที่ 3 เพราะรู้สึกอ่านแล้วขัดใจในนิสัยของคุณโต๊ะโตะ มาก หลายอย่างดูเป็นคนแปลกๆ ดูเป็นการกระทำที่ไม่ค่อยสมเหตุสมผล (ในมุมมองของเรา)
- เนปาลประมาณสะดือ <<เล่มนี้อ่านแล้วทำให้อยากอ่านหนังสือ Into Thin Air ที่พูดถึงการปีนเอเวอร์เรสเลย นี่ขนาดเขาไปปีนแค่แบบเบาะๆ นะเนี่ย สนุกอะ
- CSI Miami Florida Getaway ตอน ซ่อนปมพิศวาส
- เบนิตา หญิงสาวปริศนาขุมทรัพย์
- สมุดพกคุณครู <<ให้ความรู้สึกคล้าย โต๊ะ โตะ จัง หน่อยๆ (บรรยากาศญี่ปุ่นมั้ง) แต่อ่านแล้วก็แอบได้อมยิ้ม หนังสือบางๆ หามาอ่านก็ไม่เสียเวลาอะไร
- ซากะ อาโออิ สิ่งมีชีวิตในเจแปน
- Colorful - เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม <<อีกเล่มที่ค่อนข้างประทับใจ ไม่คิดว่าบทสรุปจะหักมุมและแฝงแง่คิดได้อย่างนั้น แนะนำๆ
- Riva Estella ตลาดนัดดวงดาว เล่ม 1 ลำนำผู้สัญจร
- รัก หวานน้อย ไม่ใส่น้ำตา <<โดนคุณผู้เขียนซึ่งเป็นนักจิตวิทยากล่อมไปเรื่อยๆ ถ้าได้ดูหนังที่ผู้เขียนหยิบมาเขียนก็คงจะฟินกว่านี้ แต่ปมปัญหาชีวิต พอวิเคราะห์ผ่านหนังและจิตวิทยาแล้วมันน่าสนใจจริงๆ
- ชมสวน <<หนังสือเก่ามากอีกเล่ม ข้อดีคือทำให้เราได้ย้อนไปสัมผัสกับกรุงเทพในสมัย 2520 รู้ที่มาที่ไปของวัฒนธรรมบางอย่าง คนที่ชอบต้นไม้อ่านแล้วก็น่าจะฟินอยู่
- killing floor : ลานละเลงเลือด (Jack Reacher) <<เป็นอีกหนึ่งพระเอกแนวบู๊ที่คงตามไปอีกหลายเล่ม มีบุคลิกที่ไม่ค่อยเหมือนใคร ดิบๆ เถื่อนๆ ดูจากวิธีจัดการตอนท้ายเล่มแล้วก็... ข้อสำคัญผู้เขียนเขียนได้สนุกมาก พระเอกก็เก่งมาก (แต่ไม่ถึงขั้นเว่อ)
- The Devil's star : ฤกษ์งามยามเชือด <<ก็อ่านจัง หนังสือแนวฆาตกรรมเนี่ย แต่มันก็สนุกดีนะ เล่มนี้ได้บรรยากาศที่แปลกไป เพราะฉากหลังเป็นประเทศนอร์เวย์
- S, エス - เอส คำสาบกลายพันธุ์ <<ได้อ่านแบบบังเอิญสุดๆ ทีแรกนึกว่าผู้อ่านหยิบมาอ่านซ้ำกับเล่มที่เราฟังแล้วด้วยซ้ำ (ตอนแรกเข้าใจว่าเป็น The loop) ก็ถือว่าสนุก แต่ด้วยเวลาที่ห่างจากเล่มก่อนไปมาก เราว่าผู้เขียนค่อนข้างฝีมือตกนิดหน่อยนะ ชอบ 3+1 เล่มแรกนั่นมากกว่า
- norwegian Wood : ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย <<ถ้าริจะอ่านหนังสือของปู่มูราคามิแล้ว ไม่อ่านเล่มนี้ก็คงจะไม่ได้ ยังไม่เคยดูหนัง แต่ได้อ่านหนังสือก็ฟินแล้วล่ะ แน่นอนว่าก็เข้าใจยากเป็นเรื่องปกติของหนังสือของมูราคามิ เหอๆ
- ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต <<เป็นหนังสือที่ทีแรกคิดว่าจะอ่านยาก แต่พออ่านแล้วก็สนุกดีนะ ความรักอันสับสน วนไปวนมาของคนกลุ่มนึง อาจจะงงนิดหน่อยที่ผู้เขียนเขียนสลับฉากไปสลับฉากมา ในช่วงเวลาที่ต่างกัน บทที่ชอบเป็นพิเศษก็ โรสริน 55
- einstein : ชีวะประวัติและจักรวาล <<กว่าจะอ่านจบนานมากกกก หนังสือยาวสุดๆ แต่ก็ทำให้เรารู้ว่าคนที่มีชื่อเสียง แต่ก็ใช่ว่าเบื้องหลังชีวิตเขาจะสวยงาม
- เลียบเลาะชายคาโลก <<บันทึกการเดินทางของ อ. เสกสรรค์ ซึ่งก็อ่านได้แบบเรื่อยๆ แต่ให้ความสวยงามของธรรมชาติดี
- The Mango MNG แบรนด์นี้มีเรื่องเล่า <<ไม่ค่อยต่างจากตอนที่อ่าน Zara แต่เล่มนี้เน้นเขียนที่วิธีการบริหารจัดการของตัวองค์กรมากกว่าเจ้าของ ก็ไม่ค่อยมีอะไรค้างในหัวเท่าไหร่
- โลกด้านที่หันหลังให้ดวงอาทิตย์ <<เก็บอีกเล่มของคุณวินทร์ อ่านแล้วก็จัดให้อยู่ในหนังสือแนวโลกสวย ให้กำลังใจ คิดบวก อีกเล่ม แต่บางเรื่องก็น่าสนใจดี
- Riva Estella ตลาดนัดดวงดาว เล่ม 2 ละครเหล่าวาณิช
- เดินไปให้สุดฝัน
- Written in Bone - ซากกะโหลกอำพราง
- Riva Estella ตลาดนัดดวงดาว เล่ม 3 ลิขิตแห่งสายธาร