EP 0.9 : ฉันจะบิน

28 April 2016 virusfowl

สำหรับคนอยากเสพแบบสั้นๆ เราได้ใช้ Notebook LM สร้าง audio overview ไว้ให้กดฟังกันได้ตรงนี้

เพลงประกอบนี่เป็นเพลงที่เก่ามากกกก แน่นอนว่าผู้เขียนก็ฟังมาตั้งแต่ยังเด็กมากๆ (เด็กมากๆ จริงๆ นะ) แต่ก็เป็นเพลงหนึ่งที่รู้สึกว่าชอบ และมันทำให้เราเกิดแรงฮึดเพื่อที่จะทำอะไรบางอย่าง จำได้ลางๆ ว่าเพลงนี้เป็นเพลงประกอบละครเรื่องอะไรสักเรื่อง แต่จำพลอตอะไรไม่ได้แล้ว 55

นอกจากทริปนี้จะเป็นการไปเที่ยวต่างประเทศครั้งแรกของผู้เขียนแล้ว มันก็ยังเป็นครั้งแรกที่ผู้เขียนขึ้นเครื่องบิน

หลายคนอาจจะคิดว่าคนที่ไม่ยอมขึ้นเครื่องบิน เป็นพวกขี้กลัวหรือเปล่า (โรค Aerophobia ) แต่บอกได้เลยว่าสำหรับผู้เขียนเองนั้น สาเหตุที่ไม่ยอมขึ้นเครื่องบินมาก่อน (ซึ่งจริงๆ ก็ไม่ได้มีโอกาสให้จำเป็นต้องขึ้นอะไรอะนะ) นั้นไม่ได้เกิดจากความกลัวอย่างแน่นอน เพราะคนที่ติดตามข้อมูลข่าวสารด้านวิศวกรรม อากาศยาน หรือข่าววงการเทคโนโลยี หรือสถิติอุบัติเหตุต่างๆ ก็จะทราบดีว่า ที่จริงสถิติการเกิดอุบัติเหตุสำหรับผู้โดยสารเครื่องบินนั้นต่ำมาก ทั้งนี้ในเมื่อเราก็รู้กันดีอยู่แล้วว่า การจะนำเจ้านกเหล็กน้ำหนักหลายร้อยตันขึ้นไปลอยอยู่บนฟ้าได้นั้น มีความเสี่ยงในตัวเองมากอยู่แล้ว ดังนั้นการออกแบบในวงการอากาศยานเอง ก็จำเป็นต้องเคร่งการควบคุมด้านความปลอดภัยให้ได้มากเท่าที่จะมากได้ และก็ทำให้จากการเดินทางที่ดูเหมือนน่ากลัวหรืออันตรายนั้น แท้ที่จริง มันคือการเดินทางที่ปลอดภัยที่สุดวิธีหนึ่งด้วยซ้ำ

เชื่อหรือไม่ว่า พาหนะอย่างเครื่องบิน ถือเป็นพาหนะที่ปลอดภัยอันดับ 2 ของพาหนะทุกอย่างบนโลก รองจาก... รองจาก "ลิฟต์" ใช่แล้วครับลิฟต์ก็นับเป็นพาหนะชนิดหนึ่งนะ โดยจากสถิติ เครื่องบินมีโอกาศตกเพียง 1 ใน 11 ล้านเที่ยวบินเท่านั้น สถิติน้อยขนาดนี้ แถมเปอร์เซ็นการรอดของผู้โดยสารที่ประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตก จากการบันทึกไว้ในปี 1983-2000 ยังพบว่า มีผู้โดยสารที่รอดชีวิตถึง 95.7% หรืออาจบอกได้ว่าความเสี่ยงในการเสียชีวิตด้วยการโดยสารรถยนต์ไปยังสนามบิน สูงกว่าการโดยสารเครื่องบินเองถึง 8 เท่าด้วยซ้ำ

อ้างอิง: 1, 2, 3

THE GULFSTREAM G650

จาอาวววๆๆ Credit ภาพจาก gulfstream.com

ส่วนเหตุผลที่ผู้เขียนนั้นไม่ยอมขึ้นเครื่องบินก็เนื่องมาจากเหตุผลบ้าๆ +งี่เง่าสุดๆ ของตัวเอง คือตั้งใจไว้ว่า ชีวิตนี้ถ้าจะขึ้นเครื่องบิน ต้องขอเป็นเครื่อง private jet เท่านั้น 55555 สงสัยอ่านข่าวพวก "ของหรู" "ที่สุดในโลก" มากไปหน่อยจนเพ้อ อิอิ

ดังนั้น ในเมื่อทริปนี้เป็นครั้งแรกที่ผู้เขียน ยอมโดยสารเครื่องบิน (เพราะชวนคนอื่นเดินทางด้วยวิธีอื่นๆ อย่างเช่น "รถไฟ" แล้วไม่ประสบความสำเร็จ) เราก็เลยสมควรหยิบมันมาบันทึกไว้เสียหน่อย สำหรับ "ประสบการณ์ครั้งแรก" Blum 3

AirportLink แย่สมคำร่ำลือไหม

นอกจากประเด็นเรื่องการทำเอกสารหนังสือเดินทาง เพื่อเป็นก้าวแรกของการจองตั๋วเครื่องบินแล้ว ก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่ถือเป็น "ครั้งแรก" ของผู้เขียนอีกเช่นกัน นั่นก็คือ "การขึ้นรถไฟลอยฟ้า AirPort rail Link"

เคยได้ติดตามข่าวมาตั้งแต่ยังไม่สร้าง จนสร้างเสร็จ จนเปิดใช้ ทั้งสาย City line และสายด่วน Express line จนสุดท้าย ด้วยการบริหารที่ไม่ไหว ก็ทำให้ Airport rail Link เหลือแต่สาย City Line ให้บริการเท่านั้น "."

ด้วยความที่ก็ไม่เคยใช้บริการมาก่อน เพื่อความมั่นใจ เราก็เลยตั้งเป้ากันไว้ที่สถานีพญาไท ซึ่งเป็นสถานีแรกกันไว้ดีกว่า กะว่าถ้าคนเยอะ แต่ยังไงก็เป็นสถานีแรกล่ะน่า รถก็คงมีมาเรื่อยๆ

แต่สรุปแล้ว คนก็ไม่ได้เยอะอย่างที่คาด และจุดเด่น ซึ่งเป็นเสียงลือเสียงเล่าอ้างของหลายคนที่ได้ขึ้น Airport Link ก็คือ "เสียงปิดประตู" พอได้มาพบกับตัว ได้ฟังกับหู ก็ "ซึ้ง" จริงๆ ว่าประตูพี่ท่านจะปิดรุนแรงไปไหนครับ 555

แต่ทั้งนี้ ก็แอบคิดเพ้อเจ้อไปถึงความหมายนัยอันแอบแฝง ของการที่ประตูปิดดังๆ ขนาดนั้น โดยส่วนตัวแอบคิดไปว่า หรือมันจะเป็นสัญลักษณ์ของ "การตัดจาก" "การจากลา" อะไรบางอย่าง

แน่นอนว่า ทุกคนที่โดยสารมากับ Airport Link นั้น ก็ไม่ได้แปลว่าเป็นคนที่ต้องการเดินทางไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ และเดินทางไปต่างประเทศหรือในประเทศกันทุกคน

แต่โดยส่วนมาก ก็คงเป็นคนที่กำลังจะ "เดินทาง" ซึ่งการ "เดินทาง" ก็ย่อมแปลว่าเป็นการจากสิ่งเก่า และก้าวไปหาสิ่งใหม่ อย่างปฏิเสธไม่ได้

ดังนั้น "เสียงปิดประตู" อาจแฝงนัยอะไรบางอย่าง ให้เราคิดได้ว่า การเดินทางของชีวิต ย่อมต้อง "ตัด" หรือ "ละทิ้ง" อะไรบางอย่างไว้ข้างหลังเสมอ..... -*-)

ส่วนประเด็นอื่นๆ เกี่ยวกับ Airport Link ที่อยากจะคอมเมนต์ ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องการออกแบบรางกับพื้นสถานี ที่ทำให้มีช่องว่างตัวรถกับสถานีค่อนข้างกว้าง ซึ่งก่อให้เกิดความไม่สะดวก และอาจจะถึงขั้นเป็นอันตรายได้ จริงๆ ปัญหาจากการออกแบบแค่นี้ น่าจะถูกแก้ไขได้ไม่ยาก โดยอาจจะออกแบบส่วนเสริมขึ้นมาเพื่อทำให้ ผู้โดยสารขึ้นลงรถได้ปลอดภัยมากขึ้น (ไม่น่าจะยาก)

และทริคเล็กๆ ที่แอบพบเองโดยบังเอิญก็คือ สำหรับคนที่หอบหิ้วกระเป๋าไปหลายๆ ใบ แม้ว่าคุณจะได้ที่นั่ง แต่คุณก็ยังต้องพะวงห่วงจับกระเป๋าไม่ให้กลิ้งไปไหนต่อไหน แต่ถ้าคุณสามารถนั่งโดยที่มี "เสา" อยู่ด้านหน้าแล้ว คุณก็จะสามารถใช้ขาของคุณสองข้าง + เสาด้านหน้าอีกหนึ่งต้น เป็นตัวล็อกกระเป๋าหรือสัมภาระของท่าน ให้ไม่ดิ้นหนีไปไหน โดยที่เราสามารถนั่งหลับได้อย่างสบายใจด้วยซ้ำ 5555

เค้าเพิ่งเคยมาสุวรรณภูมิแหละตัวเธอ ><

ความรู้สึกแรกเมื่อได้เหยียบยังสนามบินสุวรรณภูมิ (เชยว่ะ ใครๆ เขาก็เคยไปกันจนเบื่อละ) แต่ผู้เขียน เอง นอกจากความทรงจำในวัยเยาว์ ที่จำได้เลาๆ ว่า เคยไปส่งคุณพ่อขึ้นเครื่องบินไปทำงานที่ต่างประเทศ ที่ดอนเมืองตั้งแต่ยังเด็กมากๆ แล้ว (ก่อน 5 ขวบอะ) ก็ไม่มีความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับสนามบินใดๆ อีกเลย

ดังนั้นการเดินทางไปสุวรรณภูมิครั้งนี้ จึงถือว่าเป็นการเดินทางไปสนามบินอย่างเป็นทางการ และจำความได้ครั้งแรกเลยก็ว่าได้

ความรู้สึกที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งถือเป็นสนามบินนานาชาติ ของไทย ที่ติดอันดับโลกในหลายๆ ด้าน และก็มีคุณภาพในระดับมาตรฐานโลกที่ไม่น้อยหน้าใคร (ถึงจะมีข่าวทุจริตกันอยู่เรื่อยๆ เกี่ยวกับการสร้างก็เถอะ) นั้นรู้สึกเฉยๆ มาก แค่รู้สึกว่าเป็นสถานที่ที่คนเยอะ มีคนพูดภาษาต่างๆ วุ่นวายกันไปหมด รู้สึกว่าคนเยอะแบบเยอะมาก นี่จะขยันเดินทางกันไปไหน นี่มันวันธรรมดากลางสัปดาห์ด้วยซ้ำนะ ไม่ใช่วันหยุดยาวหรือโอกาสพิเศษใดๆ

มาถึงตอนที่ต้องตรวจกระเป๋า ผ่านเครื่องสแกน (ซึ่งก็คือเจ้าเครื่อง CTX ซึ่งเป็นข่าวครึกโครมเกี่ยวข้องกับการทุจริตนั่นแหละ) ก็เป็นขั้นตอนที่ค่อนข้างแปลกใหม่มาก เพราะหลายคนน่าจะคุ้นเคยกับการตรวจกระเป๋าก่อนเราจะลงรถไฟใต้ดิน (MRT) แบบความไวแสงของพี่ๆ เจ้าหน้าที่ MRT กันมาแล้ว

แต่แน่นอนว่า การตรวจกระเป๋า+สัมภาระสำหรับคนที่จะเดินทางออกนอกประเทศโดยเครื่องบินนี้ ย่อมต้องทำอย่างละเอียด และไม่สามารถใช้ความไวแสงในการทำงานได้ ฮาฮา

ถึงของที่ผู้เขียนแบกไปผ่านเครื่องตรวจจะมีหลายกระเป๋า (รับแบกกระเป๋าชาวบ้านติดมาด้วย) แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร ยกเว้นแอบลุ้นว่า โน้ตบุ๊กที่ดันไม่ได้เอาออก และใส่อยู่ในกระเป๋าผ่านเครื่องสแกนไปนั้น จะมีผลกระทบอะไรหรือเปล่า (แน่นอนว่าผลคือไม่ เพราะไม่อย่างนั้น ป่านนี้คงไม่มีคอมมานั่งปั่นบล็อกนี้ได้หรอก) Smile

หลังจากผ่านด่านการสแกนกระเป๋ามาได้อย่างค่อนข้างตะกุกตะกักพอสมควรแล้ว (คนช่วยมีแค่หนึ่ง แต่คนมองไม่เห็นพ่วงมาด้วยสองคน) เราก็เข้าสู่การเดินทางไกล... ยังครับ ยังไม่ได้หมายถึงการขึ้นเครื่องบิน แต่หมายถึงการพยายามวิ่ง/เดินเร็ว ไปยัง gate ที่จะขึ้นเครื่องต่างหาก หนทางช่างยาวไกลนัก แถมเวลาก็เร่งเข้ามาเรื่อยๆ. . . . .

"ทำไมสนามบินมันใหญ่อย่างนี้ฟระ" คงเป็นคำถามที่ใครหลายคนเคยสงสัย รวมถึงผู้เขียนด้วย อิอิ

แต่ก็นั่นแหละครับท่านผู้ชม ถ้าไม่ใหญ่ มันก็จะมีเครื่องบินจอดได้น้อย บริการคนได้จำนวนน้อย มันก็ไม่ยิ่งใหญ่สมกับที่จะเป็นสนามบินระดับนานาชาติ ซิ....

สรุปก็คือ ไปขึ้นเครื่องได้อย่างเฉียดฉิว ถึงจะไม่ได้ถึงกับช้า แต่ก็ถือเป็นกลุ่มท้ายๆ ที่ขึ้นเครื่อง ซึ่งไม่ดีเลย เพราะตอนที่เราต้องถอดกระเป๋า ยกกระเป๋าไปวางบนชั้นวางของเหนือหัวนั้น ก็อาจจะไปกระทบคนอื่น ทำให้ไม่สะดวกทั้งเขาและเราได้ ดังนั้นทางที่ดี สำหรับโอกาสหน้า (ถ้ายังมี) ก็ควรรีบไปขึ้นเครื่องให้เร็วๆ ไว้ก่อน (จดๆ)

พาตัวเองมาอยู่บนเครื่องแล้วววว

เครื่องบินที่ผู้เขียน ได้ขึ้นเป็นครั้งแรกนี้ เป็นของสายการบิน Tigerair ซึ่งเป็นสายการบินต้นทุนต่ำ (low-cost Airline) ที่เป็นของบริษัทในประเทศสิงคโปร์เองเลย ความน่าเชื่อถือในการบินไปยังประเทศสิงคโปร์ มันก็ย่อมดูมีภาษีดีกว่าเจ้าอื่นกันบ้างแหละ (หาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง เพราะจองได้สายการบินนี้มาแล้ว โปรถูกๆ หลังจากตูจองแล้ว ก็ขยันออกกันมาเหลือเกิน :@ )

เข้าใจว่าเป็นเครื่อง Airbus A320-200 ที่ถูกดัดแปลงให้บรรจุผู้โดยสารชั้นประหยัดทั้งลำ ซึ่งถือเป็นเครื่องขนาดกลางค่อนไปทางเล็ก ดังนั้นบรรยากาศภายในเครื่อง จึงถือว่าดูทึบๆ ไปสักนิด แต่เมื่อเรานั่งประจำที่นั่งแล้ว เครื่องจะแคบจะกว้าง ก็คงไม่สำคัญอะไรมาก เพราะพื้นที่ของเรา ก็จะมีแค่หลังที่พิงกับเบาะ และขาที่ถูกจำกัดไว้โดยพนักพิงของเบาะคนข้างหน้าเพียงเท่านั้น ซึ่งโดยส่วนตัว ผู้เขียนเองก็เป็นคนที่ขาค่อนข้างยาว (ถึงจะคิดว่าสันหลังยาวกว่าก็ตาม) ก็ไม่ได้รู้สึกว่านั่งแล้วเมื่อยอะไร เพราะเราสามารถยืดขาไปใต้ที่นั่งของเบาะข้างหน้าได้ ถ้ายังพอยืดขาได้ เปลี่ยนท่าได้ ก็ถือว่าสบายระดับหนึ่งแล้วล่ะ

ถามถึงประสบการณ์ครั้งแรกในการขึ้นเครื่องบิน โดยส่วนตัวก็ไม่ได้ตื่นเต้น หรือกลัวอะไร ก็แค่อยากรู้ว่าความรู้สึกจริงๆ ณ ตอนที่เครื่องขึ้นนั้นเป็นอย่างไร (จะเหมือนกับที่เราเล่นรถไฟเหาะในสวนสนุกไหม) แล้วตอนที่เครื่องขึ้นไปลอยตุ๊มป่องอยู่บนอากาศแล้วล่ะ ความรู้สึกของผู้โดยสารจะเป็นอย่างไรนะ

แต่พอได้สัมผัสด้วยตัวเองแล้ว กลับไม่ได้ประทับใจ หรือตื่นเต้นอย่างที่แอบคาดไว้

วินาทีที่เครื่องขึ้น ก็แทบไม่ต่างจากเวลาเราขับรถขึ้นเนินชันๆ ขึ้นแล้วก็นิ่ง แล้วก็ขึ้นต่อ (ขั้นตอนการไต่ระดับความสูง) ทำให้ผู้โดยสารแทบไม่รู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ในหลักอากาศพลศาสตร์ วิศวกรรม หรือองค์ความรู้ต่างๆ ที่ประกอบขึ้นมาเป็นเจ้านกเหล็กนี้กันเสียเท่าไหร่เลย

แน่นอนว่าเราคงต้องยกเครดิตให้สองพี่น้องตระกูล Write ซึ่งเป็นผู้ที่ทำให้ความฝันของมนุษย์ ที่อยากจะบินได้เหมือนนกนั้นเป็นไปได้จริงขึ้นมา แถมนอกจากจะบินได้คนเดียวแล้ว นกเหล็กในปัจจุบัน ยังสามารถพาผู้คน โดยสารไปกับมันทีละจำนวนมากๆ ได้อีกด้วย

สิ่งที่แปลกใจอย่างนึงคือเรื่องการประกาศบนสายการบินมากกว่า เท่าที่เคยรู้มา เขาก็จะประกาศแนะนำรายละเอียดสภาพอากาศ ความเร็วลม ฯ โดยกัปตัน ตอนต้น (อืมอันนี้ก็มี) แล้วก็เป็นการสาทิตการใช้อุปกรณ์กู้ชีพในกรณีฉุกเฉิน (อืมอันนี้ก็มี แต่แทบไม่ได้ฟังเลย ก็ฟังไม่รู้เรื่องน่ะ สำเนียงอิ๊งแบบ...)) แต่... ไอ้การประกาศโฆษณาบริการโน่นนี่ เข้ามาด้วยนี่สิ คือทำตัวเป็นกูเกิลคอยยิงโฆษณามาให้เราแบบไม่ถามความเห็นผู้รับซ๊ากคำกันสินะ ต่อไปคงมีจอโฆษณาให้นั่งดูกันชิลๆ ตลอด flight เป็นแน่ สำหรับสายการบินแบบ Low-cost นี่.....

>> EP 1.0 : Day 1 ครึ่งวันแรกในสิงคโปร์