EP 4.0 : day 4 สิงคโปร์ แบบ... ไม่โปรเอาซะเลย
สำหรับคนอยากเสพแบบสั้นๆ เราได้ใช้ Notebook LM สร้าง audio overview ไว้ให้กดฟังกันได้ตรงนี้
วันนี้ถือเป็นวันที่ออกกันสายที่สุดในทริป (บอกแล้วว่าเมื่อคืนเหนื่อยกันทุกคน) ก็เล่นตะลุยสวนสนุกติดกันมาสองวันแล้วหนินะ วันนี้แพลนของเรายังไม่มีอะไรเลย รู้แค่ว่ามื้อเช้า (เอ๊ะหรือกลางวัน) จะไปจัดบักกุ๊ดเต๋ร้านดังกัน รู้แค่นั้นจริงๆ ซึ่งการที่เราไม่ทำแผนหรือศึกษาข้อมูลมาก่อนนี้ มาซึ้งกันตอนหลังว่าเป็นอะไรที่พลาดมาก ทำให้เราเก็บสถานที่ที่ควรจะไปได้ไม่ครบ และเสียเวลากับจุดที่ไม่ควรไปไปโดยเปล่าประโยชน์ day 4 นี้จะพบเจออะไรบ้าง จะมีดราม่าหรือเหน็ดเหนื่อยกันอีกแค่ไหน มาติดตามกันได้เลยคร้าบ
ต่อบัตร STP ที่ไหน? อย่างไร?
เริ่มต้นปัญหาแรกของวันที่บัตรรถไฟใต้ดิน SMRT ที่เราซื้อแบบ STP มาตั้งแต่วันแรกที่สนามบิน เนื่องจากมันมีอายุเป็นรอบๆ โดยที่รอบแรกเราซื้อแบบ 3 วัน ซึ่งนับตั้งแต่เที่ยวแรกที่เราใช้ ซึ่งก็คือจากสนามบินกลับมาโรงแรมในบ่ายวันพุธ วันนี้ซึ่งเป็นวันที่ 4 ของทริปของพวกเรา ก็ได้เวลาต้องซื้อใบใหม่แล้ว ซึ่งจากที่สอบถามพนักงานไว้เมื่อวานเย็น ได้ความว่า เราต้องนั่ง SMRT จากโรงแรมไปอีกสถานีนึง เพื่อที่จะซื้อบัตร STP ที่ว่านี้ ประเด็นคือ ถ้าเราต้องนั่ง SMRT ไปหนึ่งสถานีนั้น เท่ากับว่าเราต้องจ่ายเงินค่า SMRT เที่ยวนี้กันเอง (เพราะบัตรใช้ฟรีไม่ได้แล้ว) แต่พอลงไปที่ SMRT แล้ว เพื่อความชัวร์ เราก็เช็กกันอีกรอบ แต่เหมือนจะได้ความว่า จริงๆ เราสามารถซื้อบัตร STP นี้ได้จากสถานีที่โรงแรมของเรานี่ได้เลย แต่... เคานต์เตอร์ขายบัตรนี่เปิดหลังเที่ยง ก็เลยทำให้เราสงสัยว่า หรือต่อให้เรานั่ง SMRT ไปอีกสถานีนึง ตามที่พนักงานเมื่อวานแนะนำ เราก็ต้องรอหลังเที่ยงเหมือนกันหรือเปล่า เลยเป็นคำถามว่า จะเอายังไง จะรอหรือจะลุ้น ซึ่งข้อสรุปก็ง่ายมาก ในเมื่อถ้าลุ้น คือต้องเสียตังค่า SMRT หนึ่งเที่ยว แถมก็อาจจะต้องรอเหมือนกัน ดังนั้น เอาแบบ slow but sure ดีกว่า ก็แค่รออีก... ชั่วโมงกว่าๆ แล้วก็ซื้อบัตรที่สถานีนี้ให้เรียบร้อยไปเลย แล้วจะไปไหนต่อก็ไป....
พอได้ข้อสรุปเช่นนั้น คำถามถัดไปก็คือ แล้วระหว่างรอเราจะทำอะไรกัน ซึ่งคำตอบก็หาไม่ยาก เพราะตั้งแต่มาอยู่ที่โรงแรมนี้กันเข้าวันที่ 4 แล้ว เรายังไม่เคยเดินไปสำรวจรอบๆ โรงแรมกันเลย ออกก็เช้า กลับก็ดึก 4-5 ทุ่มทุกวัน เราก็เลยได้โอกาสไปเดินสำรวจรอบๆ โรงแรมกันหน่อย
ผลคือ เดินไปอีกนิด หลังจากผ่านร้าน Berger King ไปแล้ว เราเจอกับ food court อีกที่ ซึ่งดูใหญ่กว่า และอาหารหลากหลาย และน่าจะราคาถูกกว่า Food court ที่อยู่ข้างโรงแรมของเราเสียอีก โถๆ ถ้าเดินมาอีกนิดนึง ก็ไม่ต้องเซ็งกับมื้อเช้าห่วยๆ แบบวันที่สองนั่นละ
เจอเวียเน็ตต้า ที่ตามหา (โดยบังเอิญ)
แถมนอกจาก food court ที่น่าสนใจนั่นแล้ว (แต่สรุปก็ไม่ได้ทานที่นี่เลยนะ แวะไปหาที่นั่งเช้านั้นครั้งเดียว) เราก็ยังเจอกับอีกหนึ่งเป้าหมายของการมาเที่ยวครั้งนี้ นั่นก็คือร้านสะดวกซื้อ "fair price" ซึ่งเราหาข้อมูลกันมาว่าร้านนี้มีไอติมในตำนานอย่าง "เวียเนตต้า" ซึ่งเคยมีขายในไทยเมื่อนานมาแล้ว นานจนตอนที่มันหายไปเมื่อไหร่ก็ไม่มีใครจำได้ แต่พอนึกถึงกันอีกที ก็หาทานในไทยไม่ได้กันเสียแล้ว เราจึงพุ่งไปยัง Fair Price กันโดยพลัน
เมื่อเข้าไปใน fair price เราก็พบว่า จริงๆ ร้านนี้ก็เป็นแหล่งอาหารและน้ำดื่มที่ราคาค่อนข้างถูก ที่อยู่ใกล้โรงแรมของเรามาก จะของสดของแห้ง ที่นี่ก็มีหมด เรียกว่าถ้าจะทำอาหารทานกันเอง มาร้านนี้ก็เหมือนกับไปเดินตลาดเลยแหละ ส่วนเจ้าเวียเนตต้าเป้าหมายของเรา เราก็เจอกับมันจนได้ แต่... แต่.. ด้วยราคาถึง 14.5 SGD กับกล่องขนาดเท่าเดิม เลยทำให้คนที่ตั้งใจว่าจะทานซะหน่อย เลยล้มความตั้งใจกันไปหมด เพราะด้วยราคานี้ ต่อให้หารกันแล้ว กล่องนึงเกือบ 400 บาทไทย หารกันก็ตกคนละเป็นร้อยอยู่ดี แพงเกิ๊น.... ออกจาก fair price กันมาโดยที่ไม่มีใครเสียเงิน เนื่องจากไม่รู้จะซื้ออะไรกันอยู่แล้ว เป้าหมายอย่างเวียเนตต้าก็แพงไป ถึงน้ำดื่มจะราคาถูก แต่พรุ่งนี้ก็จะกลับกันแล้ว ก็คงไม่ต้องสะสมน้ำอะไรกันอีก
วางแผนเที่ยว แบบไม่ค่อยเป็นไปตามแผนเท่าไหร่
จากนั้นเราก็ไปจับจองที่นั่งใน food court ที่เห็นตอนแรก เพื่อนั่งวางแผนการเดินทางในวันนี้ของเรากัน.....
การเดินทาง ต้องยึด SMRT เป็นหลัก และความผิดพลาดมันก็เริ่มจากจุดนี้แหละ เนื่องจากเราไม่ได้ศึกษาข้อมูลสถานที่ที่เราจะไปกันมาตั้งแต่แรก มาคิดและตัดสินใจกันสดๆ ทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้น เพราะชื่อสถานที่กับชื่อสถานี SMRT มันก็ไม่ได้ตรงกันเป๊ะๆ จะว่าไปก็คล้ายกับการตั้งชื่อสถานีรถไฟฟ้าในบ้านเรานั่นแหละ บางที่ชื่อสถานีก็ชื่อนี้เป๊ะๆ แต่ที่ที่เราจะไป กลับต้องลงอีกสถานีนึง (ซึ่งมารู้ทีหลัง) ทำให้การวางแผนในเช้านั้นเป็นอะไรที่มั่วพอสมควร....
วิธีวางแผนของพวกเราก็ง่ายๆ โดยการนำชื่อสถานที่ที่อยากไป จะอ่านมาจากหนังสือ หรือ search มาจากอากู๋อะไรก็ตาม ซึ่งก็มีกันอยู่ 4-5 ที่ เอามา matching กับชื่อสถานี SMRT หรือวิธีการเดินทางที่หามา ว่าเราควรไปไหนก่อน และต่อด้วยที่ไหน ซึ่งปัญหาดูเหมือนจะมีอยู่ที่เดียว ซึ่งดูจากแผนที่แล้ว มันอยู่โดด คือไกลจากที่อื่นๆ ออกไปพอสมควร แปลว่าเราต้องเสียเวลาเดินทางทั้งไปและกลับ แต่ด้วยความที่คุณเพื่อนอยากไป (เพราะเห็นว่าสวย อยากไปถ่ายรูป) ก็อะนะ....
นั่งตกลงกันดูแผนที่กัน เถียงกัน ดราม่ากัน (เล็กๆ) ได้ยังไม่เท่าไหร่ ก็เที่ยงแล้ว การเดินทาง (จริงๆ) ของพวกเราในสิงคโปร์ ก็เริ่มต้น....
มีข้อสังเกตอย่างนึงจากการเดินทางด้วย SMRT ในเช้า (จริงๆ ก็เที่ยงแล้ว) วันนี้ คือ "คนเยอะมาก" จากวันธรรมดา ที่ถ้าไม่ใช่เวลาเร่งด่วน ก็ดูว่าคนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ แถมเราก็จะพบแต่ผู้ใหญ่ทั้งนั้น แต่เที่ยงวันเสาร์นี่ SMRT คึกครื้นมาก แล้วเราก็พบลูกเล็กเด็กแดงเต็มไปหมด ก็น่าแปลกใจว่าวันธรรมดา เด็กๆ เหล่านี้หายไปไหนกันหมด 55
บักกุ๊ดเต๋ครั้งแรกที่ร้าน Song Fa ณ ประเทศสิงคโปร์
แผนเริ่มจากการไปยังร้านบักกุ๊ดเต๋ อันนี้ไม่มีอะไรผิดพลาด เพราะเพื่อนคนที่ตั้งใจจะไป หาข้อมูลมาเรียบร้อยแล้ว ลงและออกให้ถูกก็เป็นพอ โดยร้านบักกุ๊ดเต๋ที่เราไปทานกันนี้ ชื่อว่าร้าน Song Fa ซึ่งก็ถือว่าเป็นร้านดังเลยนั่นแหละ คนก็เต็มร้าน แต่เขามีวิธีแปลกกว่าร้านปกติที่เราเคยเจอมานิดนึงคือ พอไปถึงเราก็ต้องนั่งรอที่หน้าร้าน (โอเคร้านคนเยอะอันนี้ปกติ) แต่เขาจะเอาเมนูมาให้เราสั่งกันก่อน (โอเค จะได้ไม่ต้องไปนั่งแล้วเสียเวลาสั่งอีก อันนี้ก็ไม่แปลก) แต่เรื่องแปลกอยู่ตรงที่ ถ้าเรายังสั่งเมนูไม่เสร็จ เขาจะยังไม่ให้เราเข้าไปนั่ง ถึงแม้จะมีที่ว่างแล้วก็ตาม สังเกตจากมีกลุ่มอื่นที่มาทีหลังเรา แต่ได้เข้าไปนั่งก่อนเรา เพราะพวกเรายังมัวแต่งมกับเมนูกันอยู่ เหอๆ
พอสั่งเมนูเสร็จ ได้เข้าไปนั่งเสร็จ ก็รอไม่นานเลย บักกุ๊ดเต๋ก็มาเสิร์ป โดยเมนูของร้านนี้ก็ราคาไม่ถูกนัก แต่ก็ไม่ได้โหดมาก บักกุ๊ดเต๋ซี่โครงหมูแบบปกติ ราคาอยู่ที่ 7 SGD แต่มีข้อดีตรงที่สามารถเติมน้ำซุปได้ตลอด ข้าวเปล่าถ้วยละ 0.9 SGD (อันนี้ก็แพงนิดนึง) แถมเก็บค่าผ้าเย็น (ซึ่งวางไว้เราก็นึกว่าให้ฟรี) อีกคนละ 0.2 SGD คิดเป็นเงินไทยก็ราวๆ 5 บาท ก็ไม่ถือว่าแพงนะ แต่โหดที่ไม่บอกว่าคิดตัง ชาแก้วละ 1-1.2 SGD ร้อน-เย็น ซึ่งรสชาติก็โอเคนะ หอมดี น้ำเปล่า 0.3 SGD และเพื่อนๆ ก็สั่งผัดผักกวางตุ้งมาแบ่งกันอีกจาน จานละ 8 SGD จริงๆ ถ้าเทียบว่ากินในไทย ราคาทั้งหมดนี้ กับคน 5 คน ก็ต้องถือว่าไม่ถูก แต่ถ้าคิดว่าเราไปกินถึง ประเทศที่มีค่าครองชีพแพงที่สุดในโลก แล้วล่ะก็ ก็อย่างที่ว่า ราคานี้ก็ไม่ได้โหดร้ายเกินไป.... มื้อนี้เป็นมื้อที่ทุกคนจ่ายกันแพงที่สุดแล้วในทริป คือเพราะหลวมเนื้อหลวมตัว หรืออยากกินกันจริงๆ ก็ไม่ทราบได้อะนะ
หมดกันคนละ เกิน 10 SGD เลยทีเดียว
รสชาติก็ถือว่าคุ้มกับเงินที่จ่ายไปแหละ แถมร้านนี้เขายังมีผงปรุงบักกุเต๋กึ่งสำเร็จรูปขายอีกต่างหาก กล่องนึงมี 10 ถุง ราคา 22 SGD ซึ่งเห็นว่าถุงนึง ก็ต้มบักกุเต๋ได้หลายชามอยู่นะ แถมบรรจุภัณฑ์ของทางร้านก็เก๋ไม่ใช่หยอก กล่องก็ออกแบบมาอย่างดี ฉีกฝาได้ด้วย แถมถุงที่ใส่มาให้ก็เป็นถุงกระดาษ ทรงสูงๆ คือเพื่อนผู้เขียนซื้อสองกล่อง ถุงก็ใส่กล่องที่ซ้อนกันได้พอดีๆ เออ เขาก็เข้าใจออกแบบนะ มีตราป๊ำเป็นโลโก้ของทางร้านอยู่บนถุงอีกด้วย ถือว่าอาหารรสชาติดี ราคาไม่โหด แถมของฝากยังออกแบบบรรจุภัณฑ์ได้เก๋ไก๋
ตั้งใจแค่แวะถ่ายรูป แต่ได้ขึ้นจุดชมวิวแบบฟรีๆ ซะงั้น
เสร็จจากบักกุเต๋ สถานีถัดไปที่เราจะไปกันก็คือย่านออฉาด ซึ่งเป็นย่านการค้า แหล่งชอปปิ้ง ที่คนส่วนมากที่มาสิงคโปร์ ก็ไม่พลาดที่จะไปชอปที่ย่านนี้กันอยู่แล้ว แต่เนื่องจากทริปนี้ของพวกเรา ไม่เน้นชอป เราก็เลยกะว่าแวะไปแค่ถ่ายรูป กันแค่นั้น โดยการเดินทางไปออฉาดของเราก็เหมือนจะไม่มีอุปสรรคอะไร แต่จริงๆ ก็มีจนได้ 55 ก็ปัญหาชื่อสถานีกับชื่อสถานที่ตามที่บอก แต่ยังดีที่เรายังไม่ถึงขั้นหลง เพราะใช้วิธีถาม (เช่นเคย) เหยื่อ เอ้ยผู้โชคดีของเราคราวนี้เป็นหนุ่มสิงคโปร์ สูง หน้าตาดี (เพื่อนว่างั้น) ซึ่งเพื่อนๆ ของเรา ก็ชง ให้เพื่อน ฟ เข้าไปถาม และเป็นคนแรกตั้งแต่พวกเราเคยถามทางมาที่เขาไม่ใช่แค่บอกทางให้แล้วก็จากไป แต่พ่อหนุ่มรายนี้ ยินดีจะนำทางให้พวกเราเลยแฮะ "follow me" เลยทีเดียว
โดยที่สถานีที่พวกเราตั้งใจจะลงนั้น มันเป็นคนละที่กับสถานที่ในรูปที่เป็นแบบที่เพื่อนๆ ตั้งใจจะไปถ่ายรูปกัน หนุ่มสิงคโปร์คนนั้น ก็นำให้เราไปต่อรถอีกขบวนนึง และพอลงจากรถยังสถานีที่ถูกต้องแล้ว เพื่อความชัวร์ เราก็หาคนถามต่ออีกว่าเราควรออกที่ทางออกไหน และความโชคดีก็มาเยือนพวกเราอีกครั้ง (โอ้ย กลุ่มนี้มันใช้แต่ดวงชัดๆ) เพราะคนที่บอกทางออกให้เรารอบนี้ เขายังแนะนำเราอีกว่า ถ้าพวกคุณอยากไปถ่ายรูปวิวสวยๆ ของสิงคโปร์ในมุมสูง ก็ขึ้นไปที่ชั้น 4 แล้วต่อลิฟต์ไปยังชั้น 55 ของตึกห้างออฉาดนี้สิ ซึ่งจุดชมวิวที่เขาบอกนี้ ถือเป็นสถานที่ที่ได้มาอย่างไม่ได้ตั้งใจ ข้อสำคัญคือ "ฟรี" และวิวดีไม่แพ้ตึกสูงที่มีให้ขึ้นไปชมวิวอีกหลายๆ ที่ แต่ส่วนมากก็เก็บตัง
ขึ้นมาจาก SMRT ถ่ายรูปหน้าห้างกันอยู่อึดใจ เราก็มุ่งหน้าไปยังชั้น 4 ตามคำแนะนำ และจุดที่จะต่อลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นชมวิวที่ว่า ก็พบว่ามีคนไปรอต่อคิวกันอยู่แล้ว ปรากฏว่า จริงๆ เขาเปิดให้ขึ้นเป็นเวลา และเราก็มากันได้ถูกเวลามากๆ เพราะเขากำลังจะเปิดให้ขึ้นกันพอดี และถ้าเรามาช้ากว่านี้ เราก็ต้องรอคิวขึ้นลิฟต์ ซึ่งเขาจำกัดจำนวนคนให้ขึ้นทีละรอบทีละรอบ แปลว่าถ้าเราช้ากว่านี้อีกนิดเดียว ก็ต้องเสียเวลารอกันอีกน่าจะพักนึงเลย
ลิฟต์เป็นลิฟต์ยิงตรงจากชั้น 4 ไปยังชั้น 55 โดยใช้เวลาไม่นานนัก จุดที่เราขึ้นมานี้ เรียกว่า Ion Sky ซึ่งเป็นร้านอาหารและจุดชมวิว ที่มีกระจกใสโดยรอบ และอยู่ชั้นที่ 55-56 โดยมีความสูง 218 เมตร ซึ่งที่จริงก็ไม่ได้ติดอันดับตึกที่สูงที่สุดในสิงคโปร์แต่อย่างใด ตึกที่สูงที่สุดของสิงคโปร์คือตึก UOB ซึ่งมีความสูงถึง 280 เมตร (ยังแพ้ใบหยกบ้านเรานะ) แต่แน่นอนว่าเขาไม่ได้เปิดให้คนทั่วไปขึ้นไปชมวิวหรอก ส่วนตึกอย่าง Marina Bay san ที่เปิดให้คนขึ้นไปชม ก็เป็นชั้นที่ 56 เช่นกัน ซึ่งก็คาดว่าความสูงคงไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ตึกนั้นเสียเงินนะเออ แถมถ้าเราขึ้นที่ Marina Bay san เราก็ไม่เห็นตึกนั้น เหมือนมาชมวิวที่ตึกนี้อีกต่างหาก อิอิ
นอกจากมีกระจกใสโดยรอบแล้ว ที่นี่ก็ยังมีเครื่องชมวิว เป็นเหมือนกล้องส่องทางไกลแบบดิจิทัลน่ะ แต่จริงๆ คงเป็นแค่เครื่องรับภาพจากข้อมูลที่กล้องตัวจริงบันทึกไว้มากกว่า เพราะเราสามารถเลือกมุมได้ เลือกช่วงเวลาของวันได้ว่าอยากชมมุมไหนในเวลาไหน ซึ่งก็เหมือนกับกล้องที่พวก 'tower' ทั้งหลายตามเมืองใหญ่ๆ มีให้บริการกันนั่นแหละ ซึ่งเพื่อนก็พาผู้เขียนไปสัมผัส ลูบๆ คลำๆ แต่ก็ได้แค่เท่านั้น เพราะว่ามันมีแต่ภาพอะนะ >_<
แถมท้ายด้วยรูปที่ข้าพเจ้าถ่ายเองจากกล้องมือถือ 555 (ถ่ายอัลไล?)
ผิดแผนกันอีกครั้งกับ Botanic Garden
หลังจากเก็บรูปกันหลายต่อหลายมุมแล้ว (ขนาดมีเวลาจำกัดเพราะต้องทำเวลารีบไปจุดถัดไป ยังไม่ค่อยอยากจะลงกันเลย) เราก็อำลา Ion sky ลงมา SMRT เดินทางกันต่อ โดยสถานที่ถัดไปที่เราจะไปกันนั้น ก็คือ Botanic garden
ซึ่งพอไปถึงแล้ว มันก็คือสวนสาธารณะดีๆ นี่เอง ก็ต้องชื่นชมความใส่ใจของรัฐบาลของเขา เพราะก็อย่างที่รู้กันอยู่ว่าสิงคโปร์เอง ก็เป็นแค่เกาะเล็กๆ แต่เขาก็พยายามสร้างพื้นที่สีเขียว เพื่อเป็นปอดของเมือง และเป็นที่พักผ่อนของประชาชนของเขา ให้ความรู้สึกคล้ายๆ กับสวนรถไฟหรือสวนลุมบ้านเรา คือมีคนไปทำกิจกรรมต่างๆ กันหลากหลาย การดูแลสวนก็ทำอย่างเป็นระบบดีมาก เราเห็นคนสวนที่ใช้เศษใบไม้ใบหญ้า นำมาเป็นปุ๋ยให้ต้นไม้ในสวนเอง
แต่.... ความผิดแผนก็เริ่มอีกครั้งที่จุดนี้ เนื่องจากสาเหตุที่ตั้งใจมาที่นี่ เราเข้าใจว่าเป็นสวนพฤกษศาสตร์ อารมณ์เรือนเพาะชำพืชพันธุ์ มีสวนดอกไม้ให้ถ่ายรูป อะไรทำนองนั้น ไม่ได้ตั้งใจว่าจะมาเดินเที่ยวสวนสาธารณะของบ้านเขาแต่อย่างใด โผล่ขึ้นมาจาก SMRT เดินมานิดเดียวก็เข้าสวน แต่ส่องแผนที่ของสวนกันแล้ว ก็หาพบจุดหมายของเราไม่ ก็วิธีเดิมๆ แหละครับ อยากรู้อะไรก็ต้องถาม แต่สวนสาธารณะแบบนี้ คนที่ให้ถาม ก็ดูจะไม่ใช่เจ้าหน้าที่ที่สามารถตอบคำถามได้โดยตรง ก็มีแต่คนที่ไปใช้บริการ หรือไม่ก็พนักงานที่ดูแลสวน แล้วเราก็สรุปได้ว่า ส่วนที่เราต้องการไปชมนั้น มันอยู่ห่างไปค่อนข้างไกล คืออาจจะเรียกว่าเป็นบริเวณนึงของสวนสาธารณะนั้นอะแหละ แต่ต้องเดินไปอีกไกลมากๆ และด้วยเวลาที่เรามาถึง (เกือบห้าโมงแล้ว) ก็เป็นไปได้มากว่ามันจะปิดแล้ว.... แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว สาวๆ ก็ไม่ล้มเลิกความตั้งใจจะแชะภาพกลับไป ก็ใช้เวลาถ่ายรูปกันในสวนนั่นเกือบๆ ชั่วโมงอยู่เหมือนกัน
ขากลับออกมาจาก Botanic Garden เราก็เจอฝนกันนิดหน่อย (บอกแล้วว่ามาเที่ยวทริปนี้เจอฝนเกือบทุกวัน) จริงๆ ก็แอบส่องพญากรณ์อากาศของวันนี้มาแล้ว เห็นว่าตอนค่ำจะมีฝน แต่ก็ถือว่าเราโชคดีที่เจอแค่ฝนปรอยๆ ตอนห้าโมงครึ่ง แต่หลังจากนั้นที่เราก็อยู่กันกลางแจ้ง แต่ฝนก็ไม่ตกมาให้งานกล่อยไปยิ่งกว่าเดิม...
อุตส่าห์มาถึง Marina Bay แต่ไม่เจอ Merlion
หนีฝนลง SMRT กันอย่างไว สถานีถัดไปที่เราจะไปกันนั้นค่อนข้างอยู่ห่างกันคนละมุมเมืองเลย เพราะต้องนั่ง SMRT ยาวถึง 15 สถานี พอได้ที่นั่ง ต่างคนก็ต่างหลับ 555 ตอนลงนี่เกือบจะลงกันไม่ทัน >_< สถานีถัดไปที่เราจะไปกันนั้นก็คือ land mark หลักของสิงคโปร์ ที่ใครมาสิงคโปร์ก็ต้องไป "Marina Bay"
ถึงจะมายังโซนที่เป็น landmark หลักแล้ว แต่ทริปนี้ พวกเราไม่ได้เจอกับ Merlion หรือน้ำพุแห่งโชคลาภ แต่อย่างใด 555 บอกใครใครก็อาจจะบอกว่า โหย ไปสิงคโปร์ยังไง ไม่เจอ Merlion แบบนี้ถือว่าไปไม่ถึงสิงคโปร์นะเนี่ย ก็นั่นแหละครับท่านผู้ชม ถึงบอกไงว่า "สิงคโปร์แบบไม่โปร" หุหุ
มาโผล่บนสถานี Promenade แล้วก็เดินงงๆ มาเรื่อยๆ (เจอคนไทยอีกละ) ข้ามสะพานมา น่าจะผ่านตรง Marina bay Square มาอะแหละ แต่เราก็ไม่รู้กันว่าเราอยู่ตรงไหนหรอก เดินดูเดินถ่ายรูปกันมาเรื่อยๆ จนลงมาจากสะพาน แล้วเจอคุณลุงขายไอติมแมกโนเลียนั่นแหละ ถึงจะเริ่มพอรู้ว่าเราอยู่ตรงไหนกันหน่อย แถมก็เจอจุดจัดงาน "I Light" ที่อยากจะมากันด้วย... แต่ปรากฏว่า งาน I Light ที่ว่า ไม่ได้ยิ่งใหญ่อลังการงานสร้างอย่างที่หวังกันไว้ เป็นซุ้มจัดนิทรรศการ คล้ายๆ งานศิลปะที่ใช้ไฟ (light) ในการนำเสนอ ก็เป็นซุ้มเล็กๆ เรียงกันอยู่แถวนั้นแหละ
คนรุมคุณลุงขายไอติมกันเยอะมาก ไม่รู้เพราะอากาศร้อน เพราะไอติมอร่อย หรือเพราะใครๆ ก็บอกกันว่าควรมาอุดหนุนคุณลุงแกนะ แต่ดูคุณลุงแกก็ขายดีมากๆ เลยทีเดียว ไอติมประกบด้วยเวเฟอร์ (แปลกดี) อันละ 1.2 SGD มื้อนี้เรามีเพื่อนใจดีเลี้ยงด้วยล่ะ 555 แต่ที่ไม่เข้าใจอย่างคือ ไอติมห่อแผ่นพลาสติกบางๆ มา คือเป็นแผ่นจริงๆ นะ ไม่ได้เป็นถุงด้วย ห่อมาทำไหม ทำให้กินเลอะกว่าเดิมอี๊ก เป็นกระดาษก็ว่าไปอย่าง...
พักนั่งกินไอติมกันเสร็จแล้ว คราวนี้ก็ได้เวลาถ่ายรูปรัวๆ กันแหละ เราก็อยู่ตรงจุดนั้น ตรงริมแม่น้ำสิงคโปร์ ฝั่งตรงข้ามกับตึกเรือ (Marina Bay san) จนสักสองทุ่ม ได้ดูการแสดงแสงสีกันอยู่ตรงนั้นแหละ ส่วนตัวผู้เขียน เองที่ไม่ได้ถ่ายรูปกับเขา ก็ได้แต่ยืนรอ ซึ่ง "เมื่อยมากกกก" ที่นั่งก็ไม่มี มีแต่รั้วให้พักขา โอ้ย
ราวๆ สองทุ่ม ก็เห็นควรแก่เวลาที่จะไปหาข้าวเย็นทานกันแล้ว จริงๆ ผู้เขียน ดูจากใน Swarm แถวๆ นั้น มี food court ที่ใกล้มากๆ เลยนะ แต่ในแอพมันก็บอกแค่ว่าใกล้ไง อยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ จะกด Maps ดู มือถือก็ค้างอีก สรุปก็คือไปถามจาก information ว่าใกล้ๆ นี่มีตรงไหนมีของกินบ้าง ได้คำแนะนำว่า ให้เดินข้ามสะพานไป ก็จะเจอของกินเอง.... ซึ่งอิสะพานที่เขาว่านี่ ก็ใช่ว่าจะใกล้ๆ แถมสะพานเองก็ยาวมั่กอีกต่างหาก กว่าจะเดินข้ามไปได้นี่ก็เป็นสิบนาทีอยู่อะนะ
*ฮำเพลง*
ระหว่างที่อยู่บนสะพาน สาวๆ ก็แวะถ่ายรูปกันอีกเช่นเคย จริงๆ ก็อยากได้รูปมุมนี้บ้างอะนะ แต่ติดว่าบนสะพานคนเยอะมากกกก เลยไม่เอาดีกว่า พอตอนที่ถ่ายรูปเสร็จจะไปต่อกันละ ก็มีคนเข้ามาทัก ทีแรกก็เข้าใจว่าเขาจะให้เราช่วยถ่ายรูปเหรอ ทำไปทำมา ก็พูดอะไรถึงเราสักอย่างไม่รู้ เห็นเพื่อนบอกว่าเรามองไม่เห็น... คือไร แล้วเขาก็บอกให้หยิบมือถือขึ้นมา เอ๋ หรือเขามีแอพแบบที่เป็น Voice guide ให้คนตาบอดให้ชมนิทรรศการ (เดาไปโน่น) สรุปแล้วคือ เขาเป็นเจ้าหน้าที่ของ event ที่จัดอยู่ตรงนั้นแหละ event ของเขาคือ ให้คนที่มาชมงาน เข้าเว็บ แล้วเลือกตัวอักษร พอเลือกแล้ว ตัวอักษรที่เราเลือก ก็จะเป็น laser ที่ยิงขึ้นตึกตรงนั้น (แหมช่างดูล้ำอะไรขนาดนั้น)
มื้อเย็น @ Rasapura Masters Food Court
พอลงมาจากสะพาน (สะพานอะไรก็ไม่รู้) เราก็เจอ science museum กันก่อนเลย ซึ่งแน่นอนว่าป่านนั้นแล้ว เขาก็ปิดให้บริการไปแล้วอะนะ แต่เพื่อนๆ ของเรา ก็ยังอยากจะถ่ายรูปกันอยู่ดี (ไม่ได้เข้า ขอมาถ่ายรูปว่าตูมาถึงแล้วก็ยังดี) แต่ด้วยสภาพแสงที่ไม่ค่อยเป็นใจ ก็ถ่ายกันออกมาไม่ได้อย่างใจเท่าไหร่ จนถึงขั้นวางแผนว่า ไว้พรุ่งนี้สว่างๆ ค่อยมาถ่ายกันใหม่ก็ได้ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของทริปในวันสุดท้ายก่อนกลับ คือขอเที่ยวจนวินาทีสุดท้ายกันเลยว่างั้น.....
ในที่สุดเราก็มาถึงศูนย์อาหารที่เราหมายปองกันจนได้ คือจะใช่ที่ที่ information บอกเราตอนแรกหรือเปล่าไม่รู้แหละ แต่เอาเป็นว่ามีข้าวขายก็เป็นพอ ฮาฮา Rasapura Masters Food Court นี่เป็นศูนย์อาหารที่ "ใหญ่มากกก" อยู่ในห้าง The Shoppe ใน Marina Bay Sand นั่นเอง กลิ่นอาหารตลบอบอวน หอมมาก (เอ๊ะหรือเพราะหิว) แต่รู้สึกว่าของในนี้น่ากินจุงเบย และพอได้กินจริงๆ ก็ยกให้เป็น food court ที่โอเคที่สุดตั้งแต่ที่กินมาในสิงคโปร์เลยจริงๆ นะ แต่คุณภาพก็มาพร้อมกับราคา food court ที่นี่ราคาก็ถือว่าแพงกว่าที่อื่นที่เราไปกินมาในสิงคโปร์นี้พอสมควร
อย่างที่สองนอกจากกลิ่นอาหารที่สัมผัส (ให้ชวนหิว) ได้แล้ว ศูนย์อาหารนี้ยัง "คนเยอะมากกกก" เวลาที่ไปถึงนั่นก็สองทุ่มกว่าๆ ได้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าเป็นเวลาที่คนสิงคโปร์ชอบออกมาทานอาหารนอกบ้านกันหรืออย่างไร หรือว่าเพราะเป็นเย็นวันเสาร์ วันหยุดคนที่นี่เขานิยมมาทานอาหารนอกบ้านกันเหรอ.... แต่คนเยอะระดับที่ต้องใช้เวลาเดินหาโต๊ะกันอยู่นานสองสามนานเลยทีเดียว
เอาจริงๆ ก็หาโต๊ะที่นั่งกันได้ครบ 5 คนไม่ได้แหละ ของสองหนุ่มโชคดี เจอคุณลุงกับคุณป้า (น่าจะเป็นคนจีน) นั่งกันอยู่สองคน แล้วโต๊ะยังมีที่ว่างอยู่สองที่ ก็เลยเรียกให้เราไปนั่ง ส่วนสาวๆ ก็ได้โต๊ะข้างๆ นั่งกันได้สามคน ซึ่งนอกจากจะใจดีเรียกเราไปนั่งแล้ว เพื่อนก็ยังบอกว่า ลุงกับป้านี่ยังคอยดูพวกเรากินข้าว คือไม่ได้ดูแบบอยากรู้อยากเห็นอะไรนะ แต่คอยช่วยสังเกตว่าเรามีปัญหาอะไรหรือเปล่า แบบว่าเพื่อนกินแล้วยังเหลือไก่ในจานอีกชิ้นนึง เขาก็คงไม่รู้จะพูดกับเราโดยตรงยังไง (ทั้งตาบอดทั้งต่างชาติ) ก็เลยเรียกเพื่อนเรามา แล้วชี้ๆ ให้ดูว่า "นี่ๆ เพื่อนแกยังกินไก่เหลืออีกชิ้นน่ะ" อะไรทำนองนี้.... ก็ทำให้เรารู้สึกดีว่า อย่างน้อย #สิงคโปร์ก็ยังไม่สิ้นคนดี
มื้อนี้สาวๆ ก็สรรหาข้าวราดแกงกินกันอีกจนได้ เนื่องจากไม่แน่ใจราคา และรสชาติสอบถามแล้วก็มิได้คำตอบ เราจึงขอข้ามไปละกัน
ส่วนเพื่อน ณ ของเราก็ไม่รู้จะกินอะไร บอกว่าขอจัดข้าวมันไก่อีกสักมื้อละกัน (แหมเมิง มาสิงคโปร์นี่กะจะกินข้าวมันไก่เขาให้ครบทุกเจ้าเลยหรือไง?) ก็จัดมา รู้สึกจะ 7 เหรียญ หน่อยๆ แต่สอบถามแล้ว ก็เห็นว่าคุณภาพก็ถือว่าโอเค ถึงปริมาณจะน้อยไปนิด แต่รสชาติผ่าน เนื้อไก่มีราดซอสอะไรสักอย่างมาด้วย ทำให้ทานแล้วไม่เลี่ยนดี
ส่วนผู้เขียนเอง มื้อนี้ก็ขอจัดหนักละกัน ถือว่าส่งท้ายมื้อเย็นมื้อสุดท้ายของทริปสิงคโปร์ทริปนี้แล้ว (หวังว่าจะมีทริปหน้าอีกว่างั้น) จากร้านที่เพื่อนเดินไปสำรวจมาให้ ก็ถูกอกถูกใจกับร้านที่ขายอาหารเมนูอิตาเลี่ยน ซึ่งคงมีเมนูน่ากินให้เลือกมากกว่าร้านอื่นๆ (เท่าที่ฟัง)
สรุปก็ไปยืนฟังคุณเพื่อนอ่านเมนูอยู่หน้าร้านหลายอึดใจ ก็ตัดสินใจเลือกเมนู แซลมอนย่างซอส + ข้าวห่อไข่มา ด้วยราคา 10.9 SGD ซึ่งก็ถือว่าไม่ได้แพงมากอะไร เพราะอย่างเมื่อวานที่จัด Peper lunch ก็ราคาพอๆ กัน
และความไฮโซอย่างนึงของร้านที่ผู้เขียนสั่งนี้ก็คือ เขาจะรับออเดอร์แล้วมีอุปกรณ์เรียกคิวให้ลูกค้าถือไว้ คือสั่งแล้วก็ไสหัวไปไกลๆ ไม่ต้องมายืนมุงหน้าร้านฉัน หรือไม่ต้องมากังวลว่าจะได้หรือยัง หรือมารับเมนูช้าให้อาหารเย็นชืด ซึ่งอุปกรณ์เรียกคิวนี้จริงๆ ก็ไม่ใช่ของใหม่อะไร เคยได้ยินว่าร้านอาหารในไทยหลายร้าน ก็ได้นำเจ้าอุปกรณ์ทำนองเดียวกันนี้เข้ามาใช้กันบ้างแล้ว ส่วนหน้าตาจะเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ตรงนี้ผู้เขียนมิทราบได้ เนื่องจากเพิ่งเคยได้สัมผัสเจ้าเครื่องเรียกคิวครั้งแรกก็ของร้านนี้นี่แหละ ><
เลือกเมนู > สั่งออเดอร์ > จ่ายตัง > รับเครื่องเรียกคิวแล้ว ก็เดินกลับมารอที่โต๊ะได้เลย (ใครจะไปเสาะหาเมนูอื่นๆ เพิ่มเติม ก็คงไม่ว่ากัน) พอกลับมาที่โต๊ะ ก็นั่งลูบๆ คลำๆ พลิกซ้ายพลิกขวา หมุนๆ กดๆ สำรวจเจ้าเครื่องเรียกคิวที่ได้มา มันเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ลักษณะกลมๆ แบนๆ เหมือนแป้งทอดที่โดราเอมอนชอบกินอะไรทำนองนั้น คลำๆ ดูก็ไม่รู้ว่ามันมีจอหรือเปล่า เอ๊ะ แล้วถ้าถึงคิวแล้ว มันจะแสดงผลยังไง เคยอ่านเจอมาว่าในไทย มันเป็นลักษณะคล้ายๆ pager (ที่เด็กสมัยนี้อาจจะไม่รู้จักกันแล้ว) แต่นี่หน้าตาก็ห่างไกลจาก pager พอสมควรนะ แล้วถ้ามันแค่มีแสงหรือขึ้นข้อความ ตูจะรู้มั้ย หลังจากไม่แน่ใจ ก็กำลังจะเรียกเพื่อนให้เอาไปถือไว้แทน เผื่อมันแสดงผลในแบบที่เราไม่สามารถดูได้ จะได้ไม่เสียเวลา แต่พอจะส่งให้เพื่อน ปรากฏมันทั้งสั่นทั้งร้องเลยคร้าบ อ้อออ สรุปคือพอถึงคิว พี่แกจะแสดงผลทุกอย่างเลยสินะ ถ้าให้เดาก็คือ มันน่าจะมีแสงแล้วก็คงขึ้นข้อความแสดงผลได้ด้วย อืม ต่อให้ยัดลืมไว้ในกระเป๋า ก็คงต้องรู้ตัวกันบ้างแหละ ว่าแต่ เขามีระบบกันขโมยแบบว่า ถ้ามีคนเอาออกนอกรัศมีทำการ แบบพกกลับบ้านไปด้วย จะร้องดังเป็นพิเศษหรือเปล่านะ ฮาฮา
อาาาห์ เมนูสุดแสนน่ารับประทานของข้าพเจ้ามาแล๊วววว ขอบอกว่าไม่รู้สึกว่าเมนูราคาเกือบ 11 SGD นี้แพงเลย เพราะด้วยทั้งรสชาติและปริมาณ ก็คงหาราคาถูกกว่านี้ไม่ได้ ต่อให้เป็นในเมืองไทยเองก็เถอะ แซลมอนย่างนี่ก็ให้ปริมาณมาแบบจัดเต็ม เรียกว่ามาทั้งตัวก็ว่าได้ รสชาติก็อร่อย คืออร่อยเลยแหละ (ความหิวอาจจะมีผลด้วยนิดนึง) ย่างมาไม่แห้งเกินไป ซอสที่ย่างก็รสโอเค ส่วนข้าวห่อไข่ที่มาคู่กัน ปริมาณก็ไม่ถือว่าน้อย กินกำลังอิ่มว่างั้น ข้าวอาจจะแฉะๆ ไปนิดนึง แต่ก็คงเป็นสไตล์การปรุงมากกว่าหุงข้าวแฉะอะนะ สรุปคือทานสองอย่างคู่กันแล้วเป็นอะไรที่ฟินมาก.... อ้อ ทั้งหมดก็เสิร์ปมาบนกระทะร้อน (แต่ไม่ได้ร้อนแบบ Peper lunch อะนะ) พร้อมมะนาว แล้วก็ซอสอะไรอีกสักอย่าง ลองชิมดูรู้สึกว่ามันคล้ายน้ำมันหมูในซองมาม่ารสหมูสับยังไงไม่รู้ 55 ซึ่งก็คิดผิดนิดนึงที่ตัดสินใจลาดมันใส่แซลมอนทั้งถ้วย คือรสชาติก็ไม่ได้แย่อะไรหรอกนะ แต่พอมันเยิ้มๆ มันก็เลยเลี่ยนขึ้นมาซะงั้น แต่สรุปก็ซัดเรียบ คุ้มทุกเหรียญทุกเซนอยู่ดี อิอิ
เสร็จจากจานหลัก ซึ่งระหว่างนั้นคุณลุงกับป้าที่แชร์โต๊ะกับเรา (สองหนุ่ม) ก็ลุกไปแล้ว และโต๊ะที่สาวๆ นั่ง ก็ว่างทั้งโต๊ะแล้ว พวกเราก็เลยได้โอกาสรวมโต๊ะกัน ซึ่งผู้เขียนก็กินเสร็จเป็นคนสุดท้ายอีกเช่นเคย 55 แถมกินข้าวเสร็จ ก็ยังไม่สระใจ ขอของหวานต่ออีกนิดได้ม้า... ก็ให้เพื่อนลากไปหาของหวานทานต่ออีกสักนิด บอกแล้วมื้อนี้ตัดสินใจจัดหนัก ก็ต้องทานให้ครบสูตร
เดินไปเจออะไรหลายๆ ร้าน ผลไม้ น้ำปั่น แต่ราคาก็โหดพอสมควร จนร้านที่เข้าตาคือร้านไอศกรีม อาาาห์ นี่แหละเหมาะเป็นของหวานที่สุดละ ลูกนึงก็ไม่แพงมาก ราว 2 SGD มีโปรซื้อ 3 ลูกแล้วลดราคาด้วย แล้วก็มีพุดดิ้งข้าวโพด (มันเป็นยังไงหว่า?) ด้วยความอยากรู้ก็เลยจัดมาอีกหนึ่ง
คือก็ไม่ได้กะจัดหนักกินไอติมคนเดียวสามลูกหรอกนะ ทีแรกจะเลี้ยงเพื่อนคนที่พาไปเดินๆ นั่นแค่คนเดียว เพราะชีไม่ยอมทานอะไรเลย บ่นว่าเหนื่อยจนทานอะไรไม่ลง เออ ไอติมดันโอเคแฮะ แต่พอเห็นว่ามีโปร 3 แล้วราคาถูกกว่า ก็เลยเอาสามลูกดีกว่า ซึ่งก็แอบมีดราม่าเล็กๆ กับป้าคนขาย เพราะพอเพื่อนเราสั่งไปทีแรก แค่สองลูก ป้าแกก็ตักใส่โคนให้สองอัน แล้วเราดันตัดสินใจช้าไปนิดนึง จะขอเพิ่มอีกลูกแล้วใช้โปรลดราคาได้ม้า... ด้วยการสื่อสารที่ไม่ค่อยจะเข้าใจกัน หรือด้วยความที่เราอ่านเงื่อนไขไม่เกตก็ไม่ทราบได้ ป้าแกก็โมโหนิดหน่อย เพราะพอเราสั่งเป็นสามลูก ป้าแกต้องทิ้งโคน แล้วเอาไอติมสามลูกใส่ถ้วยมาให้แทน (สามโคนก็ได้มั้งป้า) ก็เลยทำให้ป้าแกโมโหเล็กน้อยถึงปานกลาง แต่เราก็หาได้สนใจไม่ ช่างเถอะผมกับป้าคงเจอกันครั้งเดียวแหละชาตินี้ 5555
สรุปแล้วก็เลยได้ติมสามลูกมาแบ่งกันกินกับเพื่อนทั้งโต๊ะ ของเราคนเดียวก็ลูกนึงอะนะ ที่เหลือสี่คนก็แบ่งกันไปสองลูกละกัน หุหุ ซึ่งคุณเพื่อน ณ ถึงกับออกปากถามว่าร้านชื่ออะไร เพราะกินรสม็อคค่าที่เราสั่งมา (แต่คนอื่นเข้าใจว่าเป็นรสช็อกโกแล็ต) ไปแล้วบอกว่าอร่อยมาก เข้มข้นถูกใจกันเลยทีเดียว แต่ก็รู้สึกว่าแบรนด์นี้ไม่มีขายในไทยแหละนะ แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นต้องหาทานให้ได้ แบรนด์อื่นที่อร่อยกว่าก็ยังมี เลยไม่ต้องลำบากถึงขั้นถ้าอยากกินต้องบินกลับไปกินที่นั่นอีก (บอกแล้วผมกับป้าเจอกันแค่ครั้งเดียวแหละ) 555
ส่วนพุดดิ้งข้าวโพดน่ะเหรอ อืม... ด้านบนก็โปะมาด้วยข้าวโพดแหละ แต่พอถึงเนื้อพุดดิ้งจริงๆ ก็อืม... อย่าไปพูดถึงมันเลยละกัน คือก็ไม่ได้ถึงขั้นอี๋ แต่ก็เป็นความผิดพลาดครั้งนึงที่ดันอยากลองอะไรแปลกๆ ก็แปลกสมกับที่อยากลองอะนะ
แวะ Singapore Flyer ถึงไม่ได้ขึ้น แต่ก็ขอกดน้ำฟรีหน่อยละกัน
ทานข้าว+ของหวานเสร็จสิ้นกันทั่วทุกตัวคน ก็ได้เวลาออกเดินทางต่อ ใช่ครับ ราตรีนี้ยังอีกยาวไกล นี่ก็เพิ่งสามทุ่มหน่อยๆ เอง จะรีบกลับโรงแรมไปใย สาวๆ ก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะเก็บ landmark ของสิงคโปร์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จาก food court ตรงนี้ ที่ที่จะไปต่อ ก็คงเป็น singapore flyer ที่เห็นอยู่ไม่ไกลนี่แหละ นอกจากเป้าหมายในการเก็บภาพ ถ่ายภาพคู่กับ Singapore Flyer เป็นที่ระทึกแล้ว (เพราะเราหามีงบประมาณในการขึ้น Singapore Flyer ไปชมวิวด้วยราคาถึง 33 SGD กันไม่) สาวๆ ยังมีเป้าหมายการตามหาตู้กดน้ำ "ฟรี" ที่ทราบมาจากกระทู้ลายแทงกันอีกด้วย
แน่นอนว่าการที่จะออกไปแล้วเดินไปถูกอย่างง่ายดายนั้นหามีไม่สำหรับกลุ่มพวกเรา ต้องหาคนถามทางกันอีกเช่นเคย ซึ่งคราวนี้ไปถามใครไม่รู้ เขาก็ดันอธิบายไม่ถูกหรือไงนี่แหละ เล่นเปิด Google Maps ให้เราดูทางซะงั้น (ถ้าแบบนั้นพวกผมก็เปิดกันเองได้เพ่) แต่ถ้าจะว่าไปจริงๆ ก็คือ Singapore Flyer นี่มันก็เห็นกันอยู่แค่นี้แล้วนะ ถ้าแค่เดินไปในทิศทางที่ถูกที่ควร ยังไงมันก็น่าจะเจออยู่แล้ว สรุปด้วยความที่เข้าใจทาง หรือแอบไปถามใครเพิ่มเติมก็ไม่รู้แหละ แต่พวกเราก็เดินไปจนถึง Singapore Flyer กันจนได้ ซึ่งมันก็เป็นระยะทางที่ไม่ได้ไกลอะไรเลย เดินข้ามสะพานกลับมา ข้ามแยก เดินตรงต่อไป ก็เจอแล้ว
แชะรูปกันอยู่ไม่นาน ก็เดินเข้าไปตามหาตู้กดน้ำ "ฟรี" ตามที่ตั้งใจกันไว้ เสาะหาอยู่เพียงไม่นานก็เจอ จากนั้นก็มานั่งพัก+สรุปแผนการต่อไปกันตรงใต้ Singapore Flyer นั่นเอง
ถึงจะบอกว่าตอนที่ทานข้าวเสร็จออกมานั้นเพิ่งจะสามทุ่มกว่า แต่กว่าจะเดินๆๆ ถ่ายรูปๆๆ กัน จนมาได้นั่งพักกันที่ใต้ Singapore Flyer นี่ ก็เป็นเวลาสี่ทุ่มกันเข้าไปแล้ว ดังนั้นพวกเราจึงมานั่งปรึกษากัน และสรุปกันว่า คืนนี้กลับโรงแรมไปพักผ่อนกันก่อนดีกว่า แล้วพรุ่งนี้ (ซึ่งเป็นวันสุดท้าย) ก็วางแผนลุยสิงคโปร์กันอีกสักตั้ง เรียกง่ายๆ ว่าขอใช้เวลาให้คุ้มกันจนวินาทีสุดท้ายกันเลยว่างั้น (แล้วก็ได้ใช้จริงๆ ฮาฮา) ทริปสำหรับวันที่สองของพวกเราก็เลยจบลงกันที่ Singapore Flyer ด้วยประการชนี้แล....
เก็บภาพแมวมาฝากทาสกันอีกรูป คือจะบอกว่า ทั้งในสิงคโปร์และในมาเลเซียเองนี่ เราแทบไม่เห็นหมาแมวจรจัดกันเลยนะ ทั้งทริปเก็บภาพมาได้แค่ประเทศละตัวเนี่ย ก็คิดดูแล้วกัน ถ้าเทียบกับน้องหมาหน้า 7-Eleven ที่มีแทบทุกสาขาในไทย (?)
และนี่ก็เป็นอีกภาพที่ยืนยันถึงความสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อยของถนนหนทางในสิงคโปร์
หาซื้อลังแพกของฝากกลับบ้าน #แบบนี้ก็ได้เหรอ
เดินกลับมาลงรถ SMRT ที่สถานี Promenade เหมือนเดิม เพื่อกลับโรงแรม และการเดินทางของพวกเราเที่ยวนี้ก็เป็นไปอย่างราบรื่น (นี่ถ้าหลงจนวันสุดท้ายก็ไม่รู้จะว่าไงละ) แต่ภารกิจของเรายังไม่หมด ยังเหลืออีกหนึ่งอย่างที่ต้องหาซื้อคือ "ลังกระดาษ" สำหรับแพกของฝากเพื่อที่จะเอาไปโหลดลงใต้เครื่องนั่นเอง
เพราะก่อนหน้านี้ จริงๆ คือตั้งแต่เช้า ก็ได้คุยกันไว้แล้วว่า ดูแล้ว ถึงเราจะซื้อโหลดน้ำหนักสำหรับเที่ยวบินขากลับไว้ แต่ก็คงไม่มีกระเป๋าใครที่จะใส่ของฝากทั้งหมดได้พอแน่ๆ วิธีที่คิดได้ก็คือการหาลังมาใส่ของแล้วแพกเป็นของโหลดซะ ซึ่งตอนเช้า เพื่อนเราก็แบกหน้าไปขอลังจาก minimart ใต้โรงแรมมาแล้วรอบนึง แต่ดูจากขนาดแล้ว คิดว่าไม่น่าพอ เลยกะว่าจะลองหาลังที่ขนาดใหญ่กว่านั้นกันดู ซึ่งร้านที่เราเล็งไว้ก็คือ Fair price นั่นเอง เพราะเขาน่าจะมีลังเหลือๆ ให้พวกเราขอหรือไม่ก็ซื้อได้อยู่บ้าง
พอขึ้นจาก SMRT มาแล้ว เราเลยยังไม่เข้าโรงแรม เดินเลยไปหา Fair Price กันก่อน แต่ผลคือ "มันปิด" คือตอนเช้าก็ไม่ทันสังเกตกันอะนะว่าร้านเขาเปิด/ปิดกี่โมง เข้าใจ (ไปเอง) ว่าน่าจะเปิด 24 ชั่วโมง เหมือน 7-eleven บ้านเรา แต่ปรากฏว่า Fair Price นี่ แต่ละสาขาจะเปิด/ปิดไม่ตรงกัน สาขาข้างโรงแรมเราดันเปิดแค่ 07:00 - 22:00 น. เท่านั้นเอง เรามาถึงจะห้าทุ่มกันแล้ว เขาก็ปิดแล้วล่ะ ถึงร้านจะยังไม่ปิดไฟ แต่ก็คือห้ามเข้าแล้ว แต่เรื่องที่ Fair Price ปิด ก็ไม่ใช่ปัญหาของพวกเราแต่อย่างใด 55 เพราะจริงๆ แล้ว ก่อนจะรู้ว่ามันปิด พวกเราก็ได้ลัง+เทป+เชือก สำหรับแพกมาเรียบร้อยแล้ว
ก่อนที่จะเข้า Fair Price เพื่อนคนนึงก็ตั้งข้อสังเกตว่า แถวนั้น ก็มีร้านขายของอยู่หลายร้าน มาทราบทีหลังว่าตรงนั้นมีร้านแนวๆ minimart อยู่ติดกันถึง 4 ร้านเลยทีเดียว เป็นร้านแบบ Fair Price สามร้าน คือ Fair price - 7-eleven - แล้วก็ minimart แบรนด์อะไรอีกร้านนึง แล้วข้างๆ Fair Price เอง ก็มีร้านขายของ บ้านเราคงเรียกร้านขายของชำอยู่ด้วยร้านนึง ซึ่งร้านนี้นี่แหละที่เราเข้าไปถามหาลัง แล้วก็ได้มาพร้อมกระดาษกาวหนึ่งม้วน และเชือกหนึ่งมัด (เล็กๆ ) ในราคา 3.8 SGD คือถูกหรือแพงจุดนั้นก็ไม่ได้สนใจแล้ว คือยังไงก็ต้องซื้อ เพราะไม่งั้นก็ไม่รู้จะแพกของฝากกลับกันยังไง ซึ่งพอเราซื้อของกันเสร็จแล้ว ลุงเจ้าของร้าน ก็ปิดร้านต่อหน้าต่อตาพวกเรากันเลย โห นี่ลุงเปิดรอพวกผมเลยใช่ไหมครับเนี่ย
แต่ประเด็นที่น่าคิดก็คือ ทำไมร้านค้าถึงมาตั้งอยู่ติดๆ กันได้ถึง 4 ร้าน รวมถึงเป็นร้านแบบร้านชำด้วยร้านนึง จะว่ากลุ่มเป้าหมายต่างกัน ก็ไม่น่าต่างกันมาก ร้านใหญ่อย่าง Fair Price เอง ก็มีของค่อนข้างครบครัน ของครบกว่า 7-eleven เสียอีก เพราะมีพวกของสดขายด้วย ราคาก็ค่อนข้างยืนยันว่าถูก (ก็ขนาดน้ำยังถูกเลยนิ) แต่ร้านทั้ง 4 ร้าน ก็ยังเปิดได้พร้อมๆ กัน ไม่มีใครต้องยอมแพ้และล้มหายตายจากไป ก็ดูเป็นระบบเศรษฐกิจที่น่าฉงนดีเหมือนกัน (?)
กลับถึงโรงแรม ก็ไม่มีอะไร แต่ตอนขึ้นลิฟต์ ก็เจอสาวไทยนางนึง บอกแล้วว่ามาสิงคโปร์นี่ เจอคนไทยเยอะจริงๆ พอขึ้นห้อง ภารกิจสำหรับคืนนี้คือการมาประชุมกันว่า แพลนของวันพรุ่งนี้จะทำอะไรกันบ้าง
ระหว่างที่แพกของไป ก็ประชุมวางแผนกันไปด้วย ด้วยความที่ยังมีอีกร้านที่คิดว่าน่าสนใจ ผู้เขียนก็เลยเสนอแผนว่า ให้เริ่มทริปที่ China town กันก่อน ก็ไปทานมื้อเช้า (โจ๊กร้านดัง) ที่ Maxwell นั่นแหละ จากนั้นก็กลับมาแวะวัดพระเขี้ยวแก้ว ซื้อของฝาก (magnet ที่เล็งกันไว้ตั้งแต่วันแรก) จากนั้นก็ค่อยไปเก็บ marina bay ยามกลางวันกัน ซึ่งสาวๆ อยากไปที่ Garden by the bay กันเป็นพิเศษ แล้วก็กำหนดเวลา (อย่างเคร่งครัด) ว่าต้องกลับมาถึงโรงแรมเอาของที่ฝากไว้หลังจาก check out เรียบร้อยตั้งแต่ตอนเช้า ไม่เกินบ่ายสาม เพื่อที่จะไปสนามบิน และ check in ให้ทัน ก่อน 16:30 น.
หลังจากประชุมวางแผน ทำความเข้าใจกันเรียบร้อย ก็เป็นอันสิ้นสุด day 4 แต่เพียงเท่านี้... ส่วนลังของฝากน่ะเหรอ สรุปแล้ว ขนาดได้ลังใบใหญ่กว่าที่ขอฟรีมาตอนเช้าพอสมควร แต่ก็แพกของใส่ไม่หมดคร้าบ เจ้าช็อกโกแล็ต 13 กระปุกนั่นแลที่ยังไงก็ยัดไม่พอ ต้องฝากใส่กระเป๋าแยกมา 2 กระปุก ส่วนของอย่างอื่นก็สามารถลงไปเบียดกันอยู่ในลังได้แบบแทบจะยัดอะไรลงไปไม่ได้อีกแล้วนอกจากถุงพลาสติก... แล้วเรามาลุ้นกันว่า ตอน check in ที่สนามบินในวันพรุ่งนี้ เจ้าลังของฝากเนี่ย มันจะหนักกี่กิโลกันนะ ? อิอิ