รีวิว: Aftershokz SPORTZ M3 หูฟังระบบ Bone Conduction

1 April 2015 virusfowl

นานๆ จะได้เขียนรีวิวกับเขาสักที ไม่ใช่ว่าเป็นคนประหยัดอดออม ไม่ซื้อของอะไรกับเขาหรอกนะ แต่ว่า.... ส่วนมากของที่ซื้อ ก็คืออ่านรีวิวที่คนอื่นเขาเขียน แล้วก็หลวมเนื้อหลวมตัว ซื้อตามๆ เขาอีกต่อหนึ่ง ดังนั้นก็เลยไม่รู้จะเอามาเขียนรีวิวซ้ำกับชาวบ้านเขาอีกทำไม

แต่รอบนี้ค่อนข้างพิเศษ นอกจากเจ้าหูฟังของ Aftershokz นี่จะไฮเทคล้ำสมัยแล้ว มันยังเป็นของที่ไม่ค่อยมีคนไทยเขียนรีวิวกันอีกด้วย เรียกว่าน่าจะเป็นรีวิวในไม่เกิน 5 อันแรกที่เป็นภาษาไทยเลยแหละ อิ_อิ

ดูจากชื่อโพสต์ อาจจะดูเหมือนเป็นการรับจ้างรีวิวไปนิดนึง แต่ความจริงก็คือ ไม่รู้จะใส่สร้อยอะไรที่อธิบายความเป็น "Bone Conduction" ได้สั้นและชัดเจน ก็เลยไม่ต้องใส่อะไรให้มันเยิ่นเย้อเลยดีกว่า ยังไงผู้อ่านก็ต้องผจญกับเหล่าบรรดาตัวอักษรมากมายในเนื้อหากันอยู่แล้ว ฮาฮา

Sportz M3

(ขอดูดรูปมาจากเว็บ Aftershokz เลยนะคร้าบ I-m so happy

ข้อมูลทางเทคนิค

ก่อนจะว่ากันถึงตัวสินค้าจริงๆ เรามาอ่านข้อมูลทางเทคนิคที่เขาบอกเรากันก่อนดีกว่า

  • Part number: AS450
  • Speaker type: bone conduction transducers
  • Frequency response: 20Hz~20KHz
  • Sensitivity: 100 ± 3dB
  • Microphone: -41dB ± 3dB
  • Battery: rechargeable lithium ion
  • All day play: 12 hours
  • Standby time: 10 days
  • Charge in: 2 hours
  • Weight: 1.6 oz (45g)
  • Cable length: 51 in (130cm)
  • Warranty: two years

ข้อมูลพวกนี้คงไม่ต้องแปลนะครับ แต่เดี๋ยวจะมีอ้างอิงถึงข้อมูลที่เขาว่า กับที่เราได้ใช้งานจริงในส่วนถัดไป :d

หูฟังระบบ Bone Conduction คืออะไร

"Speaker type: bone conduction transducers" ข้อนี้คงจะเป็นสิ่งที่ไม่อธิบายคงไม่ได้ ระบบ Bone Conduction กล่าวง่ายๆ ก็คือ การส่งคลื่นเสียงยิงตรงไปยังหูชั้นกลางของเรา (ที่มีกระดูก 3 ชิ้น ตามที่เราเคยเรียนๆ มานั่นแหละ) โดยไม่ผ่านหูชั้นนอก ซึ่งจะมีแก้วหูกั้นกลางอยู่นั่นเอง ส่วนข้อมูลเชิงลึกกว่านี้ หากใครสนใจ เชิญตามไปศึกษาเพิ่มเติมจาก Wiki กันได้ตามสบายคร้าบ >_<

ส่วนถ้าถามว่าหลักการนี้ทำงานอย่างไร คงต้องบอกว่าในหูฟังแต่ละเจ้า (ซึ่งเท่าที่เห็นตอนนี้ก็มีอยู่เจ้าเดียวที่ทำออกมาเป็นสินค้าสำหรับคนทั่วไป) ก็น่าจะมีเทคนิคที่แตกต่างกันไป ส่วนของ Aftershokz เอง ก็ใช้แหล่งกำเหนิดเสียงที่เหมือนลำโพงดอกเล็กๆ ใหญ่กว่า driver ในหูฟังแบบ earbud ทั่วไปเล็กน้อย มาแปะไว้ตรงข้างแก้มของเรา เรียกว่าอะไรดีอะ คือนึกว่า แทนที่หูฟังแบบ earbud จะอุดเข้าไปตรงหูเรา มันก็ขยับออกมาแปะอยู่ตรงข้างหู คือขยับจากรูหูมาในแนวนอน ออกมาข้างหน้า ให้พ้นรูหูมาแค่นั้นแหละ

ซึ่งถ้าหากดูคร่าวๆ มันก็เหมือนเราโดนหลอกอยู่เล็กๆ "อ้าว เอาหูฟังมาแปะไว้ข้างๆ หู มันก็ต้องได้ยินอยู่แล้วเซ่" แต่ถ้าลองพิสูจน์กันจริงๆ จะพบว่าหูฟังแบบ earbud ทั่วไป หากเรานำออกมาวางไว้ในตำแหน่งดังกล่าวแล้ว ถ้าเราไม่เปิดดังจริงๆ เราก็จะไม่ได้ยินเสียงจากมันเลย และถึงเปิดได้ดังพอ เสียงที่ได้ยินมันก็จะแปลกๆ ไม่สามารถให้คุณภาพเสียงได้ครบถ้วนเหมือนหูฟังจาก Aftershokz แน่นอน

เกริ่นแบบยาวๆ (ตามสูตร) 55

โดยส่วนตัวรู้จักหูฟังระบบ Bone Conduction นี้มาจากการอ่านข่าวจากต่างประเทศ เรามักจะพบในข่าวที่มีผู้พัฒนาระบบนำทางให้คนตาบอด และเขามักจะใช้ร่วมกับหูฟังระบบนี้ เพื่อให้คนตาบอดสามารถฟังเสียงบอกทิศทางไปพร้อมๆ กับการที่ยังสามารถได้ยินเสียงจากสิ่งแวดล้อมรอบๆ ข้างไปด้วย

ในตอนแรกๆ ก็ยังไม่เคยคิดจะสนใจอะไรมัน เพราะระบบนำทางที่อ่านในข่าว มันก็ยังนำมาใช้ในบ้านเราไม่ได้อยู่แล้ว แต่พอวันนึง รู้สึกว่าตัวเองใส่หูฟังมากไป คือต้องใส่หูฟังเพื่อฟังคอมพิวเตอร์ที่ออฟฟิซทั้งวัน (ถ้ามีห้องทำงานเป็นส่วนตัวได้ก็คงจะใช้ลำโพงอะนะ แต่ชาตินี้ไม่รู้จะมีหรือเปล่าเลย 55) ลองสรรหาหูฟังมาแล้วน่าจะทุกรูปแบบ ก็พบว่าไม่ว่าเราจะใส่หูฟังแบบไหน การใส่ทั้งวัน ก็ส่งผลต่อหูของเราอยู่ดี

โดยส่วนตัวคิดว่าหูแบบ earbud ที่มีขนาดเหมาะกับหูของเรา ดูจะใส่ได้นาน และสบายในระดับหนึ่ง ส่วนหูแบบ On-ear อย่าง AKG K-420 ซึ่งไม่บีบหัวนัก ก็ถือว่าใส่สบาย ฟังได้นานอีกเช่นกัน แต่นอกจากนั้น ก็ยังไม่เจอหูที่จะใส่สบาย และใส่ได้นานๆ อีกเลย ขนาด Sony MDR-1r ที่เคยลองแล้วว่าโห.. ใส่สบายมากๆ อยากได้มาใส่นั่งทำงานจุงเบย แต่พอมีปัญญาซื้อมาใช้จริงๆ (ได้เป็น MDR-1A ซึ่งใส่สบายกว่าอีกมาแทน) ก็พบว่า หูพวกนี้ใส่สบายได้ในระยะสั้นๆ แต่หากใส่นานๆ ก็จะพบว่าแรงบีบของ head band มันก็ส่งผลต่อใบหูของเราอยู่ดี

สรุปแล้วก็เลยมาหวังกับหูฟังระบบ Bone Conduction นี้ว่า เออ ถ้าไม่มีอะไรมาอุดหู ก็น่าจะใส่สบาย ไม่ต้องมีลำโพง ก็ไม่ต้องมีอะไรมาบีบหัว ก็น่าจะใส่ได้นาน เรื่องคุณภาพเสียง ขอแค่ฟังเสียงคอมได้ชัดๆ ก็โอเคแล้ว ประกอบกับพอลองหาข้อมูลดู ก็พบว่า มันมีอยู่เจ้านึง ซึ่งก็คือ Aftershokz นี่แหละ ผลิตหูฟังระบบ Bone Conduction นี้ออกมาขาย แถมราคาก็ไม่ได้โหดเกินไป อยู่ในเรตที่ซื้อหามาทดลองได้อย่างไม่เสียดายมากนัก (หากมันไม่ถูกใจหรือดีอย่างที่หวัง)

แต่ปัญหาตอนแรกคือ ไม่เจอว่ามีตัวแทนจำหน่ายในไทย ลองคิดราคาสั่งจาก Amazon แล้วก็พบว่า เจอบวกค่าขนส่ง และภาษี (ที่อาจจะได้คืนหรือไม่ได้คืนก็ได้) รวมๆ แล้ว + จากราคาหูไปเกือบเท่าตัวกันเลยทีเดียว /me ทำใจไม่ได้... T_T

นี่ถึงขั้นลองอีเมลไปถามเฮียมั่นคง (อยากสั่งหูจากเมืองนอก ก็ต้องถามคนที่เขาสั่งหูมาขายอยู่แล้วเป็นปกติสิ) ซึ่งเฮียแกก็ให้ข้อมูลมาว่า จริงๆ ควรสั่งจาก eBay มากกว่า เขาไม่คิดค่าส่ง และเรื่องภาษีก็เจอบวกไม่เกิน 17% แต่เฮียแกก็ทักมาอีกว่า ให้คิดให้ดีๆ ก่อนนะ ย้ำมาถึงสองครั้ง ทำให้เราชักหวั่นไหว ลังเล เอ๊ะ หรือมันจะไม่ดีนะ หลังจากนั้นเลยไปไล่หาอ่านรีวิว ก็พบว่า รีวิวจากเมืองนอก ซึ่งส่วนมากเป็นตัว Bluez 2 ซึ่งเป็นตัวที่เป็น Bluetooth นั่นเอง เสียงออกมาไปในแนวที่แค่พอรับได้ คือ design ผ่าน แต่คุณภาพเสียงยังไม่ดี มีปัญหาเสียงลอด เราก็อืม.... งั้นก็เอาไว้ก่อนแล้วกัน

แต่จนแล้วจนรอด เมื่อกิเลสยังไม่ถูกระงับ (ด้วยการซื้อ หุหุ) ก็กลับมาหาข้อมูลอีกรอบ และรอบนี้น่าแปลกใจ ที่พบว่าในไทย มีตัวแทนจำหน่ายของ Aftershokz แล้วด้วยแฮะ ทีแรกก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นตัวแทนแบบจริงๆ หรือของหิ้ว แต่ดูจากราคาที่บวกจากราคาที่เป็นดอลลาร์ไม่มาก ก็คิดว่าน่าจะเป็นตัวแทนจริงๆ อะแหละ

ปัญหาก็อยู่ที่ จะซื้อตัวไหน ระหว่างมีสายกับไร้สาย ซึ่งราคาห่างกันเท่าตัว

ประเด็นมันอยู่ที่ความตั้งใจแรกคืออยากได้หูฟังมาไว้ใส่ตอนนั่งทำงาน ซึ่งคอมที่ทำงานนี่ (think center) ดันไม่มี Bluetooth ในตัว ตอนแรกก็อยากได้แบบไร้สาย เพราะคิดเผื่อเวลาใช้กับมือถือเวลาไปข้างนอก ก็ต่อ Bluetooth เท่ๆ เออ มันน่าจะเจ๋งดีนะ

แต่ถ้าซื้อแบบไร้สายมา ก็ต้องหาวิธีทำให้คอมที่ออฟฟิซใช้กับหู bluetooth ได้อีก ซึ่งต่อมาพบว่าโลกนี้มันมีอุปกรณ์แบบ Avantree Saturn Pro aptX low latency Bluetooth audio receiver & transmitter ขายด้วยโว้ยยย (เป็น gadget ตัวนึงที่อยากได้มาก คืออยากให้มีคนทำแบบนี้มาขาย แต่เอาจริงๆ ก็ไม่รู้จะซื้อมาใช้อะไร 55) ก็ถือเป็นการแก้ปัญหาในจุดนี้ไปได้ (ด้วยเงิน) แต่พอคิดราคารวมๆ แล้ว เพื่อการนี้ ตูต้องจ่ายเงินห้าพันกว่าบาท แถมตัวหู Aftershokz เอง ก็ไม่รู้ว่าจะดีขนาดไหน จะแพงไปไหมหว่า....

ผลสรุปมาตกที่แบบมีสาย คือเจ้า Sportz M3 นี่เพราะว่าเรื่องแบต คือยังไงๆ หูแบบ Bone Conduction นี่ก็ต้องใช้แบตอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีสายหรือไร้สาย แต่จุดต่างมันอยู่ตรง แบบมีสายเขาเครมเวลาในการใช้งานมานานกว่าแบบไร้สายถึงเท่าตัวเลยทีเดียว แล้วถ้าตัว bluetooth ใช้งานได้แค่ 6 hr มันก็ไม่พอต่อการใช้นั่งทำงานทั้งวันแน่ๆ แล้วเอาจริงๆ ตัวมีสาย ดูจากความยาวสายแล้ว ใช้กับมือถือเวลาไปข้างนอก มันก็ไม่น่าจะลำบากอะไร แถมราคาถูกกว่า ไม่ต้องซื้อ bluetooth TX ตัวนั้นมาให้เปลืองอีกต่างหาก อืม... เอาตัวนี้แหละ

แกะกล่อง

สิ่งแรกที่เราจะพบเมื่อแกะกล่องหูฟัง Sportz M3 มาก็คือ ตัว hard case ซึ่งทาง Aftershokz แถมมาให้เรา (จริงๆ เขาก็คิดราคารวมไว้แล้วนั่นแหละนะ พูดให้ดูดีไปงั้น)

ZIPPERED STORAGE CASE

ซึ่งโดยส่วนตัว ถือเป็นอะไรที่ถูกใจมากๆ เพราะตัวเคสด้านนอกเป็นหนัง (ก็น่าจะเทียมนั่นแหละ) ให้สัมผัส (รวมถึงกลิ่น) ที่ดูดีมากๆ เทียบกับหูฟังราคาระดับ $50 ได้กล่องใส่หรูขนาดนี้ เอาไปอวดชาวบ้านก็คุ้มแล่ว 555

ด้านในกล่องที่ค่อนข้างหนาสักหน่อยนี้ ฝั่งนึงจะเป็นที่ประดิศฐานของตัวหู Sportz M3 และตรงกลางจะมีสายผ้าเย็บขึงคาดผ่าตรงกลางตามแนวขวางไว้อยู่ ซึ่งนอกจากเป็นตัวล็อคไม่ให้ตัวหูฟังดิ้นไปไหนได้แล้ว ทางผู้ผลิตยังทำเป็นห่วงตรงกลาง ซึ่งเอาไว้ให้เราเอาตัว control talk มาหนีบไว้ เพื่อความเรียบร้อยอีกด้วย ตรงนี้ถือว่าออกแบบมาได้ดีมาก ผู้ใช้อย่างเรานึกไม่ถึงกันเลยทีเดียว

และอีกฝั่งนึงก็จะขึงไว้ด้วยผ้าตะข่าย ที่ปิดประมาณ 2/3 ของทั้งหมด โดยที่ที่เว้นว่างไว้ ก็เพื่อที่จะให้ตัวหู ที่วางไว้อีกฝั่งนึง เมื่อประกบฝาสองฝั่งเข้าด้วยกันแล้ว ตัวหูที่ยังมีความหนาเกินฝาด้านนั้น จะได้มาวางลงล็อคกับช่องว่างตรงนี้ที่เหลือไว้ให้นั่นเอง

ดังนั้นฝาด้านที่เป็นตะข่ายนี้ เราสามารถใส่ของได้ก็จริง (มันสามารถใส่ iPod Video ได้สบายๆ เลยนะ) แต่ก็ไม่ควรใส่ของให้เลยมาถึงตรงช่องว่างดังกล่าว เพราะเวลาปิดฝาแล้ว มันจะไปเบียดกับตัวหูฟังของเรานั่นเอง

ซึ่งในตอนแรก ในช่องตะข่ายนี้ ทาง Aftershokz ก็จะใส่สาย Micro USB ที่เอาไว้ใช้สำหรับชาร์จไฟมาให้เราหนึ่งเส้น, การ์ดปริศนาหนึ่งใบ (ยังไม่ได้ดูว่าคืออะไร) และหนังสือคู่มือการใช้งานตามระเบียบ

MICRO-USB CHARGING CABLE

ซึ่งสาย Micro USB ที่ aftershokz แถมมา โดยส่วนตัวถือว่าเป็นสายคุณภาพกลางๆ ดูก็รู้ว่ามาจากประเทศที่อยู่เหนือจากไทย ติดกับพม่า ใกล้ๆ นี้เอง ความยาวก็ราวๆ สองฟุต เอาเป็นว่าถ้าเอาไว้ใช้แค่สำหรับชาร์จเจ้า Sportz M3 นี่ก็โอเคแหละ แต่ถ้าจะเอาไว้เผื่อใช้กับการ Sync ข้อมูลกับอุปกรณ์ที่ใช้ Micro USB ชิ้นอื่นๆ ก็ถือว่าไม่แนะนำนัก (เพราะอาจจะทำให้มันพังเร็วกว่าที่ควรได้)

Sportz M3 all

มาว่ากันถึงตัวหูฟัง Sportz M3 เป็นหูฟังแบบคล้องหลัง คือมีก้านคล้องคอด้านหลัง และนำมาเกี่ยวกับหูคล้ายๆ กับหูฟังอย่าง IGrado หรือ Koss Portapro นั่นเอง

ตรงที่เป็นแหล่งกำเหนิดเสียง (driver) ก็จะมีลักษณะคล้ายๆ กับบอดี้ของหูแบบ earbud แต่ตรงที่ควรจะเป็นตะแกรง เพื่อให้เสียงจากลำโพงลอดออกมาหาหูเรานั้น ของ Aftershokz ก็จะเป็นแผ่นยางแทน ซึ่งจุดนี้ก็คือส่วนที่จะสัมผัสกับแก้มอันเนียมนุ่มน่าสัมผัสของเราท่านนั่นเอง (เหรอ?)

แว่บแรกที่จับตรง driver ที่ว่านี้ ก็ให้ความรู้สึกเหมือนกับ stethoscope หูฟังของหมอ ที่เอาไว้ฟังเสียงหัวใจ/ปอดของเราอะ เป็นยางผิวลื่นๆ ประมาณนั้นเลย แต่ขนาดจะเล็กกว่า

และเนื่องด้วยตัวหูฟังต้องการการสั่นสะเทือนที่มากกว่าหูแบบปกติ ดังนั้นเขาก็เลยใส่ภาคขยายมาให้เราด้วยในตัว โดยจะอยู่ตรง control talk ซึ่งมีสายต่อจากหูฟังออกไป ห่างราวๆ หนึ่งฟุตได้

ซึ่งตัว control talk ที่ว่านี้ มีขนาดเล็กกว่าแอ็มลูกเจี๊ยบเล็กน้อย คือเล็กกว่าเล็กน้อยในทุกด้านทั้งกว้างยาวและความหนา (ไม่นับตัวคลิปหนีบ)

ตัว Control talk จะประกอบไปด้วย

  • ด้านหน้า ข้างบนจะเป็นปุ่มควบคุมโทรศัพท์ ใช้รับสาย-วางสายได้ และบนแอนดรอยก็ยังสามารถใช้ mute/unmute และกดค้างเพื่อสั่ง Google Now ได้อีกด้วย
  • ด้านหน้า ข้างล่างจะเป็นรูไมโครโฟน ซึ่งทาง Aftershokz เครมมาว่าใส่ระบบ Noise cancelling มาให้ด้วยนะ ?
  • ด้านข้าง (ขวา) บนสุดจะเป็นปุ่มเพิ่มเสียง ตามด้วยปุ่มลดเสียง ซึ่งเราสามารถปรับระดับเสียงได้ 8 ระดับ โดยที่ระดับที่เบาที่สุด ก็ยังจะพอได้ยินเสียงอยู่ คือลดสุดก็ไม่ได้เงียบไปเลย
  • ด้านข้าง (ขวา) ตรงกลางจะเป็นตำแหน่งของสวิตช์เปิด/ปิด โดยที่เลื่อนไปด้านบนจะเป็นการปิด และเลื่อนลงมาข้างล่างก็จะเป็นการเปิด
  • ด้านข้าง (ขวา) ล่างสุดจะเป็นตำแหน่งของรู Micro USB ซึ่งจะมีจุกเป็นยาง สามารถงัดได้จากฝั่งที่ติดกับสวิตช์เปิด/ปิด และเมื่องัดออกมาแล้ว เราสามารถหมุนไปอีกฝั่งนึงได้ เพื่อไม่ให้เกะกะ
  • ด้านข้าง (ซ้าย) ไม่มีอะไร "จะบอกเพื่อ?"
  • ด้านหลัง จะเป็นที่อยู่ของคลิปหนีบ เอาไว้หนีบกับปกเสื้อ คอเสื้อ กระเป๋าเสื้อ หรืออะไรก็ตามแต่จะสะดวก

และก็เป็นสายไปจนถึงแจ็ค 3.5 mm ซึ่งเป็นแบบตรง และมีข้อที่เล็กมากๆ ดังนั้นก็มั่นใจได้ว่าไม่ว่ารูหูฟังของอุปกรณ์ที่ท่านใช้ จะอยู่ลึก หรือโทรศัพท์ใส่เคสแบบใดๆ ก็สามารถเสียบแจ็คของ Sportz M3 นี้ได้แน่นอน Wink

และตรงสายยาวๆ จาก control talk มาจนถึงแจ็คนี้ ทาง Aftershokz ก็ยังใส่ใจในรายละเอียด แถมที่พันสายมาให้เราอีกด้วย ไม่ใช่ให้มาเป็นลวดพันสายไฟแบบธรรมดา สามัญกากๆ บ้านๆ ทั่วไป แต่ให้เป็น welcro tape หรือที่เรียกกันในภาษาไทยว่าเทปตีนตุ๊กแก หรือเทปหนามเตยนั่นแหละ ซึ่งตัดเป็นเส้นเล็กๆ ความยาวไม่ยาวมาก แถมยังตัดปลายมาเป็นขอบมล ใช้สำหรับพันเก็บสายได้พอดีๆ

ซึ่งก็มีข้อสังเกตอย่างนึงว่า โดยปกติเรามักจะพบว่าเทปหนามเตยที่ผู้ผลิตมักจะแถมมาให้เรานั้น มักจะมีจุดสัมผัสอยู่เฉพาะตรงปลายๆ สาย แต่เทปหนามเตยที่ Aftershokz สรรหามาใช้ชนิดนี้ เขาทำให้เส้นทั้งเส้นเป็นจุดสัมผัสได้ตลอดความยาวเลย แถมเมื่อจับดูแล้ว ยังให้ความรู้สึกดีกว่าเทปหนามเตยที่เราเคยใช้ๆ กันเป็นอย่างมาก คือด้านที่สากๆ แข็งๆ ก็ไม่รู้สึกหยาบจนเกินไป รู้สึกเหมือนสัมผัสกับพลาสติกซะมากกว่าจับอะไรที่เป็นขนแข็งๆ และอีกด้านที่เป็นด้านขนนิ่มๆ ก็จับแล้วให้ความรู้สึกเหมือนกำมะหยี่พอสมควร โดยรวมถือเป็นเทปหนามเตยที่น่าหาซื้อมาไว้ใช้สักม้วนเลย ^_^

headphone image

คุณภาพเสียง

โดยทั่วไป ถ้าเป็นการรีวิวสินค้าจำพวกหูฟังแล้ว สิ่งที่เป็นประเด็นหลักก็คงไม่พ้นการบรรยายเรื่องคุณภาพเสียงที่ได้จากหูฟังนั้นๆ แต่ขอบอกเลยว่าหูฟังระบบ Bone Conduction นี่ เราคงไม่ต้องพูดถึงเรื่องเสียงกันให้เสียเวลา 555

ไม่ใช่ว่าเสียงมันดีมากหรือแย่มาก จนเราไม่ต้องพูดถึงหรอก แต่เรื่องเสียงสำหรับหูฟัง bone Conduction นี้ ค่อนข้างเป็นเรื่องที่แตกต่างกันมากในแต่ละบุคคล เพราะการสวมใส่ แม้เป็นการขยับตำแหน่งเพียงเล็กน้อย ก็ทำให้คุณภาพเสียงที่ได้รับเปลี่ยนไป ผมว่ามันอ่อนไหวมากกว่าการใส่หูฟังแบบอื่นๆ มากทีเดียวแหละ อีกทั้งเชื่อว่า ผู้ที่คิดจะซื้อหาหูฟังระบบ Bone Conduction มาใช้งาน ก็คงจะเน้นที่วัตถุประสงค์ในการใช้งานกันมากกว่าคุณภาพเสียงกันอยู่แล้ว แต่จะให้อธิบายถึงเสียงแบบคร่าวๆ กันสักนิดก็พอได้อยู่ Blum 3

คุณภาพเสียงของ Sportz M3 นี้ คงต้องถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ ถ้าเทียบด้านการตอบสนองคลื่นความถี่ในย่านต่างๆ เสียงจะเหมาะกับการฟังเพลงแนวที่ชิ้นเครื่องดนตรีไม่มาก เช่น accoustic, Jazz หรือจะเป็น pop เบาๆ อาจจะเน้นเสียงร้องได้นิดหน่อย เนื่องจากตัวหูออกแบบมาให้เสียงกลางค่อนข้างชัดเจน แต่ย่านเสียงแหลมก็มีให้ได้ยินกิ๊งๆ อยู่เหมือนกัน แต่ก็ยังไม่รู้สึกว่าย่านแหลมมันสว่างมากนัก

สำหรับเบส หูตัวนี้ให้เบสที่มีอิมแพคค่อนข้างชัดเจน ด้วยลักษณะการทำงานของมัน แต่เสียงเบสที่เราได้รับนั้นจะเป็นแรงกระแทกมากกว่าโน้ตเบส คือฟังตึ้บๆ พอได้ แต่ถ้าจะฟังเบสจริงจัง ขั้นแกะเบสมาเล่นได้นั้น คงลำบาก ถ้าจะอธิบายว่าแรงกระแทกของหูตัวนี้มีแค่ไหน เอาเป็นว่า ถ้าหากเปิดเพลงที่มีเบส แล้วหยิบหูตัวนี้ขึ้นมาถือ เราจะรู้สึกได้เลยว่าตัวก้านทั้งก้านสั่นสะเทือนกันเลยทีเดียว แล้วลองนึกถึงตอนที่เราเอาหูมาใส่สิว่าแรงกระแทกทั้งหมดนั่น มันถูกส่งมาเข้าหูเราแทน... รีวิวในพันทิป จขกท. ถึงกับบอกว่า เหมือนกับมีคนมานวดขมับเลย 55 แต่โดยส่วนตัวกลับรู้สึกว่ามันจักจี้แปลกๆ มากกว่า เวลามีเบส แล้วหูมันสั่นๆ รู้สึกแปลกๆ เวลามีอะไรมาสั่นๆ อยู่ตรงแก้ม ><

สิ่งที่เป็นจุดเด่นของหูตัวนี้ก็คือมิติความกว้างของเสียง เนื่องจากลักษณะของตัวหูเอง ออกแบบมาให้แหล่งกำเหนิดเสียงอยู่ภายนอกหูเรา ทำให้เราได้ยินเสียงที่กว้าง อาจจะกว้างกว่าหูฟังแบบ open ด้วยซ้ำ เพราะตำแหน่งถูกทำให้ห่างจากหูของเรามากขึ้นไปอีก

ซึ่งก็ยังมีคนอุตส่าห์ ทำรีวิวเสียงของหูฟัง Aftershokz นี้ไว้ให้เราได้ฟังคร่าวๆ อีกด้วย

ในคลิปเป็นเสียงจาก Bluez 2 ซึ่งก็ถือเป็นหูใน generation เดียวกับ Sportz M3 นี่แหละ เพียงแค่เป็นตัวไร้สาย

สรุป ข้อดี ข้อเสีย

ผ่านการรีวิวแบบบ้านๆ กันไปแล้ว ทีนี้ถึงช่วงจัดหนัก จัดเต็ม กับเจ้าหูฟัง Aftershokz Sportz M3 หูฟังในระบบ Bone Conduction ตัวนี้กันแล้ว วห้าๆ

ระบบ Bone Conduction

จุดนี้ โดยส่วนตัวที่ไม่เคยเห็นรูปร่างหน้าตาของเจ้าหูตัวนี้ (และในระบบนี้) มาก่อน จึงค่อนข้างมีความคาดหวังกับมันไว้พอสมควร ว่ามันน่าจะล้ำ มันน่าจะไฮเทค แต่พอมาเจอของจริง แว่บแรกก็ยอมรับว่าเหมือนโดนหลอกเล็กน้อย "นี่มันหลอกให้เราใส่หูฟังแปลกๆ เอา driver ออกมาไว้ข้างหูแค่นี้อะเหรอ?" เงินสองพันของตู..... (ใส่เสียง echo+delay)

แต่พอได้ใช้งานจริง ลองคิดให้ดี... อืม มันก็คุ้มนะ อย่างน้อยวัตถุประสงค์ที่ไม่อยากเอาหูฟังมาอุดหูทั้งวัน ตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก มันก็ตอบสนองได้แหละน่า ~

แต่ถ้าถามว่า จุดเด่นที่ทาง Aftershokz เครมไว้สำหรับระบบ Bone Conduction ซึ่งก็คือ การที่เราสามารถฟังเพลงไปพร้อมๆ กับการได้ยินเสียงรอบข้างไปด้วยนั้น โดยส่วนตัวยังถือว่าจุดนี้ไม่ได้ตอบโจทย์นี้ได้ดีเท่าที่ควร เพราะถึงยังไง มันก็เหมือนเราฟังเสียงจากลำโพง ถึงจะไม่ใช่หูฟังที่มีตัวหูมาปิดรูหูเราไว้ก็ตาม แต่ถ้าหากเราเปิดเสียงที่ดัง คือไม่ต้องถึงกับดังมาก ยังไงคลื่นเสียงมันก็ต้องกลบคลื่นเสียงจากสิ่งแวดล้อมที่ย่อมจะเบากว่า ทำให้เราก็ยังได้ยินเสียงจากรอบข้างเบาลงอยู่ดี

แต่ถ้าหากมองว่า สำหรับคนที่ใช้ออกกำลังกาย อย่างการวิ่งหรือปั่นจักรยาน ที่ต้องทำอยู่กลางที่สาธารณะ เช่นบนถนน การที่เราไม่มีอะไรมาอุดหูไว้ตรงๆ หากเกิดเหตุฉุกเฉิน ซึ่งย่อมมีเสียงดังกว่าปกติจากภายนอก เราก็ยังมีโอกาสได้ยิน และรู้ตัวได้ทันท่วงทีมากกว่าการใส่หูฟังแบบอื่นๆ มากพอสมควร ยังไงมันก็มีข้อดีแหละน่า 55

คุณภาพเสียง

ตัวเลขที่เครมไว้ 20-20,000 hz นั้นก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าทำได้จริงไหม แต่ถ้าถามว่าหูฟังตัวนี้ฟังเพลงเพราะไหม คงต้องตอบแบบจริงใจเลยว่า "ก็พอได้" แต่ถ้าถามถึงจุดประสงค์หลักที่อยากเอามาใช้กับคอมหรือมือถือ ฟังแต่เสียง Text to speech ทั้งวัน ก็ถือว่าหูฟังตัวนี้ตอบสนองการใช้งานในจุดนี้ได้ดี

ไมโครโฟน

ได้ลองทดสอบการใช้ไมโครโฟนคุยกับเพื่อน ครั้งแรกผ่านทางคอมพิวเตอร์ผ่าน Skype พบว่าเสียงไมที่ได้ค่อนข้างไม่ดี แถมมีเสียงจี่ๆ รบกวนในบางเวลา คาดว่ามาจากการเชื่อมสายภายในที่อาจจะไม่แน่นหนานัก เวลาขยับบางมุม จึงเกิดคลื่นรบกวน แถมระบบ Noise cancelling ที่บอกว่าแถมมาให้ ก็ทำให้ถ้าพูดห่างไม อีกฝ่ายก็จะแทบไม่ได้ยินเสียงเราไปเลยด้วย แต่พอต่อมา ลองทดสอบคุยกับเพื่อนผ่านโทรศัพท์ดู แบบถือไมไว้ใกล้ๆ ปาก ก็พบว่าอีกฝ่ายได้ยินเสียงในระดับที่พอใช้ได้ ก็คงต้องสรุปว่ามันเหมาะสำหรับใช้ร่วมกับโทรศัพท์มือถือมากกว่าใช้กับคอมพิวเตอร์แหละนะ

อายุการใช้งานของแบตเตอรี่

จุดนี้ถือเป็นเรื่องที่ถูกใจ และ surprise! มากๆ เนื่องจากอายุการใช้งานที่เครมไว้ตามสเปคคือ 12 hr โดยปกติเรื่องแบตเตอรี่นี่ ใครๆ ก็รู้ว่าผู้ผลิตมักจะบอกตัวเลขแบบที่ใช้งานน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เทียบกับมือถือก็คือการเปิดฟีเจอร์ทุกอย่างแบบต่ำสุด แล้ววางทิ้งไว้กันเลยทีเดียว เพื่อให้ตัวเลขอายุการใช้งานออกมามากที่สุด

แต่สำหรับ Aftershokz นี่ไม่ใช่คร้าบเพ่น้อง นอกจากอายุการใช้งานจะใช้ได้ยาวนานกว่าที่ระบุไว้แล้ว ถึงแม้ใช้แบบหนักที่สุด ในที่นี้ก็คือการปรับความดังของ volume ที่ตัวหูไปที่ระดับสูงสุด ก็ยังใช้งานได้เกินกว่าที่ระบุไว้เป็นอย่างมาก

การทดสอบรอบแรกคือ ใช้งานแบบกลางๆ คือเน้นปรับ volume ที่คอมให้ดัง แล้วปรับ volume ที่ Sportz M3 ไว้ที่ระดับ 4 5 6 ซึ่งโดยปกติ เมื่อเราเปิดหูฟังตัวนี้ขึ้นมา ระดับความดังจะถูกปรับไว้ที่ระดับ 7 เสมอ แล้วใช้งานไปเรื่อย พบว่าสามารถผ่านการใช้งานแบบ workday hour ไปได้ 2 วัน ซึ่งก็คือ 16 hr เข้าไปแล้ว แต่ในเมื่อแบตมันยังไม่หมด เราก็เลยหยิบมันมาฟังต่อ พบว่าสามารถผ่าน 18 hr ไปได้อย่างสบายๆ แบตยังไม่หมดแน่ๆ แต่หลังจากนั้นก็ดันหลับไป โดยที่ยังเปิดหูฟัง stand by ค้างไว้ พอตื่นมาตอนเช้า (10 ชั่วโมงต่อมา) ก็พบว่ามันยังฟังได้อีกแป๊บนึง คือไม่กี่นาที แบตก็หมดลงอย่างสนิท

การทดสอบรอบที่สองก็คือ การใช้งานแบบหนักที่สุด คือปรับระดับความดังที่ Sportz M3 ไว้ที่ระดับ 8 ตลอดเวลา และปรับความดังที่คอมไว้ที่ระดับที่เราได้ยินตามปกติ ซึ่งก็เบากว่าการทดสอบแบบแรกมาก) และมีการใช้งานไมโครโฟนเพื่อคุยโทรศัพท์เกือบๆ 2 ชั่วโมงอีกด้วย ก็ยังพบว่า มันสามารถใช้งานผ่าน workday hour 2 วันไปได้แบบสบายๆ แต่ไม่เพียงเท่านั้น ในเมื่อแบตมันยังไม่หมด เราก็ทดสอบต่ออีกเหมือนเดิม ทีนี้มันก็ยังผ่าน 18 hr ไปได้อีกเช่นเคย ซึ่งในชั่วโมงหลัง ก็ถือโอกาสนำไปต่อกับ iPod เพื่อเปิดเพลงสำหรับเบิร์นหูฟังมันด้วยซะเลย 555

จากการทดสอบสองรอบ ใน 4-5 วัน ก็พบว่าถ้าอายุการใช้งานแบตเตอรี่สามารถใช้งานได้ขนาดนี้ ก็ต้องถือว่าพอใจมากๆ และเพียงพอต่อการใช้งานอย่างแน่นอน (ขอให้แบตอย่าเสื่อมไวแล้วกัน) Smile

การรับประกัน

อย่างที่บอกไปแล้วว่าทางร้านที่ซื้อมา เขาบอกว่าเขาเป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ดังนั้นหูฟังตัวนี้ จึงมีการรับประกันมาให้เราด้วย แต่ทางร้านเขารับประกันให้เราเพียง 1 ปี เท่านั้น ทั้งที่บนหน้าเว็บ Aftershokz เขาบอกว่าเขารับประกันสินค้าของเขา 2 year นะ ด้วยความสงสัย ก็เลยสอบถามไปกับทางผู้ขาย และได้รับคำตอบว่า ผู้ขายรับประกันให้ 1 ปี คือทางผู้ขายจะรับผิดชอบเปลี่ยนสินค้าให้ลูกค้าได้เลย แต่ในปีที่ 2 สินค้าของเราก็ยังมีการรับประกันอยู่ แต่ถ้าหากมีปัญหา ลูกค้าต้องส่งสินค้าไปเครมกับทาง Aftershokz ที่อเมริกาด้วยตัวเอง =-= (เออๆ ก็ยังดี)

ข้อเสนอแนะ

ในส่วนนี้รู้ว่าบ่นไป ทาง Aftershokz ก็คงไม่ได้รับ feedback ของเราหรอก แต่ก็ขอบ่นๆ หน่อยแล้วกัน 55

เรื่องแรกที่อยากให้ปรับปรุงคือเรื่องของวัสดุและงานประกอบ โดยเจ้าหูฟัง Sportz M3 ตัวนี้ วัสดุทั้งตัวก้าน ตัวบอดี้ ตัว control talk ทำมาจากพลาสติกผิวด้าน ซึ่งจับแล้วก็ไม่ให้ความรู้สึกหรูหราอะไร แต่ถ้ามองว่าเขาเน้นความเป็น sport การใช้วัสดุแนวๆ นี้ ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ เพราะตัวก้านเอง ก็ให้ความยืดหยุ่นที่ดี ในระดับหนึ่ง (แต่มันก็ทำ glossy ได้เปล่าว้า?)

ตัวก้านหูฟังถ้าออกแบบให้พับได้จะสะดวกต่อการพกพามากกว่านี้ คือก็เข้าใจว่าหูฟังที่เป็นแบบคล้องหลังนี่ วัสดุมันต้องเน้นความยืดหยุ่น เพราะไม่ได้ใช้ตัวล็อคปรับระดับเหมือนหูฟังแบบ Full size หรือ on-ear / over-ear แต่ส่วนตัวคิดว่า ในเชิงการออกแบบ เราสามารถทำให้ตัวหู ใกล้ๆ กับจุดที่ใช้เกี่ยวหู สามารถถอดได้ คือแค่คล้ายๆ กับดึงออกมาเพื่อปรดล็อค แล้วมีข้อต่อทำให้พับได้ เพื่อจะสะดวกต่อการพกพามากขึ้น เพราะถ้าไม่อย่างนั้น การพกพา เจ้า Sportz M3 นี่ วิธีที่ปลอดภัยที่สุดก็คือต้องพกมันไปทั้ง Hard case ที่แถมมา ซึ่งก็ค่อนข้างมีขนาดที่ใหญ่ (จริงๆ มันไม่ได้ใหญ่มากหรอก แต่มีความหนา) ซึ่งดูจะขัดกับกลุ่มเป้าหมายก็คือกลุ่มของคนที่ออกกำลังกาย ซึ่งมักจะไม่ได้ชอบพกอะไรที่เกะกะเกินไป

ถ้าเป็นไปได้ควรปรับปรุงเรื่องสาย คือสายหูฟังนี้ดูมันจะค่อนข้างเปราะบางมากไปหน่อย ถ้าเทียบกับความเป็น sport ของมัน ถ้าจะให้ดีที่สุดก็คือ ควรทำให้สายในทุกจุด สามารถถอดได้ ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ เช่นการเกี่ยวหรือโดนแรงกระชาก แทนที่สายจะขาด แล้วทำให้หูใช้งานไม่ได้ไปเลย แต่หากใช้แจ็คในการเชื่อมต่อ ทั้งระหว่างตัวหูฟังกับ control talk และตัว control talk กับ device ที่ใช้ฟัง แทนที่สายจะขาด ก็อาจจะแค่แจ็คหลุดแทน หรือกรณีที่แย่จริงๆ ถึงขั้นสายขาด เราก็ยังสามารถหาสายมาเปลี่ยนได้ ไม่จำเป็นต้องซื้อหูใหม่...

แถม... ภาคพิศดาร

พอมันเป็นหูฟังที่ไม่ต้องเอาอะไรมาอุดหู เราก็เลยเกิดอยากทดลองอะไรแผลงๆ อย่างเช่น ลองอุดหูฟังเพลงดู เพื่อเป็นการทดสอบว่าจริงๆ แล้ว ระบบ Bone Conduction ที่เขาโม้ มันทำงานได้จริงหรือเปล่า ซึ่งก็พบว่า "จริงแฮะ" แม้เราจะอุดหูแล้ว เสียงจาก Sportz M3 ก็ยังดังอยู่ แถมดังกว่าเดิมเสียด้วย ซึ่งจุดนี้ ก็ไม่แน่ใจว่าอาจจะเป็นเพราะ นิ้วเรา กลายเป็นสื่อนำเสียงให้ตัวหูมันอีกทางหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ คือ เสียงที่ได้ยินกลับต่างไป ฟังคล้ายๆ กับเรานั่งฟังลำโพงอยู่ในห้อง แล้วเปิดเสียงดังๆ หน่อย แต่ดูจะเป็นลำโพงที่เสียงหม่นๆ หน่อยนะ 55 เพราะความใสของมันค่อนข้างหายไป

ซึ่งคำตอบก็อยู่ที่ จริงๆ แล้ว ระบบ Bone Conduction นี้ มันไม่ได้ทำงานตามทฤษฎีที่ว่าทั้งหมด 100% คือเสียงไม่ได้ผ่านเข้าไปยังหูชั้นกลางของเราโดยตรงทั้งหมด มันยังมีคลื่นเสียงบางย่าน โดยเฉพาะย่านความถี่สูงๆ ที่มันยังดังลอดออกมาจากตัวบอดี้ แล้วแก้วหูของเราก็รับเสียงตรงนั้นเข้าไปด้วยอีกช่องทางหนึ่ง ดังนั้นคงกล่าวไม่ได้ว่า เสียงไม่ผ่านแก้วหูเลย

นอกจากนี้ ด้วยความที่มันเป็นหูคล้องหลัง แต่ไม่ต้องวาง driver ให้อยู่ตรงกับหู เราจึงลองจับมันใส่ในท่าทางอื่นๆ แทนที่จะคล้องหลังคอ ก็หมุนมาไว้ใต้คางดูซิ (แต่แบบนี้ต้องสลับข้างซ้าย-ขวา) หรือจับมันหมุนไปวางก้านไว้บนหน้าผากดูซิ

ซึ่งการวางในแต่ละท่า ก็จะให้เสียงที่แตกต่างกันไป แต่ที่ต่างอย่างชัดเจนก็คือ เราไม่ต้องเอาก้านหูมาเหน็บตรงหูให้เมื่อยอีกแล้ว 55555

คำเตือน: ถ้าทางแปลกๆ ดังกล่าว ไม่ควรใช้ในที่สาธารณะ เพราะนอกจากจะแปลกประหลาดแล้ว (แค่ใส่ Aftershokz นอกบ้าน คนก็คงมองกันแล้ว "ไอ้นี่ทำไมไม่ใส่หูให้ตรงรูหูหว่า?") มันยังหลุดได้ง่ายอีกด้วย เนื่องจากไม่ได้มีจุดยึดเกาะที่แน่นหนาเพียงพอ

สรุป (จริงๆ ละ)

ถามว่าเทียบกับเงินสองพันที่เสียไปนี่คุ้มไหม คงต้องตอบว่าสำหรับวัตถุประสงค์ที่ซื้อหาเจ้า Aftershokz Sportz M3 นี่มาใช้ ก็ต้องตอบว่าคุ้มแหละ (คุ้มตั้งแต่ hard case ละ 5555)

ด้วยลักษณะการใช้งานที่ไม่ต้องเอาอะไรมาอุดหู (แต่มารำคาญตรงเหน็บหูแทน TT) คุณภาพเสียงที่ไม่ได้แย่อะไร อายุการใช้แบตเตอรี่ที่ยาวนานเกินคาด เหตุผลเหล่านี้ก็เพียงพอสำหรับการบอกต่อๆ ให้คนที่มีวัตถุประสงค์คล้ายกัน หาซื้อเจ้า Sportz M3 มาใช้งานกันได้แล้ว Smile