Talk . Show . Slow . (E)motion
โพสต์นี้ต้องถือเป็นโพสต์ฉุกเฉินเฉพาะกิจ เนื่องจากเป็นเหตุการณ์สดๆ ร้อนๆ ที่ได้ไปประสบมา และ อยากเก็บ feedback ช่วงขณะนี้ไว้ เนื่องจากความจริง โพสต์ที่เขียนเสร็จแล้ว และตั้งใจจะโพสต์ เจอปัญหาของ Wordpress บางอย่าง ทำให้ยังไม่สามารถลงได้ (ผิดที่ตูเขียนยาวไปใช่ไหม แค่เกือบ 30 หน้า เอง)
หมายเหตุ:สำหรับโพสต์นี้ก็ถือว่าเป็น feedback จากผู้ฟังคนนึงแล้วกันนะครับ ถ้าหากเจ้าของ งานหรือผู้เกี่ยวข้องคนใดได้ (บังเอิญ) ผ่านเข้ามาอ่าน หากมีข้อความส่วนไหนอาจจะทำให้รู้สึกขุ่น เคืองทางกระแสอารมณ์ไปบ้าง ก็ต้องขออภัยไว้ ณ จุดนี้
Talk
ก็คงต้องบอกว่าเหตุการณ์ที่เป็นต้นเหตุของโพสต์นี้ก็คืองาน Talkshow จากพี่หนุ่ย ซึ่งหลายคนให้ ฉายาพี่เขาว่า "เจ้าพ่อวงการ IT" และหนึ่งในความฝันของพี่เขาก็คือการอยากจัด "เดี่ยว ไมโครโฟน" เป็นของตัวเองสักครั้ง
ซึ่งครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้ยินความคิดนี้จากพี่เขา ก็คิดไว้แล้ว่า อืม... น่าสนใจนะ ถ้าพี่เขาจัดจริง ก็ คงจะไปร่วมชมงานของพี่เขาอย่างเป็นมั่นหมาย
ทั้งนี้ต้องบอกว่าตัวเองก็ถือเป็นแฟนพันธุ์ (เกือบ) แท้ ของวงการเดี่ยวไมโครโฟน หรือ "Talkshow" นี่ในระดับหนึ่ง เพราะตั้งแต่จำความได้ ก็ดูบันทึกการแสดง Talkshow นี่มาไม่รู้กี่ รายการแล้ว ตั้งแต่สมัยนักพูดอย่าง อ. จตุพล ที่จัดงานเดี่ยวไมโครโฟนของตัวเองในชื่อ "จตุพล Thai Talk" ซึ่งก็มีการจัดต่อเนื่องอยู่หลายครั้ง (เท่าที่จำได้มีถึงแถวๆ Thai Talk 6/7 นี่ล่ะ) แน่นอนว่าบันทึกการแสดงสดตั้งแต่สมัยแรกๆ ก็ต้องดูผ่านวิดีโอ ที่ยังเป็นเทปม้วนใหญ่ๆ กันอยู่เลย (แก่เนาะ) โดยเทปที่ดูค่อนข้างบ่อยมากก็คงจะเป็น Thai Talk 1 ตอน จตุพลฮาน็อตหลุด ที่ขนาด ตอน ม. ต้น ก็ยังขุดมาให้เพื่อน เอามาฟัง (และ) ฮา กันได้อยู่เลย
หรือนักพูดท่านอื่นๆ ที่ถือว่าเกิดมาในยุคเดียวกัน อ. จตุพล เช่น อ. สุขุม อาจจะจำงานของท่านนี้ ไม่ได้มากนัก แต่มุกนึงของ อ. สุขุมที่จำได้แม่นก็คือ "ผมนี่แหละสอนรามตัวจริง" 55 หรืออย่าง อ. เสรี (แต่ก่อน อ. ยังไม่ค่อยเน้นเรื่องการเมืองเหมือนทุกวันนี้) และ อ. อีกหลายๆ ท่าน ฯ (เออ น่าสงสัยเนาะ ทำไมนักพูดในสมัยก่อน ต้องมีคำหน้าชื่อว่า อ. ทั้งๆ ที่หลายคนก็ไม่ได้เป็น อ. ที่สอน หนังสือจริงๆ เสียหน่อย สงสัยคนไทยเราจะมีนิสัยว่าใครที่พูดๆ ต่อหน้าคนหมู่มาก ในที่รโหฐาน และ ให้ความรู้แก่กลุ่มคนเหล่านั้น = อ. ล่ะมั้ง (?) )
จำได้ว่ามีอยู่ช่วงหนึ่ง ที่โทรทัศน์ (จำไม่ได้จริงๆ ว่าช่องไหน) นำรายการ Talkshow เก่าๆ มา เปิดให้ดูกันทุกสัปดาห์ ซึ่งเจ้าของรายการก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นคู่สามี-ภรรยา ที่เป็นเจ้าของ บ. ที่ จัดงาน Talkshow เหล่านั้นนี่เอง ถือเป็นอีกช่วงนึงที่ข้าพเจ้าได้เสพ Talkshow ค่อนข้างหลาก หลายมาก
ที่เกริ่นมานี้ ใช่ว่าจะออกตัวว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญ หรือกูรูในวงการนี้แต่อย่างใด เพียงแต่จะให้ผู้ อ่านพอทราบว่าข้าพเจ้า ก่อนที่จะวิจารย์ อะไรต่อไปนี้ เคยดู Talkshow ผ่านตา(และหู) มามาก น้อยแค่ไหน
สำหรับหัวข้อ "Talk" นี้ ต้องถือว่าพี่หนุ่ยคงไม่ทำให้ใครผิดหวัง แน่นอนแหละ เพราะงานหลักของพี่ เขาอย่างนึงก็คือ "การพูด" ดังนั้น "Talk" นี่ ผมกล้าบอกเลยว่าเราสามารถให้คะแนน ดี - ดี มาก (9 / 9.5) กับพี่เขาได้เลย อย่างไม่มีข้อกังขา
การแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าบนเวที (ซึ่งข้อผิดพลาดเกิดได้แบบไม่มีใครอยากให้มันเกิด และไม่รู้ ว่ามันจะเกิดตอนไหนอยู่แล้ว) สามารถทำได้ระดับ "มืออาชีพ" เราแทบจะไม่ได้สัมผัสกับ death air หรือช่องว่างที่ทำให้รู้สึกว่าพี่เขาหายไปจากเวที แม้ในขณะที่กินน้ำ ก็ยังจับจุดมาพูด เพื่อ พยายามเล่นมุกกับคนดูด้วย ในขณะที่นักเดี่ยวไมโครโฟนบางท่าน ก็ปล่อยให้ช่วงหยิบแก้ขึ้นมาดื่มน้ำ กลายเป็น death air ไปซะเฉยๆ ก็มี
แต่... การพูดของพี่เขา ก็เป็นการพูดแบบ "presenter" ซึ่งไม่ใช่การพูดแบบ "artist" เหมือนนักพูดหลายๆ ท่าน สิ่งที่พี่เขาทำอยู่ ก็คือสิ่งที่เหมาะกับลักษณะความเชี่ยวชาญส่วนตัวของพี่เขา อยู่แล้ว ก็คือการนำเสนอสินค้า หรืออาจจะเป็นการนำเสนอข่าวสารในวงการ IT ที่พี่เขาทำอยู่ หลายรายการ นั่นคือทางที่พี่เลือกถูกแล้วครับ
โดยส่วนตัวผมคิดว่า คนที่จะจัด Talkshow ในฐานะ "เดี่ยวไมโครโฟน" ได้ นอกจากจะต้องพูด เก่ง - มีเรื่องให้พูด แล้ว ยังต้องจัดลำดับประเด็นที่จะพูดให้เป็นศิลปะได้อีกด้วย เพราะเมื่อจบงาน แล้ว คนดู/ฟัง จะกลับมาทบทวน แล้วมองภาพรวมได้ว่า เฮ้ยงานที่เราเพิ่งไปฟังมานี้มันมีความสวย งาม ความสนุกสนาม เพื่อเก็บเป็นความทรงจำ ในรูปแบบไหน
Show
สิ่งที่เป็นปัจจัยใหญ่ของความ "ผิดหวัง" สำหรับงานนี้ก็อยู่ในหัวข้อนี้แหละครับ แน่นอนว่าในจุดนี้ ผม คงไม่ได้หวังถึงความอลังการของฉาก เวที แสง สี เสียง ฯ แต่คนส่วนมากก็คงหวังว่า เราจะได้ รับอะไรๆ หลายๆ อย่าง ที่ไม่เป็นรูปธรรมกลับจากงานนี้ไปบ้าง ไม่มากก็น้อย (แต่ไม่น้อยเกินไป)
คงต้องบอกแบบชัดๆ เลยว่า Show นี้ทำผมผิดหวังค่อนข้างมาก ถึงจริงๆ จะไม่ได้หวังอะไรไว้ มากมายก็ตามเถอะ แต่ก็คิดไว้ว่าด้วยบุคคลคุณภาพในวงการ พิธีกร IT อย่างพี่หนุ่ย และพนักงานทีม งานทุกคน ที่ก็ทำรายการ IT อย่าง Beartai ที่น่าจะมีประสบการณ์กันอย่างช่ำชอง ในหลายๆ ด้าน น่าจะทำ Show ออกมาได้ดี - ดีมาก ไม่น้อยน่าความสามารถในการพูดของเจ้าของงานเอง
เราจะเห็นว่าในงานเมื่อคืนนี้ (ข้าพเจ้าเขียนบล็อกนี้ไม่ถึง 24hr หลังงาน) เกิดข้อผิดพลาดจาก การ Show ค่อนข้างบ่อยมาก ซึ่งโดยส่วนตัวก็ไม่ทราบว่าเกิดจากอุปกรณ์ หรือจากความพลาดของตัว คนที่เป็นผู้ควบคุมอุปกรณ์อีกทีนึง ซึ่งหากใครติดตามรายการ Beartai มาอย่างต่อเนื่อง ช่วงที่ รายการมาใช้ studio ของตัวเองใหม่ๆ ในรายการก็เกิดข้อผิดพลาดคล้ายๆ กันนี้ มาแล้วเช่นกัน ซึ่งโดยการเคี่ยวกรำอย่างหนักหน่วงของพี่หนุ่ย ทำให้ต่อมา รายการ Beartai ก็มีทีมงานที่มีคุณภาพ ที่ดีมากขึ้นมากๆ ถือว่าเป็นกลุ่มคนที่ทำงานเข้าขากันได้อย่างดีมาก กลุ่มหนึง
ต้องยอมรับว่าเมื่อเกิดความผิดพลาดทางด้านเทคนิค คิวผิด ภาพประกอบไม่ออก เปิดวิดีโอหรือภาพ นิ่งหรือซาวด์ประกอบช้า สิ่งเหล่านี้ทำให้ "จังหวะ" ที่ควรจะขำ หายไปอย่างน่าเสียดาย แน่นอนว่า ความหวังของคนที่อยากไปดู Talkshow ก็คือ "ความตลก" "ความขำ" "ความสนุก" แต่เมื่อสิ่ง เหล่านี้ถูกทำลายไปด้วย "ความผิดพลาด" ก็จึงเป็นสิ่งที่น่าเสียดายเป็นอย่างมาก
ถัดมาก็เป็นเรื่อง "ลำดับและเนื้อหา" ซึ่งจุดนี้เป็นหัวใจสำคัญสำหรับภาพรวมของ Show ทั้งหมด อย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว เพราะมันต้องมีความเป็นศิลปะ ทำให้งานทั้งงานประทับอยู่ในใจของผู้เข้าชม ได้ ไม่ว่าจะเป็นเพียงเวลาไม่นาน หรืออาจจะเป็นระยะเวลานานเท่านานเลยก็ได้ (ถ้าทำได้ดีพอ)
ซึ่งจุดนี้เท่าที่สังเกต ความผิดพลาดดูเหมือนจะเกิดจากว่าสคริปต์มีการแก้ไขปรับปรุง ซึ่งถ้ามองถึงจุด ประสงค์แล้ว ต้องถือว่าเป็นความหวังดีของผู้จัด ที่อยากสอดแทรกอะไรใหม่ๆ อะไรที่อัพเดตเป็น ปัจจุบันให้ผู้ชมได้ฮาได้ขำ โดยที่รู้สึกว่า "เฮ้ย ทันสมัยหวะ" แต่ผลที่ออกมากลายเป็นว่า บาง ประเด็นที่เพิ่มเติมเข้ามา มันดันไม่สอดคล้องกับภาพรวมของสคริปต์ใหญ่อันแรกเริ่ม (ซึ่งข้าพเจ้าเดา เอาเองว่า สคริปต์ที่ร่างไว้ได้สมบูรณ์ แรกๆ น่าจะเป็นอะไรที่ลงตัวในตัวเองของมันในระดับที่น่าพอ ใจอยู่แล้ว ไม่นับว่ามันอาจจะไม่อัพเดตไปบ้าง)
เท่าที่สังเกตสคริปต์ดั้งเดิม ถือว่าตอบโจทย์ความเป็น "Talkshow IT" ได้ดีระดับหนึ่ง แต่พอมี อย่างอื่นมาเสริมๆ เข้ามา ทำให้จุดที่ควรจะเด่นนี้ กลายเป็นจุดด้อย เนื่องจากความสนใจของคน ถูกลดลงไปมากแล้ว
นี่ยังไม่นับว่าในเนื้อหาหลักเอง ก็มีบางส่วนที่ทำให้คนที่รู้จักกพี่เขามาบ้างแล้ว (นี่ไม่ต้องนับพวกที่ ติดตามแบบใกล้ชิด อย่างต่อเนื่อง หรือที่เรียกว่า "สาวก" เลยนะ) ไม่ได้รู้สึกแปลกใหม่ไปกับสิ่งที่ ได้รับชมแต่อย่างใด เพราะไม่ว่าจะประวัติหรือมุกที่สอดแทรก ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ถ้าคุณติดตามพี่เขา เห็น ประวัติมาบ้าง ก็จะรู้อยู่แล้วว่าเขาจะพูดอะไรต่อไป เหมือนเราดูหนังซ้ำนั่นแหละครับ ความสนุกมัน คงไม่เหมือนดูหนังเรื่องใหม่ๆ ไปได้ ทั้งนี้ตรงจุดนี้เราก็พยายามไม่นับว่ามัน "ไม่ IT" กันแล้วนะ คือการหวังว่ามันจะเกี่ยวข้องแต่ IT ก็คงไม่ได้ใช่ไหม?
การดึงเหตุการณ์เฉพาะหน้ามาใช้ ซึ่งอาจจะเรียกว่า "ด้นสด" ความสามารถของผู้พูดนั้นทำได้ดี แต่ ที่ไม่ดีคือมันไม่เข้ากับภาพรวมเสียเท่าไหร่ เป็นส่วนเสริมที่ทำให้ภาพรวมลดความสวยงามของตัวเอง ลงไป (ด้วยเหตุผลในข้อถัดไป)
Slow
จุดนี้ขออนุญาตใช้คำว่า "หายนะ" ของการแสดงนี้เลยก็ว่าได้ เริ่มตั้งแต่การแสดงเลื่อนให้ช้าขึ้นด้วย เหตุผลที่ดูแปลกๆ อย่าง "ฝนตก" (นี่คือเท่าที่พอได้ยินมา) ทำให้จากที่ประตูควรเปิดตั้งแต่ 18:30 น. ก็กลายเป็นว่าทุกคนต้องไปยืนออกันอยู่ด้านหน้าจนทุ่มกว่าๆ (ชั้นล่างคนเยอะมาก แต่ชั้นบนๆ นี่ก็ ยืนกันโล่งๆ หน่อย)
ประตูเปิดช้า ทำให้การแสดงก็ต้องเริ่มช้าตามไปด้วย จากกำหนดการณ์ที่ควรจะเริ่มตอน 19:00 น. การแสดงจริง กลับเริ่มประมาณ 19:40 น. ได้ หลายคนที่อ่านคงอาจคิดว่า โห แค่ช้านิดช้าหน่อย ไปแค่ครึ่งชั่วโมง จะอะไรกันนักหนา แต่อย่างลืมนะครับว่า ช่วงที่เปิดการแสดงนี้ เราอยู่ในช่วง ประกาศเคอร์ฟิวของ คสช. และการแสดงก็จัดช่วงหัวค่ำ สำหรับคนที่คำนวณเวลาในการเดินทางไว้ แล้วอย่างข้าพเจ้า และใครอีกหลายๆ คน เวลาไม่กี่สิบนาทีนี้ อาจถือเป็นข้อผิพลาดใหญ่หลวงได้ (แต่เราก็มีพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยไว้ได้ในที่สุด ซึ่งจะกล่าวต่อไป)
การแสดงเริ่มช้านิดหน่อย ทีแรกในใจก็ยังคิดว่า โอเค ไม่เป็นไรหรอกมั้ง ปรับเปลี่ยนแผนการเดิน ทางกลับนิดหน่อย โอเคอยู่ แต่เหตุการณ์จริงกลับกลายเป็นว่า จากแพลนที่บอกไว้ว่าการแสดงจะใช้ เวลาประมาณ 2hr และเราก็แอบเห็นเจ้าของงานแอบตอบทวิตผู้ชมคนนึงว่า งานอาจจะยาวเพิ่มขึ้น อีกสักครึ่งชั่วโมง เป็น 2.5hr โอเค ถ้าเลิกสักสี่ทุ่ม ก็ยังพอไหวแหละมั้ง และสรุปแล้วเวลาเลิก จริงๆ อย่างเป็นทางการของงานก็คือประมาณ 23:15 น. (45 นาทีก่อนจำกัดเคอร์ฟิว) !!!
ช้าเพราะอะไร ถ้าสาเหตุที่ช้านั้นเป็นเวลาที่คุณมีความสุข คุณก็จะแทบไม่รู้สึกอะไร คุณจะรู้สึกว่าช่วง เวลาเหล่านั้นผ่านไปไวมากๆ ตามกฎสัมพันธภาพทั่วไป (ฮา) แต่หากช่วงเวลานั้นมันไม่ได้ทำให้คุณ รู้สึกดีได้ขนาดนั้นล่ะ? คุณก็จะนั่งดูเวลาว่า กี่โมงแล้วหว่า ยังไม่จบอีกเหรอ เมื่อไหร่จะจบหว่า.... และประกอบกับเนื้อหาที่ควรจะเด่น แต่โดนแทรกด้วยเนื้อหาเสริมที่เสริมมานานเกินไปนี่แหละ เลย เป็นสาเหตุที่ทำให้ Show นี้ Slow
อย่างที่บอกแล้วว่าเนื้อหาหลายส่วนที่เป็นสคริปต์หลัก ถ้ามันถูกนำเสนอได้เร็วกว่านั้น สอดแทรกมุกที่ เกี่ยวข้องได้เต็มที่กว่านั้น ความประทับใจ Show นี้ ในฐานะ "Talkshow IT" ก็จะมีมากขึ้นอย่าง มากมาย ผมเชื่ออย่างนั้น อย่าลืมนะครับว่าคนเขามาดูด้วยความว่ามันจะเป็น "IT" ในระดับหนึ่ง ไม่ได้อยากมานั่งฟังชีวะประวัติของใครเป็นหลัก (อาจจะยกเว้นของผู้พูดเอง)
highlight ของ Show อย่างแขกรับเชิญ (ซึ่งหลายคนคงรู้อยู่นั่นแหละว่าต้องมีใครบ้าง) มาใน ช่วงหลังสามทุ่มไปแล้ว ซึ่งมันเป็นเวลาที่หลายคนคงจะรู้สึกว่า "มันควรใกล้จบแล้วเปล่าวะ?" นี่ยัง ไม่นับว่าเนื้อหาเฉพาะของแขกรับเชิญบางท่าน ก็เป็นเนื้อหาที่เฉพาะกลุ่มมากเกินไป จนถึงขั้นที่ใน ช่วงนั้นก็เริ่มมีคนลุกกลับก่อนกันไปบ้างแล้ว
กลายเป็นว่ายิ่งดึก งานดูจะยิ่งครึกครื้นด้วยเนื้อหา (หลักๆ) และแขกรับเชิญ แต่น่าเสียดายว่าหลาย คนคงมีความจำเป็นจริงๆ (และความจำเป็นสำหรับทุกคนคือเคอร์ฟิว) ที่ต้องกลับก่อน ในฐานะของ คนดูคนนึงที่เห็นคนทยอยๆ กลับก่อนกันเรื่อยๆ ก็รู้สึกเศร้าใจแทนผู้จัดว่า "นี่เราทำอะไรผิดไปหรือเปล่า?"
จำนวนผู้ชมที่กลับก่อนอาจจะไม่ได้ถือว่าเยอะสำหรับภาพรวม คือไม่ได้มากจนทำให้ผู้จัดรู้สึกอะไร แต่ ถ้าจะดูแค่รอบๆ ตัวของข้าพเจ้า ที่นั่งแถวเดียวกัน ก็กลับไปก่อนกันแล้ว ข้างขวา 2 ข้างซ้ายอีก 3 และข้าพเจ้าเองก็ลุกออกมาก่อนงานจะจบ ตอน Show สุดท้ายเริ่ม ก็ต้องนับว่าที่นั่งแถวนั้น ไม่มีผู้ชม ที่นั่งอยู่จนตบการแสดงจริงๆ เลย (แถวนึงมันมี 7 ที่นั่งใช่เปล่าหว่า?)
และเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับ Show อื่นๆ ที่เรามักจะได้ยินเสียงเรียกร้องตอนจะจบงานว่า "เอา อีก เอาอีก" แล้ว ก็น่าเสียดายที่ผู้จัดไม่สามารถดึงบรรยากาศนั้นให้เกิดขึ้นได้ ทั้งที่จริงก็ใช่ว่าจะไม่ สามารถ ถ้าหาก Show มันจะไม่เลิกดึกซะขนาดนั้นอะนะ
แต่ถ้าจะให้ลอง "คิดแทน" พี่หนุ่ย จากเรื่องนึงที่พี่เขาเล่าในงาน ก็อาจจะมองได้ว่า การที่พี่เขา ลากยาวจาก 2 -> 3.5 hr นี้ เป็นเพราะว่าพี่เขา "อยากปล่อยให้หมด" เพราะถ้าเราทำอะไร แล้วทำไม่สุดจริงๆ มันก็จะเป็นอะไรที่ติดค้างในใจ เหมือนเรื่องที่พี่ทหารที่ไปปั่นจักรยานกับพี่เขาที่ สิงคโปร์บอกไว้นั่นแล แต่เคสนี้ผมคิดว่า ถ้าปล่อยหมด แล้วงานมันยืดจนอืด สู้เราทำให้คนค้าง แล้วหาเรื่องจัดอีกรอบอาจจะดีกว่า 55
(E)motion
ความรู้สึกส่วนตัวหลังจากจบ Show คือ "ต้องรีบเรียกรถแท็กซี่แล้วโว้ย" บ้านก็อยู่ไกล เดี๋ยวจะกลับ ไม่ทันเคอร์ฟิวเอา งานเลิกช้า แต่ก็อยากจะอยู่ให้จบ... สุดท้ายก็ลุกขึ้นมาก่อนงานจบไม่มาก ตอนอยู่ตรงทางออก ก็ยังได้ยิน VTR ปิดงานอยู่ ก็ถือว่าอยู่จนจบงานได้ (แหละมั้ง)
ป.ล. มีคนมายืนฟังอยู่ข้างล่างตรงใกล้ๆ ทางออกด้วยแหละ อารมณ์แบบว่า อยากกลับนะ แต่ขอฟัง ให้จบก่อนแล้วกัน พอจบปุ๊บ ตูจะได้วิ่งออกปั๊บ ไม่ต้องเบียดกับคนอื่นอะมั้ง 55
ต้องขอแสดงความเสียใจจริงๆ ที่ไม่ได้รู้สึกประทับใจอะไรกับงาน Show ครั้งนี้เลย คือยอมรับจริงๆ ว่า หลักๆ ก็ไม่ได้หวังอะไรกับเนื้อหาอยู่แล้วว่ามันจะต้องดี มุกจะต้องฮาโคตรๆ คนทำอะไรครั้งแรก ความผิดพลาดมันย่อมเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว แต่จากการโปรโมตสิ่งนึงที่หวัง (มากๆ) ก็คือ "เก้าอี้" คือ หวังว่ามันจะดีมาก โหยเก้าอี้ใหม่เอี่ยมจากอังกฤษ หอประชุมที่ปรับปรุงใหม่ สดๆ ซิงๆ ได้เปิดใช้ งานเป็น Show แรก (มารู้ตอนหลังว่าน่าจะไม่ใช่เจ้าแรกที่ได้ใช้หลังจากปรับปรุงจริงๆ ก่อนนี้ไม่กี่ วัน รู้สึกจะมีทีวีช่องหนึ่ง ได้เปิดซิงไปก่อนแล้ว ถ้าเข้าใจผิดก็ขออภัย)
สิ่งที่เจอจริงๆ ก็คือ เก้าอี้เล็ก (ค่อนข้างมาก) ช่องว่างระหว่างแถวที่นั่งก็แคบมาก คนขายาวๆ อย่างข้าพเจ้านี่ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเหยียดขาเลย T___T พนักพิงก็เป็นแบบฟิกองค์ศา เอนก็ไม่ได้ ที่ วางแขนสั้น เป็นไม้ และไม่สามารถใช้งานได้ เนื่องจากจะต้องแย่งชิงกับผู้นั่งคนข้างๆ หรือจะพับขึ้น เพื่อเพิ่มพื้นแบ่งปันกับคนข้างๆ เสียหน่อยก็ไม่ได้ สิ่งที่ดีจริงๆ สำหรับการปรับปรุงหอประชุมดังกล่าว คือ "ความสวยงาม หรูหรา" จะว่าไปก็เหมือนการชอบสร้างภาพลักษณ์ของนักการเมืองไทย ซึ่งเป็น ผู้อนุมัติงบปรับปรุงนั่นแหละ (ไม่ได้ระบุตัวใครเป็นการเฉพาะนะครับ แค่เปรียบเทียบภาพรวมเฉยๆ เพราะผมก็ไม่ได้ทราบนามผู้อนุมัติงบที่ว่าแต่อย่างใด) สวยงามหรูหรา แต่ใช้ประโยชน์จริงไม่ได้ (ดี)
จุดขายที่ว่าลุกแล้วไม่ส่งเสียงรบกวนใครนั้น ผมว่าเก้าอี้ที่ไหน ถ้าใส่ใจหยอดน้ำมัน ไม่ให้มันเกิด เสียง ก็นำมาเป็นจุดขายได้แบบนี้เหมือนกันแหละ และหากจะมองตามความเป็นจริง ถึงคุณจะสา มาถลุกไปได้บ่อยๆ โดยไม่เกิดเสียงรบกวนใคร แต่ด้วยช่องว่างระหว่างแถวที่นั่งที่แคบมาก คุณจะ ลุกออกไปโดยไม่รบกวนใครได้ยังไงล่ะครับนั่น :O
และพอนำมาประกอบกับเหตุผลข้อก่อนหน้า การนั่งในที่นั่งที่ (ไม่ได้สบายขนาดนั้น) ในระยะเวลา กว่า 3.5hr ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ความประทับใจต่อ Show นี้ ติดลบไปอย่างช่วยไม่ได้
ป.ล. ข้าพเจ้าไม่ได้ลุกไปไหนตลอดเวลากว่า 3.5 hr นั่นเลยนะเออ อาจจะมีแป๊บนึงที่คุย โทรศัพท์ที่อาจจะรบกวนผู้อื่นอยู่บ้าง (ที่บ้านโทรมาถามว่ามรึงจะกลับไหม ฮาาา)
แต่.... ทั้งหลายทั้งปวงที่ดูจะเป็นอะไรที่ทำให้เครียดๆ ก่อนหน้านี้ ก็มีพระเอกขี่ม้าขาว มาทำให้ ทุกอย่างจบลงไปได้อย่างสบายใจกันทุกฝ่าย ในจุดนี้ต้องขอขอบคุณ บริการจาก @EasyTaxiThai เป็นอย่างมาก ที่เลือกจะ มาเป็นผู้สนับสนุน Show ในครั้งนี้ และมีโปรโมชันและบริการรถแท็กซี่ ทั้งรับและส่งผู้ไปร่วมงาน ให้ ได้รับการบริการที่สะดวก คุ้มค่า และปลอดภัย กลับบ้านกันอย่างสวัสดิภาภ
ในทีแรกที่เห็นข่าวว่า EasyTaxi มีโปรโมชันร่วมกับ Show ครั้งนี้ ก็ยังชอบใจ และคิดว่าอืมดีเนาะ มีบริการส่วนลดค่าโดยสารให้คนไปร่วมงานนี้ด้วย แต่จากแผนการเดินทางที่วางไว้แล้ว ก็รู้ตัวอยู่แล้ว ว่าคงไม่ได้ใช้บริการจาก EasyTaxi แน่ๆ จนตัวเองยังแอบ reply ไปถาม @EasyTaxiThai ว่า ขอใช้เป็นขากลับแทนได้ไหม บ้านอยู่ไกล กลับดึก รถตู้หมด (ฮา) ซึ่ง @EasyTaxiThai ก็ ตอบกลับมาว่าได้จ้า แต่เราก็ยังสงสัยว่า เอ๋ จะใจดีขนาดให้ฟรีทั้งไปและกลับเลยเหรอ...
และพอถึงหน้างานจริงๆ ก็มีเจ้าหน้าที่จาก @EasyTaxiThai มาสอบถามและแนะนำบริการอยู่ตั้งแต่ ทางเข้าเลย และยืนยันว่าสรุปแล้วขากลับ ก็มีโปรโมชันแบบเดียวกับตอนขามาเช่นกัน เราก็โหใจดี จังอะ แต่จากแพลนที่วางไว้ ก็ยังคิดว่า ก็คงไม่ได้ใช้บริการอยู่ดี >.<
แต่เมื่อเห็นแล้วว่า show นี้เลิกดึกแน่ๆ หนทางที่ดูว่าน่าจะปลอดภัยที่สุด ก็คงจะเป็นการใช้บริการ จาก @EasyTaxiThai นี่แหละ ก็เลยตัดสินใจสมัครใช้บริการตอนขณะนั่งดู Show นั่นแหละ 55 คือ ก่อนหน้านี้โหลดแอปไว้อยู่แล้ว แต่ยังไม่ได้สมัครอะนะ หุหุ แต่ก็ยังแอบคิดว่า เอ๋ แล้วโปรฟรีนี่จะใช้ ยังไงหว่า แล้วเขาจะมีระบบการจัดการที่ดีขนาดนั้นเลยเหรอ ต้องลงไปรอรถอีกแน่ๆ เลย เลยเป็น ปัจจัยนึงที่ทำให้ตัดสินใจลุกออกมาก่อนงานจะเลิก เพราะรู้ตัวว่าต้องเดินทางไกล ถ้าไม่มีพี่แท็กซี่รับ อาจจะต้องรอนาน และก็ไม่อยากแย่งกับคนอื่นตอนงานเลิกอีกด้วย
แต่การจัดการของทีมงาน @EasyTaxiThai ก็ทำได้อย่างน่าประทับใจ ดีเกินที่คาดไว้เป็นอย่างมาก พอลงมา ก็ยังมีเจ้าหน้าที่คอยสอบถาม แนะนำการใช้บริการ (สรุปกดเรียกเองก็ไม่ผ่าน ต้องให้เจ้า หน้าที่ช่วยกดให้ด้วยแหละ) แถมยังมีโต๊ะบริการสำหรับคนที่ยังไม่ได้โหลดแอปอีกต่างหาก เรียกได้ว่า ขอแค่คุณมีสมาร์ตโฟน (และต้องมีแพคเกจอินเทอร์เน็ตด้วย) ก็สามารถเรียกรถแท็กซี่กลับบ้าน โดยมี ส่วนลด 150 บาทให้อย่างแน่นอน #ฟันธง ดังนั้นมั่นใจว่าหากใครเกิดความเครียดจากการที่ Show เลิกดึก กลัวว่าจะกลับทันเคอร์ฟิวไหม มาเจอบริการของ @EasyTaxiThai เข้าไป คงจะหาย เครียดเป็นปริดทิ้งอย่างแน่นอน
พอท่านผ่านด่านเจ้าหน้าที่ที่ยืนยันว่าท่านกดเรียกรถจากในแอปของท่าน เรียบร้อยได้แล้ว เดินออกมา ตรงทางออกหอประชุม ก็จะเจอกับเจ้าหน้าที่อีกกลุ่ม ที่คอยอำนวยความสะดวกในการประกาศเรียก คนขับรถที่กดรับท่านให้มาหาได้อย่าง ว่องไว ทีแรกก็สงสัยอยู่เหมือนกัน ว่าแล้วไงหว้า มีพี่แท็กซี่กด ยืนยันรับเราแล้ว โทรมาบอกทะเบียรถแล้วไงต่อนะ ก็มาเก็ตตรงจุดนี้นี่เอง
พอขึ้นรถได้เรียบร้อยแล้ว ได้คุยกับพี่คนขับ ก็เลยเข้าใจกระบวนการอีกขั้น ก็คือ ทาง EasyTaxi เรียกให้แท็กซี่ที่อยู่ในโครงการ มา stand by ตั้งแต่ก่อนงานเลิก (ซึ่งพองานเลิกช้ากว่ากำหนด พี่ๆ แท็กซี่ หลายคนก็ต้องนั่งรอจนเงิบไปเหมือนกัน) เห็นว่าก็มีบางคันที่กล้ารับผู้โดยสารที่เรียกไป ใกล้ๆ แล้วมั่นใจว่าจะวนกลับมา stand by ต่อได้อยู่เหมือนกัน แต่คงไม่มาก) ก็เลยมองภาพรวม ออกว่า อืม เขาก็มีระบบการจัดการที่ดีนะ ถึงแม้ว่าเอาจริงๆ ถ้าคนมากกว่านี้ เรียกกันรัวๆ กว่านี้ ระบบที่ทำอยู่นี้ มันอาจจะยังใช้ไม่ได้ดีพอก็เถอะ
โดยส่วนตัวคิดว่าการที่ EasyTaxi มาเป็นผู้สนับสนุนกับ Show ครั้งนี้ ส่วนหนึ่งนอกจากจะเป็นการ PR บริการของตัวเองแล้ว อีกสาเหตุนึงก็อาจจะเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับ event ที่ใหญ่ กว่า งานนี้ได้เช่นกัน
FYI: งานนี้มีผู้เข้าชมประมาณ 1600 คน คนที่จะใช้บริการแท็กซี่ก็น่าจะระดับนึง (ไม่ทราบข้อมูล การประมาณการของผู้จัด) แต่คาดว่าพอยิ่งงานเลิกดึก คนที่ไม่คิดว่าจะใช้บริการ (อย่างข้าพเจ้า) ก็คงสนใจจะใช้บริการกันเพิ่มขึ้นอีกพอสมควรแหละ หุหุ (นี่ไม่ใช่ทฤษฎีสมคบคิดแต่อย่างใด อย่าคิดไป ไกล ฮาาา)
โดยสรุปก็คือ การที่ยอมเสียเงินซื้อบัตรไปเข้าชม Show ครั้งนี้ (ทั้งๆ ที่จริงๆ ก็มีสิทธิ์ขอบัตรฟรี) ผมไม่รู้สึกเสียดายเงินนะครับ ยังไงก็คือเราก็อยากสนับสนุนคนอย่างพี่เขาอยู่แล้ว ช่วยได้ก็ช่วยกันไป ถึงว่าโดยส่วนตัวจะไม่ได้ชื่นชมชื่นชอบพี่เขาในระดับ Idol แต่ก็ต้องบอกตรงๆ ว่า ยังไงสังคม IT ในบ้านเรา ก็ต้องการคนอย่างพี่อยู่นะครับ การทำเรื่อง IT ให้เข้าถึงคนส่วนใหญ่ให้ได้อย่างง่ายๆ ตามคติของพี่นั้นดีมาก และพี่ก็ทำมันได้ดี และดีขึ้นเรื่อยๆ (หมหวังว่าอย่างนั้น) แต่ถ้าถามว่าถ้าจะจัด Talkshow อีกจะไปดูไหม อันนี้ก็คงต้องบอกตรงๆ ว่า "ไม่" แล้วครับ เราติดตามผลงานเฉพาะ ส่วนที่เราเห็นว่าพี่เขาทำได้ดี ดีกว่าเนาะ ^_^
ป.ล. เขียนไปเขียนมายาวกว่า 10 หน้า นี่ผมไม่ได้มีอะไรขัดเคืองใจอะไรกับพี่เขาเป็นส่วนตัว จริงๆ นะคร้าบ \>_<
ป.ล. 2 พอไปงานนี้ทำให้ข้าพเจ้าได้รู้ว่า ศูนย์วัฒนธรรม กับ MRT สถานีศูนย์วัฒนธรรมนี่มัน "ห่าง ไกล" กันเหลือเกิน T_T