EP 1.0 : Day 1 ครึ่งวันแรกในสิงคโปร์

28 April 2016 virusfowl

สำหรับคนอยากเสพแบบสั้นๆ เราได้ใช้ Notebook LM สร้าง audio overview ไว้ให้กดฟังกันได้ตรงนี้

ในที่สุดเราก็มาถึง "สิงคโปร์"

เมื่อเครื่องลง (แน่นอนว่าอย่างปลอดภัย) ณ สนามบินชางงี (Changi Airport) ในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งสนามบินนี้ก็เป็นอีกสนามบินนึงที่ดีอยู่ในระดับต้นๆ ของสนามบินในโลก ความรู้สึกส่วนตัวของผู้เขียนเอง ก็รู้สึกว่ามันโอเคกว่าสุวรรณภูมิบ้านเรานะ คืออย่างน้อยทางเดินเขาก็ปูพรมเสียส่วนใหญ่ แถมก็ดูเงียบสงบดี ผู้คนไม่เห็นพลุกพล่านเหมือนสุวรรณภูมิบ้านเราเลย หรืออาจเพราะเราไปถึงตอนกลางวันของพุธ เลยคนน้อยก็มิทราบได้

หลังจากเริ่มปฏิบัติภารกิจหลัก (ถ่ายรูป) กันจนพอใจแล้ว เราก็เดินออกมาจาก gate เพื่อจะไปหาด่านตรวจคนเข้าเมืองกัน แต่ระหว่างทาง ก็มีแวะพักกดน้ำ เพราะเราก็ได้อ่านกันมาว่าที่สิงคโปร์นี่น้ำแพงมาก ดังนั้นพอสาวๆ เจอตู้กดน้ำ (ฟรี) ก็เลยรีบพุ่งเข้าใส่อย่างไว

ตู้กดน้ำฟรีที่สนามบินชางงี

กดน้ำแล้ว ก็แวะเข้าห้องน้ำ แน่นอนว่าสนามบินนานาชาติระดับนี้ เขาก็มีห้องน้ำคนพิการด้วยแหละ อะไรๆ ก็ดูดีนะ แต่.... ทำไมน้ำที่อ่างล้างมือมันไหลเอื่อยจังหว่า นี่ประเทศนี้ขาดแคลนน้ำจืดใช้อุปโภคบริโภคกันขนาดนี้เลยรึ!

Welcome selement datang

ก่อนจะไปถึง ตม. สาวๆ ก็ยังหามุมถ่ายรูปกันอย่างไม่ลดละ แต่ดันไปถ่ายตรงไหนไม่ถ่าย ไปถ่ายตรงป้ายเวรกรรม (welcome) ซึ่งรู้ทีหลังว่าเขาห้ามถ่ายกันซะด้วย จริงๆ ก็มีคนเดินมาบอกให้ลบรูปนะ ถึงได้สำนึกกันว่าป้ายเขาห้ามถ่าย แต่.... เขาสั่งแล้วลบกันมั้ย?

จนมาถึงตอนผ่านด่าน ตม. ขาเข้าประเทศสิงคโปร์ ซึ่งจุดนี้ก็เป็นอีกด่านหนึ่งที่แอบหวั่นๆ อยู่พอสมควร ว่าเขาจะเข้มไหม จะถามโน่นนี่ ซักเอกสารหรือเปล่า แต่อาจด้วยการบอกกล่าวจากเพื่อนที่ผ่านไปก่อนหน้า ประกอบกับการไม่ค่อยตอบสนองต่อการถามคำถามของเจ้าหน้าที่ จากเรา (ฮาฮา) เขาก็เลยมองหน้าแล้ว เออ ไอ้นี่มันคงไม่มีอันตรายอะไรหรอก ปล่อยๆ มันเข้าประเทศไปแล้วกัน จึงผ่านมาได้ด้วยการตอบคำถามแค่ 2-3 ข้อเท่านั้น หุหุ

ซึ่งข้อดีของการที่สาวๆ มัวแต่ถ่ายรูปกันอยู่ก็คือ ถึงแม้เครื่องบินลำที่ผู้เขียน ขึ้นมา จะมีผู้โดยสารเต็มลำ ซึ่งทุกคนก็น่าจะต้องมาผ่านตม. เช่นกัน แต่เมื่อผู้เขียนมาผ่านตม.นั้น ไม่ต้องต่อคิวกับใครเขาเลย อิอิ อาจถือเป็นข้อดีของการมาในวันธรรมดากลางๆ สัปดาห์ก็เป็นได้ Biggrin

เมื่อผ่านด่าน ตม. กันมาได้ครบทุกคนแล้ว (ไม่เห็นมีใครมีปัญหาอะไรอย่างที่กลัวไว้ล่วงหน้านะ มีแค่ใครเจอคำถามเยอะหรือเจอคำถามน้อยเท่านั้นเอง) ทีนี้ก็ถือว่าเรามาถึงประเทศสิงคโปร์กันอย่างเป็นทางการแล้ว (เย้ๆ) เข้าสู่สถานะของนักท่องเที่ยวอย่างเต็มตัวแล้ว วห้าๆๆ

ถึงแล้วก็ต้องเริ่มปฏิบัติภารกิจ

แพลนแรกที่ต้องไปทำก็คือ การไปหาซื้อ sim card สำหรับเอามาใช้เล่นเน็ตบนโทรศัพท์มือถือ ซึ่งหลังจากงมอยู่ 2-3 ร้าน เราก็เจอที่ขายจนได้ (เกือบโดนหลอกให้ซื้อตั้งแต่ร้านแรกละ ยังดีที่มีสติ ถามเงื่อนไขโปรโมชันกันก่อน เหอๆ)

ไม่น่าเชื่อว่าแค่การเปลี่ยนซิมโทรศัพท์ จะทำพวกเราเสียเวลา (มุง) กันอยู่หน้าเคานต์เตอร์ขายซิมนั่นเกือบๆ ชั่วโมง เนื่องจาก สาวๆ ไม่เคยเปลี่ยนซิมกันเองบ้าง (เข็มจิ้มซิมคืออะไร ไม่เคยรู้จัก) ก็ช้าไปส่วนนึงแล้ว แต่อีกส่วนที่ทำให้ช้าก็คือ ซิมที่มาใส่ในโทรศัพท์ Android นั้น มันดันมีปัญหา ไม่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ เป็นปัญหาด้านการตั้งค่าอะแหละ ก็นั่งงมกันอยู่นานสองนานสามนานสี่นาน แล้วก็ยังไม่รอด (เครื่องผู้เขียนเองนี่แหละที่ไม่รอด ของคนอื่นเขาได้กันหมดแล้ว) แต่ผู้เขียน ก็งมด้วยตัวเองนะเคอะ ไม่ได้ให้คนขายช่วย พอเห็นว่าเหลือของเราอยู่เครื่องเดียว ก็เลยตัดสินใจว่า ไปกันเถอะ ยังไงก็ซื้อแล้ว ต่อให้ใช้ไม่ได้ ก็คืนไม่ได้ แล้วคนอื่นใช้ได้ เดี๋ยวเครื่องตูก็ใช้ได้เองแหละ ไปงมต่อที่โรงแรมดีกว่า ไม่เสียเวลา (และไม่เมื่อยด้วย ตูยืนจนขาแข็งละ) ก็เลยตัดสินใจจากเคานต์เตอร์ขายซิมมา โดยที่ยังมีเครื่องของผู้เขียน ที่ยังใช้เน็ตไม่ได้ ฮรืออออ Sad

ด่านถัดไปก็คือการซื้อบัตร Singapore Tourist Pass : STP ซึ่งเป็นบัตรสำหรับการใช้บริการขนส่งมวลชนในสิงคโปร์ได้เกือบทุกอย่าง แถมใช้ได้แบบไม่จำกัดอีกด้วย โดยบัตรนี้ก็มีราคาอยู่ที่ 20 SGD ต่อ 3 วัน และต้องเสียค่ามัดจำบัตรอีก 10 SGD เท่ากับว่าเราต้องจ่ายเงินเพื่อจะได้บัตรนี้มาเป็นจำนวน 30 SGD นั่นแล แต่ตอนเอาบัตรไปคืนเขา ก็จะได้เงินมัดจำ 10 SGD คืนไง งงปะ ซึ่งหลายคนในกลุ่มของผู้เขียน ค่อนข้างงงกัน 555 ยิ่งพออธิบายเงื่อนไขว่า เราไม่สามารถซื้อบัตรนี้สำหรับ 5 วันได้ คือทีแรกเข้าใจว่าจ่ายตังไปรวดเดียวแล้วใช้ได้มากกว่า 3 วันได้ แต่ความจริงคือ เราต้องซื้อบัตรสำหรับ 3 วัน และนำมาคืน และซื้อบัตรสำหรับวันที่เหลือใหม่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ T_T

Tactile BrailleBlock in Singapore Credit: A more blind-friendly island?

ระหว่างนี้ก็แอบมีข้อสังเกตอย่างนึงว่า ในสนามบินจนถึงรถไฟใต้ดินในสิงคโปร์นี้ เขามีเบรลล์บล็อกสำหรับคนตาบอดด้วยแฮะ แถมสภาพก็ดูใหม่ วัสดุดูคงทน (มีความแข็ง) ไม่ใช่แผ่นยางง่อยๆ สีเหลือง (หม่นๆ จากความเก่า) แบบที่เราเห็นกันบ้างในกรุงเทพ แต่ที่นี่เป็นสีเงิน (เข้าใจว่าคงเห็นได้ชัดเจนแหละมั้ง) และวัสดุดูมีความแข็ง ดูน่าจะทนว่างั้นเหอะ หุหุ

BrailleBlock in Thai credit: www.holidaythai.com

แถมเบรลล์บล็อกนี่ ก็ดูจะใช้งานได้จริง คือมีครบ และไม่พาคนเดินตามไปชนกับอะไรแน่ๆ (ยกเว้นคนที่มายืนขวาง)

นอกจากนี้ระบบลิฟต์ในสิงคโปร์เอง ก็มีเสียงและปุ่มที่เป็นอักษรเบรลล์ เสียส่วนมาก ถือว่าเป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับผู้เขียน เป็นอย่างมาก (เข้าใจว่าประเทศที่เขาพัฒนาแล้ว หลายๆ ประเทศ ก็มีแบบนี้กันหมดอยู่แล้วอะนะ Universal Design คงยังเป็นสิ่งใหม่ในบ้านเราเกินไป)

พอได้ขึ้นรถไฟใต้ดิน หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า SMRT ในสิงคโปร์ ก็ทำให้ได้พบถึงระบบ (หรือจะเป็นบั๊ก) ของการแตะบัตรเพื่อเข้าสถานีของที่นี่ คือถ้าเราแตะบัตรเพื่อเข้าสถานีแล้ว เกิดเหตุให้ไม่สามารถเข้าไปได้ เราไม่สามารถแตะบัตรซ้ำ เพื่อให้ประตูเปิดอีกได้ ถึงแม้ว่าบัตรที่เราใช้ จะเป็นแบบบุฟเฟ่ คือใช้ได้แบบไม่จำกัดก็ตาม (เข้าใจว่าคงออกแบบมากันคนเวียนบัตรกันใช้อะแหละ) พอเจอปัญหาแบบที่ว่าทีนึง ก็ต้องเอาบัตรไปให้เจ้าหน้าที่เคานต์ใน SMRT แก้ให้เราทีนึง คุณเพื่อนเลยได้หัดพูดภาษาอังกฤษคำว่า "Failed card" กันแบบคล่องแค่วเลยทีเดียว เพราะบัตรของพวกเรา ก็ผลัดกัน Fail กันอยู่เรื่อยๆ 55

มาถึงโรงแรมกันแล่วววว

จากที่คิดว่าจะ early check in สำหรับโรงแรม ด้วยความช้า เอ้อระเหย ก็ทำให้เรามาถึงโรงแรมเลยบ่ายสามเข้าไปแล้ว

ภาพสาวๆ ขณะจ่ายเงินค่าที่พัก ภาพสาวๆ ขณะจ่ายเงินค่าที่พัก

ความรู้สึกแรกที่ได้เข้ามาตรงลอบบี้ของโรงแรมนี้ก็คือแอร์เย็นๆ และ "กลิ่น" ครับ โรงแรมนี้มีกลิ่นน้ำหอมปรับอากาศที่ติดจมูกมาก ไม่แน่ใจว่าเขาใช้กลิ่น Lavender ตามชื่อโรงแรมหรือเปล่า แต่พอใช้ชีวิตในสิงคโปร์ไปเรื่อยๆ ผู้เขียนกลับคิดว่ากลิ่นนี้มันเป็นกลิ่นที่เขาใช้กันทั้งสิงคโปร์ จนเหมือนเป็นกฎหรือนโยบายยังไงไม่รู้แฮะ...

รอเช็กอินนานนิดนึง (ไม่รู้ปกติหรือเปล่า ไม่เคยนอนโรงแรม 4 ดาว 555) แถมต้องจ่ายเงินเลยอีกต่างหาก

แต่ที่ชอบก็คือได้ห้องโลเคชันถูกใจมาก ชั้น 15 ซึ่งเป็นชั้นบนสุด และได้ห้องมุมสุดด้วย

ระบบของโรงแรมต้องใช้การ์ดเข้าห้องแตะลิฟต์ เพื่อจะกดชั้นต่างๆ ได้ รอบแรกเข้าไปกดไม่ได้ ก็มึนกันไปหนึ่งรอบ

แถมด้วยการจำเลขชั้นผิด จาก 15 > 5 ขึ้นไปได้แล้วก็เอ... ทำไมห้องแตะแล้วมันไม่เปิดฟระ (เซ่อกันไป)

ในห้องนอนสาวๆ ในห้องนอนสาวๆ อีกภาพ

ความพึงพอใจสำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกในห้องก็ถือว่าโอเคมาก ติดแค่ไม่มีอ่างอาบน้ำ กับผ้าเช็ดตัวที่เป็นเสื้อคลุมอาบน้ำให้ใช้แค่นั้นล่ะ อิอิ

วิวจากห้องพักสาวๆ

กระจกบานใหญ่ (แน่นอนว่าเปิดไม่ได้ มีขอบเป็นหินอ่อน กว้างพอนั่งๆ นอนๆ ได้ การออกแบบนี้เขาเรียกอะไรสักอย่างนะ แต่ชอบ ทีแรกคิดจะเอาผ้านวมไปปูนอนด้วยซ้ำ แต่คิดไปคิดมา กลัวดิ้นถีบกระจกแตก แล้วจะร่วงจากชั้น 15 ลงไปนี่สิ Shok

เข้าห้องแล้วสองหนุ่ม (บอดๆ) ก็ต้องศึกษาห้องกันเอง ทีแรกตั้งใจจะให้สาวๆ มาช่วยบอกอะไรๆ แต่ชีๆ เผ่นกลับห้องตัวเอง แล้วหายจ้อยไปเลย สองหนุ่มก็เลยต้องลงมือกันเอง ก็ใช้+รู้เกือบทุกอย่าง ยกเว้นการแยกแยะเจลอาบน้ำกับยาสระผม ซึ่งหลอดเหมือนกันเป๊ะ (ขนาด TapTapSee ยังช่วยไม่ได้) แล้วก็วิธีการใช้ตู้เซฟ กับการปรับแอร์และการใช้โทรศัพท์ภายในเท่านั้นเอง (รวมๆ แล้วก็เยอะอยู่นะ เหอๆ)

Coffee set ในห้องพักโรงแรม

ป.ล. สิ่งที่ปลื้มมากก็คือ กาต้มน้ำร้อนแบบที่ตั้งบนเตาแม่เหล็กไฟฟ้า 555 มันช่างดูปลอดภัยและใช้งานง่ายอะไรจะปานนั้น อยากหาไปใช้ที่บ้านสักชุดเลยทีเดียว เหอๆ

เริ่มรู้จักสิงคโปร์กันแล้ววว

ย่าน Chinatown ยามเย็น

สำรวจห้อง+จัดการอะไรๆ ได้สักพัก เราก็ต้องเริ่มด่านถัดไป ซึ่งก็คือการไปซื้อบัตรเข้า Universal Studios ที่ร้านซีวิว โดยการนั่งรถไฟใต้ดิน ซึ่งวิธีไม่ยากเพราะมีเว็บไซต์ สองบาท บอกไว้อย่างชัดเจน แต่พอไปถึงตึกจริงๆ ก็ต้องถามเขาอีกต่ออยู่ดีว่าร้านอยู่ชั้นไหน เพราะในเว็บบอกแต่เลขห้องมา ไม่ยอมบอกชั้นง่ะ

ไปถึงร้านได้อย่างไม่ยากเย็น เพราะพอโผล่ขึ้นไปที่ชั้น 3 แล้ว จากลิฟต์ก็เห็นร้านได้ทันที อยู่เยื้องไปทางซ้าย และคุณมัสซึ่งเป็นพนักงานของทางร้านที่เป็นคนไทย ก็บริการดีสมกับคำล่ำลือ อธิบายรายละเอียดสถานที่+การเดินทางได้แบบละเอียดและใจเย็นมากๆ ขนาดเราซื้อแค่บัตรเข้า Universal Studios ที่เดียวนะ พี่เขาก็ช่วยอธิบายทางไปศูนย์อาหาร Maxwell แถมให้ด้วย 55

เราได้บัตรเข้า Universal Studios ในราคา 62 SGD แต่มีข่าวร้ายนิดหน่อยคือ บัตรที่เราซื้อตอนนี้ ไม่มีแถมคูปองใช้แทนเงินสดในสวนสนุกมูลค่า 5 SGD ให้แล้ว T_T นึกว่าจะประหยัดค่าข้าวไปได้สักมื้อ Sad

จุดหมายถัดไปหลังจากเสียตังกันเรียบร้อยกับบัตรเข้า Universal Studios ก็คือการหาอาหารมาเติมลงกระเพาะ เพราะตั้งแต่มื้อเช้าที่สุวรรณภูมิ ก็ยังไม่ได้กินข้าวกลางวันให้เป็นเรื่องเป็นราวกันเลย

เป้าหมายของใครหลายคนเมื่อมาสิงคโปร์ ก็คงหนีไม่พ้น "ข้าวมันไก่สิงคโปร์" ซึ่งร้านชื่อดังอย่าง "Tian Tian Hainanese Chicken Rice" ที่อยู่ในศูนย์อาหาร Maxwell ใกล้กับวัดพระเขี้ยวแก้ว ก็ถือเป็นร้านที่ชื่อดังที่สุดร้านนึง ถึงขั้นมีบางคนกล่าวว่า "มาสิงคโปร์ ถ้าไม่ได้กินข้าวมันไก่เทียนเทียน ก็ถือว่ามาไม่ถึงสิงคโปร์" กันเลยทีเดียว

โดยเมื่อออกจากตึก People's Park Centre มาแล้ว เราก็ต้องเดินผ่านย่าน Chinatown ซึ่งก็มีร้านรวงมากมายรายทาง สาวๆ ก็เดินดูกันไป ถ่ายรูปกันไป ร้านขายของที่ดูจะเรียกความสนใจก็เห็นจะเป็นร้านขาย Magnet ซึ่งก็ยังไม่ขอแวะดูมาก เนื่องจากพี่มัสบอกมาว่า ป่านนี้ก็ไม่แน่ว่าข้าวมันไก่เทียนเทียนนั้นจะหมดหรือยัง ณ จุดนี้ เราเลยตั้งใจจะไปหาข้าวทานกันก่อน แล้วค่อยกลับมาช็อปทีหลังก็ได้

เย็นวันแรกก็ได้หลงทางแล้วคร้าบ

แต่หนทางไปยังศูนย์อาหาร Maxwell ก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น ถึงแม้จะได้รับการอธิบายอย่างใจเย็นและละเอียดจากคุณมัสมาแล้ว พอเดินมาจนถึงหน้าวัดฮินดู สาวๆ ก็แวะถ่ายรูปกันอีก แล้วทำไปทำมา ก็กลายเป็นเหลือผู้เขียนกับเพื่อนคนที่เดินมาด้วยกันอยู่กันสองคน เพื่อนลองเดินไปหาคนอื่นๆ ก็ไม่เจอ เลยคิดว่าเขาคงเดินล่วงหน้ากันไปก่อนแล้วล่ะมั้ง

ด้วยความที่ตรงหน้าวัดฮินดูมันเป็นคล้ายๆ กับสามแยก พอแยกจากเพื่อน ก็เลยไม่แน่ใจว่าต้องเดินไปทางไหน ถึงจะฟังมาด้วยกันทุกคน แต่พอถึงสถานที่จริง ด้วยความมีหลายทางให้เลือก มันก็เลยงงๆ มันก็ยังงงๆ สรุปก็คือเดินผิดจนได้....

แต่การเดินผิด หรือที่เรียกง่ายๆ ว่าหลงทางนี้ ก็ทำให้ผู้เขียนกับเพื่อน ได้ไปสัมผัสกับอีกมุมนึงของสิงคโปร์ ที่เพื่อนคนอื่นๆ ในกลุ่ม ไม่มีโอกาสได้ไปสัมผัส จากหน้าวัดฮินดู เราเดินหลงมาจนถึงถนน Temple ซึ่งเป็นคล้ายกับย่านออฟฟิซ (อาจเปรียบได้กับสาทรหรือสีลมบ้านเรา) แต่การออกแบบผังเมือง ถนนฟุตปาธ ล้วนกลับดูสวยงามร่มรื่นกว่ากันมาก จากที่ผู้เขียนสัมผัสด้วยตัวเองได้คร่าวๆ ก็คือ เขาให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียว ตามตึกหรือฟุตปาธด้านหน้าตึก ก็มักจะพบสนามหญ้า พุ่มไม้ และฟุตปาธก็กว้างและเรียบ ให้ความรู้สึกเป็นระเบียบและร่มรื่นไปในตัว

กลับมาเจอกันอีกครั้ง ณ หน้าวัดพระเขี้ยวแก้ว

พอรู้ตัวว่าหลง หลงแน่ๆ เราก็ตัดสินใจเดินย้อนกลับทางเก่า ไปตั้งต้นกันหน้าวัดฮินดูอีกรอบ แต่ก็ยังงงๆ ก็พอดีกับที่เพื่อนกลุ่มที่เหลือโทรเข้ามา ก็เลยใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ ติดต่อสื่อสารกัน กว่าจะเดินไปเจอกันได้ ก็ใช้เวลาไปไม่น้อย (แล้วข้าวมันไก่จะยังรอฉันไหม?)

ได้กินสักทีข้าวมันไก่สิงคโปร์

chicken rice tian tian ข้าวมันไก่สิงคโปร์เจ้าดัง ณ ศูนย์อาหาร Maxwell

ทีนี้เราก็ถือว่ามาถึงสิงคโปร์อย่างเป็นทางการแล้วสินะ เพราะได้มาทานข้าวมันไก่สิงคโปร์ ที่ใครๆ มาก็ต้องมาทานกัน (จริงๆ ก็ไม่ทุกคนปะ) เมื่อเราผ่านจากวัดพระเขี้ยวแก้ว ซึ่งเป็นจุดที่รวมตัวกันได้อีกครั้งหลังจากมีคนหลงทาง (ใครหว่า?) ก็เดินผ่านมาอีกนิด ข้ามฝั่งอีกหน่อย เราก็มาถึงศูนย์อาหาร Maxwell กันแล้ว

ศูนย์อาหารบ้านเขา ถึงจะไม่ติดแอร์ และให้ความรู้สึกเป็น food court เหมือนในห้างสรรพสินค้าในบ้านเรา แต่ก็ให้ความรู้สึกสะอาด โปร่ง พอสมควร น่าจะเทียบได้กับโรงอาหารตามสถานศึกษาแหละมั้ง แค่ขนาดใหญ่กว่า และน่าจะมีร้านเยอะกว่า

เข้ามาพวกเราก็หาโต๊ะนั่งกันได้ไม่ยาก ก็ราวเกือบๆ ทุ่ม แต่คนก็ไม่ได้เยอะ น่าจะเพราะเป็นวันธรรมดาด้วย ทีนี้ก็เป็นหน้าที่ของสาวๆ กันละที่จะต้องไปตามล่าหาร้านเทียนเทียน เพื่อที่พวกเราจะได้ทานข้าวมันไก่สิงคโปร์กันเสียที.....

เมื่อสาวๆ กลับมา ก็ได้ความมาว่า "มันมีสองร้านติดกันอะ ไม่รู้ร้านไหน" แต่มีนางนึงดันซื้อติดมือกลับมาแล้วจานนึง บอกว่าก็ซื้อจากร้านนึง แต่พอชีลองทานแล้วก็มีข้อสงสัยว่าร้านที่ซื้อ ไม่ใช่ร้านชื่อดัง เพราะบอกว่าไม่อร่อย เกือบจะเปลี่ยนใจกินอย่างอื่นกันแล้ว แต่สรุปคนที่ไปจองคิว ก็สั่งให้ทุกคนเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็เลยได้ลิ้มลองข้าวมันไก่สิงคโปร์ กันเป็นมื้อแรก ตั้งแต่เหยียบย่างลงในประเทศนี้

ผลสรุปออกมา ก็ถือว่า บางคนชอบ บางคนไม่ชอบ จุดเด่นคือไก่เนื้อนุ่มๆ ออกฉ่ำๆ หน่อย แต่เนื้อไก่เองไม่ค่อยมีรสชาติอะไรเด่น ส่วนน้ำจิ้มนี่ไม่รู้เนื่องจากผู้เขียนเป็นคนที่ไม่ชอบทานน้ำจิ้มใดๆ ทั้งสิ้น แต่ถ้าจะให้คอมเมนต์ก็คงเป็นเรื่องราคาต่อปริมาณ เราซื้อน่าจะจานใหญ่เลยแหละ เพราะราคาตั้ง 5 SGD ซึ่งที่เคยอ่านมา ราคามันเริ่มต้นแค่ 2 กว่าๆ ก็มีนี่นา... แต่ปริมาณที่ได้ ก็พอๆ กับข้าวมันไก่แบบธรรมดาบ้านเรา ไม่ถึงขั้นสั่งพิเศษด้วยซ้ำ ก็อะนะ ที่นี่อะไรๆ ก็แพงงงง

จานที่ว่างเปล่า หลังจากข้าวมันไก่หมดเกลี้ยง

อร่อยหรือไม่อร่อยก็.... เกลี้ยง ตามภาพ Blum 3

เมื่อเสร็จจากมื้อเย็น (เย็นแล้วล่ะ) ก็แวะเดินย่าน Chinatown กันต่ออีกหน่อย แอบเล็งๆ ร้านของฝากกันไว้ (magnet) แต่ตกลงกันว่ายังไม่ซื้อ เพราะเดี๋ยววันหลังก็คงกลับมากันอีกรอบอยู่ดี สาวๆ ก็ยังคงเดินถ่ายรูปกันต่อไป จนเวลาสักสองทุ่ม ทุกคนเริ่มรู้สึกเหนื่อย ก็เลยตัดสินใจจะกลับโรงแรมกัน

ย่าน Chinatown ยามค่ำ

Garrett เป็นเหตุ

เรื่องมันยังไม่จบเพียงแค่นั้น ความวายป่วงมันเริ่มที่ตรงจุดนี้ เนื่องจากตอนกินข้าว มีคนเสนอว่า "เราจะซื้อ Garrett ไปกินกันไหม คืนนี้" แล้วก็ลองหาดูว่ามันมีขายที่ไหนบ้าง ได้ผลลัพธ์ว่า มันมีขายที่สถานี SMRT สถานีนึงที่เราต้องผ่านอยู่แล้วตอนนั่งกลับโรงแรม ก็เลยคิดว่า อืม ก็แค่แวะซื้อ แล้วก็นั่ง SMRT กลับโรงแรมต่อ คงไม่เสียเวลามาก ก็เลยสรุปว่างั้นแวะซื้อ Garrett กันก่อนแล้วกัน

ความวายป่วงชั้นแรก คือ "หาร้าน Garrett ไม่เจอ" ขนาดตกลงกันแล้วว่าไม่ต้องเดินหาเองนะ ถามเขาเลย จะได้ไม่เสียเวลา แต่ผลคือ ถาม+เดิน+ถามใหม่ +เดิน อยู่หลายตลบกว่าจะเจอร้าน ซึ่งอาจจะถือว่าเจอเพราะมีคนได้กลิ่นก็ว่าได้

สรุปก็เลยได้ซื้อ Garrett ไปกินเล่นกันในคืนแรก แต่ก็เพิ่งรู้ว่าโปรถุงเล็ก ซื้อ 1 แถม 1 ที่สิงคโปร์นี่ก็มีเหมือนในไทยด้วยแฮะ (ทีแรกแอบนึกว่าในไทยขายไม่ดีเหรอ มีโปรเรียกลูกค้าแบบนี้เลยทีเดียว) เลยได้ Garrett small มาสองถุง ในราคา 5 SGD

ความวายป่วงชั้นที่สอง (ซึ่งเป็นของจริง) มันเริ่มหลังจากที่ซื้อ Garrett ได้แล้วต่างหากครับท่านผู้ชม เนื่องจากเดินวนไปวนมา อยู่บนห้างเหนือสถานี SMRT อยู่หลายตลบ ทำให้ ผู้นำทางของเรา เกิดอาการ "มึน" "นี่ไง เราเดินกันมาจนถึงอีกสถานีนึงแล้ว" แต่ความจริงก็คือ อีกสถานีน่ะจริง แต่ไม่ใช่สถานีถัดไปของ SMRT สายเดิมที่เรานั่งมา มันเป็นคนละสาย (โว้ยยยย) ผลคือ พอลงไปแล้ว ก็เกิดอาการขี้เกียจออก ไม่อยากเดินถอยหลัง 555

ใช้ความพยายามที่มีมากหลาย บวกกับความรู้เส้นทาง SMRT อันกระจิดริด พยายามหาวิธีนั่งกลับไปสายเดิม ที่ใช้กลับโรงแรม โดยที่ไม่ต้องกลับขึ้นไปสถานีที่ลงมาใหม่อีกรอบ

ผลคือ ผิดแล้วผิดเล่า เส้นทางที่วางแผนกันไว้ (เรียกว่าสุมหัววางแผนการนั่ง SMRT ก็พอได้) ดันขึ้นผิดฝั่ง ทีนี้ก็ยิ่งแย่กันไปใหญ่ จากที่นั่งไม่กี่สถานี เปลี่ยนขบวน แล้วก็นั่งต่ออีกนิดนึงก็ถึงโรงแรมเลย กลายเป็นว่าต้องต่อแล้วต่ออีก แถมอ้อมโลกกลับไปเกือบถึง Chinatown อีกรอบ เพื่อจะย้อนกลับมายังโรงแรม.... เห้อ แต่ที่สุดมันก็ผ่านไปได้ ถึงโรงแรมกันอย่างปลอดภัย แต่ร่างกายคงเกือบพังกันพอสมควร หุหุ

หลังจากกลับถึงโรงแรมก็ไม่มีอะไรต้องเคลียกันแต่อย่างใด ก็ถือว่าแยกย้ายกันพักผ่อนตามอัธยาศัย ซึ่งก็เป็นเวลาล่วงไปกว่าสี่ทุ่มเข้าไปแล้ว....

แล้วผู้เขียน ก็ทำโน่นทำนี่ จัดการตัวเอง จัดการเคลียทวีต (ซึ่งก็อ่านไม่หมด เหลือค้างไว้ตั้ง 300 tweets) และก็เริ่มปั่นบล็อกแต่ ก็ยังทำไม่เสร็จดีด้วยซ้ำ ขนาดแค่คิดว่าเขียนร่างไว้คร่าวๆ ก่อนก็พอ เวลาล่วงไปเกือบตีสาม ก็เลยตัดสินใจนอน เพราะวันถัดไปเรานัดกัน เจ็ดโมงเช้า แปลว่าต้องตื่นก่อนนั้นอีกด้วย... (สรุปคืนแรกนอนไปไม่ถึง 3hr ดี เหอๆๆ หลังจากที่อดนอนมาราทอนมาร่วม 36HR แล้วอะนะ

และครึ่งวันแรกของข้าพเจ้า (และเพื่อนๆ) ณ ประเทศสิงคโปร์ ก็จบลงด้วยประการชนี้

z...z...z...z...z

>> EP 2.0 : Day 2 ไปเที่ยว Lego Land กันเถอะ (ความสนุกบางทีก็ไม่ได้อยู่ในสวนสนุก)