EP 5.0 : Day 5 เก็บตก และ... ลาจาก
สำหรับคนอยากเสพแบบสั้นๆ เราได้ใช้ Notebook LM สร้าง audio overview ไว้ให้กดฟังกันได้ตรงนี้
วันสุดท้ายนี้เนื่องจากมีแผนการมากมาย และเวลาอันน้อยนิด เราจึงนัดกันค่อนข้างเช้า คือ 8:00 น. ทุกคนต้องพร้อมลงไป check out และวันนี้คนที่สาย ก็เป็นข้าพเจ้านี่แล 555 สาวๆ มากดกริ่งแล้ว ตูยังแปรงฟันอยู่เบย >_< เอาน่า ก็ขอใช้สิทธิ์เลตบ้างอะไรบ้าง กว่าจะแต่งตัว เก็บข้าวเก็บของ แถมยังมีเวลาแอบจัดมื้อเช้าเล็กๆ ด้วยกาแฟและขนมที่เพื่อนซื้อมา คล้ายๆ โอรีโอ้ แต่เห็นบอกว่าไส้เป็นโอวันติน (ซึ่งก็หวานๆ รสโอวันตินก็ไม่ค่อยเด่นอะไร) ทุกคนก็ทำอะไรๆ กันเสร็จพอดี ก็แหม ระหว่างรอเราก็ไปทำเรื่อง check out กันไปก่อนสิ ไหนจะต้องขนของอีกอะไรอีก เราสาย แต่ก็ไม่ได้ทำให้เสียเวลาอะไรสักหน่อย หุหุ
check out และฝากของ
โรงแรมนี้ก็ถือว่า check out ไวและสะดวกดี เพราะพอเราลงไป ก็แค่คืน keycard แล้วก็ไสหัวไปได้เลย (เจ้าหน้าที่ไม่ได้กล่าว) เราก็เอากระเป๋ามาฝาก โดยที่ห้องฝากกระเป๋าเราต้องเดินออกมาจากโรงแรมก่อน เหมือนห้องที่อยู่อยู่ในโรงแรม แต่ทางเข้าต้องเข้าจากข้างนอก ที่ฝากของก็โอเค มีคนเฝ้า คอยจัดการว่าของกลุ่มไหนเป็นของใคร เรียกได้ว่าไว้ใจได้เลยทีเดียว (แต่เขาก็บอกว่าถ้ามี laptop ไม่รับนะ) พอเรียบร้อย เราก็เริ่มการเดินทางในวันสุดท้ายของทริปนี้กันได้แล้ว
Chinatown (อีกครั้ง)
เดินทางกันด้วย SMRT อีกเช่นเคย (ซื้อบัตรบุฟเฟ่มาแล้วต้องใช้ให้คุ้ม) เป้าหมายคือ Chinatown และมื้อเช้าของเรา เย้ๆ ซึ่งหลังจากกลับมา ก็ยังตั้งหน้าตั้งตาอ่านรีวิวสิงคโปร์เกือบทุกกระทู้ที่เห็น ก็พบความจริงอันน่าเจ็บปวดใจว่า การที่เราจะไปยัง Maxwell food court นั้น ที่จริงมีวิธีที่ง่ายและน่าจะเร็วกว่า แทนที่เราจะนั่งไปลง Outram Park (EW16/NE3) แล้วต่อสาย NE ไปยัง สถานี Chinatown (NE4) แล้วเดินอ้อมมมมม กว่าจะถึง Maxwell กระทู้นี้ เขาบอกว่าให้ลงที่สถานี Tanjong Pagar (EW15) ทางออก B เดินขึ้นมา ผ่าน Red dot Museum ตึกสีแดงๆ ใหญ่ๆ พอสุดขอบตึก ข้ามถนนไปทางขวาก็เจอเลย ซึ่งดูแล้ว มันน่าจะเร็วกว่าที่เราเดินอ้อมกันแน่ๆ แต่การที่เราเดินทางกันด้วยวิธีเดิม (เหมือนกับเย็นวันแรก) ก็ทำให้สาวๆ ได้เก็บภาพตึกย่าน Chinatown ในยามสายๆ ซึ่งก็คงถือเป็นข้อดี (แหละมั้ง?)
มื้อเช้ากับโจ๊กชามใหญ่ (ที่ไม่มีใครทานหมด)
ขึ้นจาก SMRT สถานี Chinatown มาแล้ว หลังจากอ้อยอิ่งเก็บภาพรายทางกันพอสมควร คือวันนี้อ้อยอิ่งไม่ได้แล้วนะ ตารางต้องเป๊ะๆ เพื่อที่เราจะได้เก็บสถานที่ตามแผนกันได้แบบครบๆ เราก็มาถึงยัง Maxwell food court กันแล้ว เช้าๆ วันอาทิตย์แบบนี้หาโต๊ะไม่ยาก เย็นวันพุธที่มารอบแรกยังถือว่าหาโต๊ะยากกว่ากันพอสมควร ส่วนเมนูก็ไม่ต้องคิด เพราะเล็งมาแล้วว่าจะกินโจ๊กร้านดัง Zhen Zhen Porridge 中国街真真粥品 แต่ถึงจะไม่ต้องเลือกเมนู ก็ยังต้องเกือบๆ จะตบตีกับคุณเพื่อน เพราะชีดันบอกว่า "ร้านโจ๊กอะไร ไม่เห็นมีเลย" (เอ่อ ขอโทษนะครับ คุณเธอเพิ่งอ่านให้ฟังกับปากอยู่เมื่อวานซืนนี้เอง) ก็เลยปล่อยให้ชีเปิดหนังสือหาไป ส่วนอีกสองสาว ก็ไม่นั่งรอให้เสียเวลา ออกเดินดูร้านที่น่าสนใจด้วยตัวเองดีกว่า และผลลัพธ์ก็ออกมาเหมือนกัน คือคนนั่งหาจากหนังสือก็เจอ และคนที่ไปเดินสำรวจก็เจอ แน่นอนแหละ เป็นร้านที่คนต่อแถวเยอะอย่างสังเกตได้ ซึ่งเทคนิคของการเลือกร้านอาหารตาม food court ที่คิดว่าผ่านการทดสอบมาแล้วจาก backpacker หลายๆ ท่านก็คือ "เลือกร้านที่คนต่อแถวเยอะๆ ไว้นั่นแหละ" และถ้าได้ร้านแล้ว ยังเลือกเมนูไม่ถูกล่ะก็ "ก็เอาตามอย่างคนข้างหน้านั่นแหละ" 5555
เพื่อนที่เดินไปสำรวจได้ความมาว่า โจ๊กชามละ 3/4/5 แล้วแต่ขนาด แต่แอบมีคอมเมนต์ว่าชามเล็ก ดูเล็กมาก น่าจะไม่อิ่ม สองหนุ่มก็คิดตรงกันแหละ อืม งั้น "จัดเต็ม" ซัดชามใหญ่เลยละกัน 5 SGD ก็นิดหน่อย พ่อเพื่อนกำชับมาแล้วว่าอย่างกเรื่องกิน ก็เลยสั่งกันไปบอกว่าเอาชามใหญ่เลยละกัน โดยตัวเลือก มีโจ๊กไก่ กับโจ๊กปลา และเพิ่มไข่เยี่ยวม้าได้ ซึ่งประเด็นนี้ก็นั่งคุยกันมาตั้งแต่เมื่อคืนละ ว่ามันก็น่าจะเป็นประมาณนี้ เพราะมันคงเป็นโจ๊กสไตล์ฮ่องกง
รอไม่นาน โจ๊กที่สั่งก็ได้ แต่... มันจะมาแบบเรียบร้อยสงบสุขไม่ได้หรอก ทริปนี้มันต้องมีความ "ไม่โปร" อยู่ในเกือบทุกกิจกรรม เพื่อนๆ กลับมาพร้อมกับเรื่องเล่าเช้านี้ว่า มีปัญหากับการสั่งโจ๊กกับอาม่าที่ขายนิดหน่อย (ขนาดเขามีเมนูให้เลือกเป็นเลขๆ แล้วอะนะ) สรุปคือ ผู้เขียนได้ตามที่สั่งไม่มีปัญหา แต่อีกสองคน เหมือนจะสั่งมาสลับเมนูกัน (แล้วทำไมท่านๆ ไม่สลับชามกันล่ะวะครับ?)
เรื่องเมนูอาจไม่ใช่ประเด็นใหญ่อะไร แต่ที่ใหญ่จริงๆ นี่คือ "ชาม" ใช่แล้วครับ ชามที่ใส่โจ๊กมานั่นแล สรุปแล้วเพื่อนก็สั่งแค่ขนาดกลางมาให้ ราคา 4 SGD แต่ "ชาม" "มัน ใหญ่ มาก" ครับพี่น้อง คือจริงๆ ก็ไม่ใช่ขนาดชามใหญ่ผิดปกติ หรือใหญ่ขนาดชามราเม็งอะไรพวกนั้นหรอก แต่ต้องบอกว่าปริมาณโจ๊กในชามมากกว่า คือชามก็ใหญ่ และโจ๊ก็ใส่มาเต็ม คือดูสภาพแล้ว ยังไงก็กินไม่หมดอะ (ไหนใครบอกว่าชามเล็กมันเล็กมากน่าจะไม่อิ่มฟระ) ที่เคืองอีกอย่างคือ คนที่บอกว่าโจ๊กชามเล็กน่าจะกินไม่หมด (ตอกย้ำหลายรอบหน่อย) เจ้าตัวดันไม่สั่งโจ๊กทานด้วยนะ ไปพยายามหาติ่มซัม ซึ่งก็เห็นว่าได้มา เพื่อนๆ ลองชิมแล้วก็เห็นบอกกันว่าอร่อยอยู่
โจ๊กร้านนี้ถือว่ารสชาติผ่านเลยสำหรับผู้เขียน และเพื่อนก็บอกว่าผ่านเช่นกัน ถือว่าคุ้มที่ยังได้มาเก็บเมนูนี้กันก่อนกลับ แต่ติดตรงมันเยอะมากนี่แหละ นั่งกินนั่งเขี่ยกันไป จากที่กะว่าจะใช้เวลาให้เร็วที่สุดในแต่ละที่ แต่สรุปแล้ว เราเสียเวลากับมื้อเช้ากันไปร่วมชั่วโมง แถมสรุปก็ไม่มีใครทานโจ๊กหมดชามกันสักคน ส่วนมากจะเหลือกันเกินครึ่งชามด้วยซ้ำ (แต่ผู้เขียนเหลือแค่ 1/3 นะ 5555 #รู้สึกเป็นผู้ชนะ) ส่วนเครื่องดื่มของมื้อนี้ สองหนุ่มก็ได้รูทเบียร์ ที่ซื้อไว้ตั้งแต่เย็นวันศุกร์ แต่ยังไม่ได้กินกันสักที จนสรุปถือติดมือมาไว้กินกันพร้อมโจ๊กนี่แหละ (เข้ากันตรงไหน?) ซึ่งนอกจากรูทเบียร์หนึ่งกระป๋องแล้ว ของผู้เขียนยังเหลือโค้กอีกขวดที่ซื้อมาจากหน้า Lego Land นั่นแหละ ก็ถือว่าโชคดีที่ยังเก็บมันไว้ เพราะเอามาจิบประทังชีวิตไปได้อีกทั้งวัน 55
ระหว่างมื้อเช้า ก็มีเรื่องเฉียดๆ ดราม่านิดหน่อย เพราะคุณเพื่อนคนที่ได้เมนูผิด ดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจ และนอกจากอารมณ์จะไม่โอเคแล้ว ร่างกายก็พลอยไม่โอเคไปด้วย เพราะพอทานโจ๊กไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็เกิดอาการไม่ค่อยดีผะอืดผะอม เลยขอตัวออกไปเดินตากลมข้างนอกสักครู่ แต่สรุปแล้วก็ไม่ได้มีอะไร....
แวะวัดพระเขี้ยวแก้ว (บางทีวัดก็ไม่ได้ร้อนเสมอไปนะ)
พอเสร็จจากมื้อเช้า ซึ่งน่าจะเกือบ 11:00 น. เข้าไปแล้ว เราก็เดินย้อนกลับมาเข้าวัดพระเขี้ยวแก้ว ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่ง landmark ที่คนไทยที่มาเที่ยวสิงคโปร์ก็ล้วนบอกว่าต้องมากัน เย็นวันแรกเราแค่เดินผ่านหน้าวัดและเก็บภาพกันไปนิดหน่อย แต่วันนี้ก็ตั้งใจเข้าไปในวัดกันเลย
ทางวัดก็ถือว่าพร้อมสำหรับการแต่งกายของนักท่องเที่ยว (โดยเฉพาะผู้หญิง) เพราะมีผ้าให้ใช้พัน เป็นคล้ายๆ อะไรดีล่ะ เอ่อ.. ก็แบบว่า สาวๆ เดี๋ยวนี้ก็ชอบใส่กระโปรงหรือไม่ก็กางเกงสั้นๆ ใช่ไหม โอเคเราก็เข้าใจว่าอากาศมันร้อน และจะให้แต่งกายสุภาพสำหรับมาวัด แล้วใช้ชีวิตอีกทั้งวัน มันก็อาจจะไม่ใช่แนว เขาก็เลยมีผ้าที่ว่านี้ไว้ให้บริการ พันซะก่อนจะเข้าวัด มันจะได้สุภาพ ไม่ทำให้พระเกิดขันติแตกได้ อาไรทำนองนั้น...
แน่นอนว่าพอเข้ามาในวัดความรู้สึกที่สัมผัสได้ก็คือความร่มเย็น ... อาาาห์ นี่สินะคือความสงบร่มเย็นของร่มพระพุทธศาสนา..... หือ #ไม่ใช่ละ ความจริงก็คือจากแดดร้อนๆ ข้างนอก พอได้มาหลบในที่ร่มของอาคารวัด มันก็เย็นไงล่ะ แถมก็คงต้องมีระบบทำความเย็นให้อากาศในอาคารที่ผู้คนพลุกพล่านอีก มันก็สมควรสัมผัสได้ถึงความเย็นอยู่ละ เหอๆ
อาาาห์ แล้วนี่มันอะไร ทำไมพอเราได้นั่งลง ตรงที่เขานั่งสวดมนต์กันอยู่อย่างเลื่อมใสศรัทธาแล้วเราถึงรู้สึกสบายเช่นนี้ มันต้องเป็นผลจากแรงศรัทธาในพระพุทธศาสนาแน่เลย..... #ก็ไม่ใช่อีกเช่นเคย ความสบายที่ว่ามาจาก ที่เราได้พักขาจากการเดินและยืน (คือถึงจะคิดว่าอะไร เพิ่งออกจาก food court มาได้แป๊บเดียว แต่ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า มันสะสมมาตั้งแต่วันแรกๆ แล้วนะคร้าบ) ได้นั่งพักสักนิดนี่ก็ฟินละ ถึงจะเป็นการนั่งในท่าเทพพนมของผู้ชาย คือนั่งคุกเข่าแล้วปลายเท้าตั้งฉากกับพื้น แต่เนื่องจากวัดนี้เขามีเบาะรองนั่ง ไว้ให้เรารองหัวเข่า เลยทำให้การนั่งในท่าที่น่าจะทำให้เมื่อยกว่าเดิม เป็นการนั่งพักที่ค่อนข้างสบายเลยทีเดียว คือก็เพิ่งเห็นประโยชน์ของเบาะรองนั่งก็ตอนนี้แหละ
นั่งอยู่แป๊บนึง ซึ่งก็ไม่ได้สวดมนต์อะไรกับเขาหรอก บอกตรงว่าจุดนี้ก็แค่นั่งพัก คุณเพื่อนก็ลากเราเดินๆ ต่อ ซึ่งก็ไม่ได้อธิบายสถาปัตยกรรมหรือวัตถุรูปปั้นอะไรในนี้ให้ฟังมากนัก คือถึงอธิบายมา นี่ก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่ (ดูเป็นมารศาสนาชอบกล) และเราก็เดินกันแค่ชั้นล่างชั้นเดียว ทะลุออกไปข้างหลัง แล้วก็พบ... พบว่าเพื่อนคนนึงหายไป เอาละครับ ขนาดบอกกันแล้วนะว่าอย่าหลง สรุปมาหลงกันในวัดอีกจนได้ พอพบว่าเพื่อนหายไป เราก็เลยกลับมาที่ด้านหน้า แล้วสาวๆ ก็จะกลับเข้าไปหาเพื่อนอีกคนที่หลงกัน แต่ก็ยังไม่ทันจะเข้าไปหา ชีก็เดินออกมาซะก่อน สรุปก็คือหลงกัน แต่หลงแบบเบาะๆ แค่พอให้ตื่นเต้น เหอๆ
แวะซื้อของฝาก นอกจากของกินก็ได้แวะร้านนี้ร้านเดียวอะ
พอออกจากวัดพระเขี้ยวแก้วกันแล้ว เราก็ไปยังจุดหมายถัดไป ซึ่งก็คือร้านขาย magnet ซึ่งก็มีอยู่หลายร้าน ในซอยทางผ่านกลับไปยัง SMRT นั่นล่ะ เอ๊ะ ไหนบอกว่าจะดู magnet แล้วนี่มาแวะร้านขาย postcard กันทำไมคร้าบ ไม่เอาผมไม่ซื้อ ... โอเค แวะร้านขาย postcard กันแต่พองาม เพราะสรุปก็ไม่มีใครซื้อ จนมาถึงร้านขาย magnet ที่เราซื้อกันทุกคน ซึ่งก็ไม่ใช่ร้านเดียวกับที่เล็งไว้เย็นวันแรก รู้สึกร้านนั้นจะยังไม่เปิด แต่ร้านนี้ก็มีแบบให้เลือกเยอะเหมือนกัน ราคาก็อันละ 2 SGD มีบางอันอาจ 3 SGD (ซึ่งเป็นอันที่ข้าพเจ้าถูกใจซะด้วย) ส่วนอันที่ราคา 2 SGD ถ้าซื้อ 3 ชิ้น จะลดเหลือ 5 SGD (แหมใจดีจัง)
โดยส่วนมากก็จะเป็นรูปสถานที่ดังๆ ในสิงคโปร์ ซึ่งก็ไม่พ้น Merlion, Singapore Flyer, Marina bay San (ตึกโรงแรมที่เป็นรูปเรือ) อะไรแถวๆ นี้แหละ มีสีให้เลือก เงิน, ทอง ก็เลือกๆ กันไป ได้ติดไม้ติดมือกันคนละ 3-4 ชิ้น ซึ่งผู้เขียนก็ไม่ได้สำรวจทั้งหมดว่าใครซื้อแบบไหนบ้าง แต่ของผู้เขียนเอง ก็ได้มา 3 ชิ้น แต่ดันเลือกอันนึงที่เป็นราคา 3 SGD มา ตอนคิดเงินเลยงงๆ กันนิดหน่อย เพราะต้องเอาไปรวมๆ กับเพื่อน ให้ครบ 3 3 เพื่อจะได้จ่ายแบบลดราคา ซึ่งคุณพ่อค้านี่ก็ใจดีนะ เห็นเรางงๆ กัน จัดระเบียบไม่ถูกกันสักที มีมาบอกเราด้วยว่า ไม่งั้นก็แยกกันจ่ายไหมล่ะ โห นี่ใจดีกะไม่อยากให้พวกเราใช้ส่วนลดเลยเหรอครับ =_=
ออกจากร้าน magnet มากันแบบงงๆ เพราะผู้เขียนก็บอกว่าให้จ่ายแบบจ่ายรวมกันไปนั่นแหละ ไม่มีอะไรผิดหรอก แต่อิคนจ่ายก็ยังงงอยู่ มึนๆ ชีดูอาการไม่ดีตั้งแต่ตอนทานโจ๊กแล้วที่ว่า สรุปก็คือ ตอนเดินกลับไปยัง SMRT ชีก็อาการไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ดูว่าเหนื่อยๆ เดินช้าๆ เราเลยสละเพื่อน ไปช่วยดูชีซะหน่อย เหอะๆ (วันนี้จะรอดไหมเนี่ย นี่เพิ่งเริ่มเองนะ)
Garden by The Bay พบกันสาย(เกือบบ่ายละ)ไป มันน่าเสียดาย
สถานที่ต่อไปที่เราจะมุ่งหน้าไปกันก็คือ Garden by the Bay ซึ่งรอบนี้ไม่หลงแล้ว เพราะศึกษาสอบถามสถานีกันมาอย่างดี ก็เดินทางด้วย SMRT กันอย่างราบรื่น พอขึ้นจาก SMRT ที่สถานี HarbourFront (NE1) แล้ว เราก็เดินๆ ซึ่งจุดที่ขึ้นมานี้มันก็ยังไม่ใช่ตรง Garden by the Bay หรอก จริงๆ ต้องเดินหรือนั่งรถไปอีกพอสมควร แต่จุดนี้ก็เป็นบนสะพาน ตรงหน้าโรงแรม Marina Bay san นั่นแหละ สะพานอีกอัน ใกล้ๆ กับสะพานที่เราเดินข้ามไปข้ามกลับเมื่อค่ำวานซึ่งสาวๆ ก็พักถ่ายรูปกันตรงนี้นานพอสมควร เพราะมันสามารถถ่ายรูปโดยมี Super Tree เป็นฉากหลังได้ ซึ่งก็
สังเกตว่าจุดนี้ ก็มีนักท่องเที่ยวมาแวะถ่ายรูปกันพรุกพร่านเหมือนกัน ส่วนสองหนุ่ม ก็ได้แต่ยืนเมื่อยยืนร้อนกันไป
อยู่ตรงจุดนี้กันน่าจะเกือบครึ่งชั่วโมง เราก็เดินกันต่อ ทีนี้สาวๆ เกิดตัดสินใจกันว่าจะไป garden by the Bay โดยซื้อตั๋วรถโดยสาร คือเขาจะมีเป็นคล้ายๆ กับรถกอล์ฟให้บริการนักท่องเที่ยว ในราคา 3 SGD แน่นอนว่าบัตร STP ที่เรามีนั้นใช้ไม่ได้
โดยที่ถ้าตัดใจจ่ายค่าโดยสารรถนี่กันแล้ว ก็แปลว่า ที่เราวางแผนกันว่าจะไปที่อื่นกันต่อก็คงต้องยกเลิก ใช้เวลาที่เหลืออีกราวสองชั่วโมงนี้ไปกับ garden by the bay ให้หมดเลยละกัน
ซื้อตั๋วเสร็จแล้วก็มายืนรอรถ ตรงนี้มีสแตมป์ข้อมือนิดหน่อย คือตั๋วพี่ก็ฉีก ยังต้องป๊ำข้อมืออีกเหรอครับ เพื่อ? ซึ่งจริงป๊ำข้อมือเพื่ออะไรก็ไม่รู้ แต่มารู้ทีหลังว่าจริงๆ ตั๋วที่เราซื้อ เหมือนตั๋วสำหรับทัวร์รอบๆ โซนนี้ คือลงรถที่จุดนึง แล้วก็สามารถออกมาขึ้นรถวนไปยังจุดถัดไปได้ อา... แต่รู้เมื่อสายไปก็ไร้ค่า เพราะสรุปก็คือเราก็ได้นั่งรถแค่เที่ยวขาไปแค่เที่ยวเดียว คุ้มกับ 3 SGD ไหมเนี่ยยยย ?
ขึ้นบนรถเราก็ยังเจอคนไทย แถมเท่าที่ได้ยิน คือไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังเขาอะไรเลยนะ แต่เขาพูดกันในกลุ่มค่อนข้างเสียงดังมาก คิดว่าคนอื่นคงฟังไม่ออกล่ะเซ่ แต่หน้าพี่ (ใจจริงอยากเรียกว่าป้า แต่ก็ไม่ได้ดูแก่ขนาดนั้น) ก็เป็นคนไทยนะคร้าบ เท่าที่จำได้คือ พวกเขาน่าจะเพิ่งมาถึงวันแรก (โหยมากันวันอาทิตย์นี่นะครับ) แค่นั้นแหละ 555 อย่างอื่นไม่ได้ใส่ใจว่าเขาคุยกันเรื่องไรละ
พอมาถึง Garden by The Bay ซึ่งตรงนี้ ก็จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่สิงคโปร์จงใจสร้างเป็นคล้ายสวนจำลอง มีการจำลองพืชพันธุ์ในเขตต่างๆ แต่ก็จะยังไม่ถึงขั้นสวนพฤกษศาสตร์แหละมั้ง เพราะเห็นเขามีสวนพฤกษศาสตร์แยกอยู่อีกที่นึง โดยในนี้ก็จะมี flower dome ซึ่ง... ต้องเสียค่าเข้าต่างหาก โห ผมเสียค่ารถมาแล้วตั้ง 3 SGD ก็ยังเข้าไม่ได้เหรอ งกจุง.... และใกล้ๆ กัน ก็จะมี Super Tree ซึ่งมีร้านอาหารอยู่ด้านบน ถือเป็นจุดขายอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าจะขึ้นไปบน Super Tree ก็ต้องเสียตังอีกเช่นกัน ดังนั้นพวกเรา ซึ่งจริงๆ ก็คือพวกสาวๆ นั่นแหละ ก็เลยเดินถ่ายรูปกันแค่ส่วนที่เดินดูได้ฟรี ซึ่งก็มีให้เดินกันเมื่อยได้เลยล่ะ
เวลาที่เรามาถึงก็สักบ่ายโมงนิดๆ แต่ด้วยในนี้เป็นเหมือนโดมต้นไม้ อากาศและแสงแดดก็เลยไม่โหดร้ายเหมือนข้างนอก ซึ่งวันนี้ถือเป็นวันที่ฟ้าใส แดดแรงอีกวันนึงของทริปนี้เลย ก็ดีตรงไม่เจอฝน แต่ก็ต้องทนกับพระอาทิตย์กันแทน
หลงทางเสียเวลา แถมจะพา....กันตกเครื่อง
เดินไปถ่ายรูปไป และแล้วเวลาก็หมดลง ปัญหามาเกิดอิตอนจะกลับนี่แหละครับ รีบก็รีบ เพราะตอนนี้ก็เหลือเวลาจำกัดมากแล้ว ต้องรีบกลับไปเอากระเป๋าที่โรงแรม รีบเผ่นไป check in ที่สนามบินให้ทัน แต่... หาทางกลับไม่เจอครับพี่น้อง
เดินวนไปวนมา หลงทางถ้ามกลางต้นไม้และป้ายบอกทางที่วกวน ถามทางก็แล้ว แต่พอถามเขามาแล้ว ก็แวะถ่ายรูป แวะถ่ายรูป ผลคือ เอ๋ แล้วจากตรงนี้ไปยังไงต่อนะ.... สรุปคือเดินกันขาขวิดมาก กว่าจะมาเจอลิฟต์ และขึ้นมายังชั้นที่ถูกต้องเพื่อเดินไปยังสถานี SMRT HarbourFront ได้
ซึ่งความจริงอันโหดร้ายก็คือ พอเราเดินมาเรื่อยๆ "เฮ้ย นี่มันคือตรงที่เราขึ้นรถกอล์ฟตอนแรกนี่หว่า" คือนั่งรถไป แต่ขากลับดันเปรี้ยวเดินกลับกันมาซะอย่างนั้น ก็... ทำไงได้ละครับ ก็ต้องเดินกึ่งวิ่งกันต่อไปจนถึง SMRT นั่นแหละ
แล้วเราก็สรุปกันว่า Garden by the Bay เนี่ย มีอะไรให้เราเดินดู ศึกษา ชมความงาม ถ่ายรูป อีกมากเลยนะ ใช้เวลาครึ่งวัน หรือแม้แต่เต็มวันก็อาจจะไม่พอ ก็ได้แต่แปะไว้ในใจว่า ถ้าคราวหน้ามีโอกาสได้กลับมาเที่ยวสิงคโปร์กันอีกรอบ ก็ต้องจัดแผนการและให้เวลากับ Garden by the Bay นี้ให้มากขึ้น
ภาพส่งท้าย @ Garden by The Bay
เมื่อจะจบทริป ก็อยากจะขอใช้ประโยคที่หลายคนชอบใช้กันนั่นก็คือ "เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปไวเสมอ" มันอาจจะเป็นกฎสัมพัทธภาพหรืออะไรก็แล้วแต่เถอะ แต่เมื่อเวลาของความสุขสนุกสนานจะจบลง ทุกคนก็คงรู้สึกคล้ายๆ กัน ว่าเห้อ... แค่นี้แล้วเหรอ ขอทดเวลาบาดเจ็บอีกสักนิดได้ไหม....
การกลับโรงแรมที่จริงถือว่าใกล้มาก นั่งรถ SMRT เพียงแค่สองสถานีเท่านั้น แต่ต้องนั่งสองสายนะ คือสายนึงหนึ่งสถานี แล้วก็มาต่ออีกสายนึงอีกสถานีนึง ก็กลับมาถึงโรงแรมเราได้แล้ว วิธีการไม่มีปัญหา ที่มีปัญหากับเรารอบนี้คือเวลานี่แหละ โอ้ย ทำไมมันช่างกระชั้นชิดเยี่ยงนี้ ตอนรอรถไฟตอนเปลี่ยนสายมันก็ช่างรอนานเหลือเกินแถมขบวนที่มาก็คนเยอะ คนสิงคโปร์จะออกมาทำอะไรกันเยอะแยะในบ่ายวันอาทิตย์ที่แดดร้อนแบบนี้คร้าบ? แต่สรุปเราก็ถึงโรงแรมกันภายในเวลาที่กะไว้ (จริงๆ ก็ช้าไปนิดหน่อย) รับกระเป๋า แล้วก็กลับไปลง SMRT อีกเหมือนเดิม คราวนี้คือเหมือนคราวแรกที่เราได้นั่ง SMRT แต่เป็นกระบวนการย้อนกลับ นั่นก็คือการนั่งกลับจากโรงแรมไปยังสนามบิน....
สัมภาระนี่มัน... ภาระจริงๆ
ปัญหาของการเดินทางรอบนี้มาอยู่ที่สัมภาระ เพราะลังที่แพกมานี่ ถึงผู้เขียนจะได้ใช้วิชาถักเชือก ทำให้เชือกที่ใช้มัดลัง มีส่วนที่เป็นหูหิ้วก็แล้ว (แอบบอกว่ามัดมาแบบที่สามารถคลายเชือกได้โดยที่ไม่ต้องตัดด้วยแหละ อิอิ) แต่ด้วยความหนักและขนาดที่ก็ถือว่าใหญ่ ทำให้การถือมันในการจราจรของผู้คนอันวุ่นวายก็เป็นอะไรที่ไม่สบายนัก และคนรับภาระนั่นก็หาใช่ใครไม่ ก็ข้าพเจ้านี่แหละ ทีแรกก็ให้คุณเพื่อนที่เป็นผู้ชายอีกคนนึงช่วยหิ้ว แต่ด้วยความที่เพื่อนก็ดูสภาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะนอกจากโจ๊กมื้อเช้าที่ทานไม่หมดชามแล้ว ก็ยังไม่ได้ทานมื้อกลางวันกันเลย ซึ่งในกลุ่มก็ไม่มีใครได้ทานมื้อกลางวันกันทั้งนั้นแหละ เพราะมัวแต่เก็บสถานที่ท่องเที่ยวกันอยู่ และก็ไม่ได้คิดเวลาเผื่อข้าวกลางวันกันไว้ด้วย สุดท้ายพอเดินลง SMRT ไปแล้ว ก็เป็นข้าพเจ้าที่ต้องถือลัง ซึ่งมาทราบภายหลังตอนช่างน้ำหนักก่อน load ขึ้นเครื่องว่าหนัก 9.9 KG แถมด้วยเป้ของคุณเพื่อนซึ่งใบใหญ่มาก และก็มาทราบภายหลังอีกเช่นกันว่าหนักถึง 7.6KG ไหนจะกระเป๋าสะพายของตัวเองที่มี laptop อยู่อีก สรุปคือตูแบกน้ำหนักร่วม 20KG ขึ้นรถไฟใต้ดิน :o
ซึ่งรถไฟใต้ดินที่สิงคโปร์ในวันอาทิตย์ ไม่ว่าจะเช้าหรือบ่าย ก็ยังคนเยอะไม่ต่างกัน ยังดีที่ได้มุมตรงข้างประตู ให้ทั้งคนและของได้ยืนหลบๆ ได้เป็นที่เป็นทางหน่อย แน่นอนว่าระดับนี้ขนของเยอะขนาดนี้ ในสภาพคนเยอะขนาดนี้ ไม่ได้นั่งอยู่แล้ว แต่ก็ยังดีที่เราไม่ต้องต่อรถหลายขบวน เปลี่ยนแค่สายเดียวก็ถึงสนามบินเลย การแบกสัมภาระครั้งนี้ก็เลยไม่ยุ่งยากมาก (ไปกว่าที่ควร)
check in วินาทีเกือบ... สุดท้าย (ใครเขาทำกันฟระ)
พอมาถึงสนามบิน ก็เอาบัตร STP ไปคืน และรับเงินค่ามัดจำบัตรมาแจกจ่ายกันคนละ 10 SGD คืออย่างน้อยๆ ถ้าใครใช้ตังกันแบบหมดเนื้อหมดตัว ถ้าซื้อบัตร STP ไว้ ขากลับก็ยังเหลือเงินพอพาตัวเองกลับบ้านจากสนามบินได้แน่ๆ ฮาฮา
และคุณเพื่อนก็ใจดี เอากระเป๋าลากของชีมาแลกกันถือกับลัง 55 ถือไปก็บ่นไปว่านี่มาเดินในสนามบินแต่แบกลังยังกับเดินอยู่ในหมอชิด บ่นแล้วบ่นอีก แต่ยังแบกไหวก็โอเคแหละนะ
จนมาถึง... จนมาถึง เคานต์เตอร์ check in แบบทันเวลาเฉียดฉิว ทันเวลาที่ว่านี่ไม่ใช่เวลาเปิดนะ ทันเวลาที่เขาจะปิดให้ check in คิดง่ายๆ เครื่องขึ้น 17:30 แปลว่าปิดให้ check in ตอน 16:30 ซึ่ง ณ เวลาที่เราวิ่งๆๆ มาจนถึงเคานต์เตอร์ได้นั้น ก็เป็นเวลา 16:20 เข้าไปแล้ว คือเรียกว่าเสี่ยงกว่านี้ไม่มีอีกแล้วทริปนี้ 55
กระบวนการ check in ผ่านไปได้ด้วยดี และนี่ก็เพิ่งจะฉลาดว่า ถ้าเรา load ของ สามารถ load กี่ชิ้นก็ได้ โดยที่อยู่ในน้ำหนักที่เราได้ สรุปก็เลย load ลัง+เป้คุณเพื่อนที่ข้าพเจ้าแบกมานั่นแหละ ลงใต้ท้องเครื่องไปซะ อาาาห์ ทีนี้ตูก็สบายแล้ว หมดภาระ (ในการแบก)
พอ check in เสร็จ ก็ต้องผ่านตม. ซึ่งตรงจุดนี้ มีลูกอมให้หยิบด้วยแฮะ ซึ่งคุณเพื่อนเราก็เกรงใจมาก หยิบมาแค่ทุกรสเอง (ก็หลายเม็ดอยู่) แล้วก็ไปถึงจุดสแกนกระเป๋า ซึ่งรอบนี้ นอกจากเจอตรวจกระเป๋าอย่างละเอียดแล้ว ข้าพเจ้าดันเจอตรวจตัวอีกต่างหาก คือคนอื่นไม่เจอน่ะ ทำไมตูดูเป็นผู้ต้องสงสัยอยู่คนเดียว แถมด้วยการสื่อสารภาษาอังกฤษ (ของตูเองแหละ) ที่อ่อนด๋อยมาก ก็ต้องเพิ่งคุณเพื่อนเป็นล่าม ว่าเขาสั่งให้เราทำโน่นทำนี่ คือผมไม่ขโมย Merlion ซ่อนไว้ในขากางเกงหรอกครับพี่
วิ่งๆๆๆๆ วิ่งไป...ขึ้นเครื่อง
ผ่านจากจุดสแกนสัมภาระมาได้ ทีนี้ก็สบายๆ แล้ว (เหรอออ?) ไม่มีหรอกคำว่าสบายๆ น่ะ เราก็ต้องวิ่งๆ กันอีกตลบ เพื่อไปยัง gate ซึ่งก็ยังโชคดีที่ไม่เจอ gate ไกลๆ เข้า ถือว่าใกล้กว่าตอนวิ่งหา gate ที่สุวรรณภูมิตอนขามาเสียอีก แค่ผ่าน diltyfree ไปก็เจอแล้ว พอมาหามุมนั่งกันรออยู่หน้า gate ได้ คือจริงๆ gate ก็เปิดแล้วแหละ แต่ยังมีปัญหาตรงที่ หลายคนยังมีน้ำ/ขนม/ของกินติดตัวกันอยู่ ก็กลัวจะโดนห้ามเอาขึ้นเครื่อง ประกอบกับคุณเพื่อนซึ่งไม่ได้ทานกลางวันและหิวมากกกก ก็เลยให้เวลานิดหน่อย จัดการลากกันไปหาของกินซะให้เรียบร้อย ซึ่งณ จุดนั้น จะไปนั่ง food court ชิลๆ ก็คงจะมิทันแล้ว ร้านที่เห็นก็คงมีเพียง StarBuck ที่จะพอประทังไปก่อนได้ คือก็คงดีกว่าไปสั่งของกินบนเครื่องที่ราคาค่อนข้างโหดร้ายแหละนะ
แต่ชีวิตก็ไม่เคยราบรื่น ขนาดแค่เรื่องง่ายๆ อย่างการซื้อของกินใน Starbuck ก็ยังมีเหตุให้เพื่อนวิ่งกลับมาเอา passport และ boardingpass กันอีกรอบ เออ ก็ใครจะรู้เนาะ ว่าซื้อของกินในนี้ต้องใช้เอกสารยืนยันด้วย >_<
ระหว่างที่เพื่อนไปซื้อของกิน เราก็ตกลงกับเพื่อนอีกคนกันนิดหน่อย พอดีว่าเพื่อนบอกว่าพี่สาวจะขับรถมารับ ก็เลยลองถามพี่ดูว่า จะสะดวกไปส่งเราด้วยไหม เพื่อนก็เลยถามให้และได้คำตอบว่า Ok ดังนั้นประเด็นเรื่องการเดินทางกลับของข้าพเจ้าจึงถูกจัดการไปได้อย่างง่ายดายโดยความช่วยเหลือของคุณเพื่อนและพี่สาว อิอิ
คุณเพื่อนสอยขนมมา 2-3 ชิ้น ค่าเสียหายสิบกว่าเหรียญ ซึ่งก็ถือว่าราคาปกติของร้าน Starbuck แล้วก็มานั่งโซ้ยกันตรงที่นั่งพักนั่นแหละ พอทุกคนจัดการกับของกินกันเสร็จหมดแล้ว คือก็กินกันทุกคนนะ คนละนิดคนละหน่อย มีผู้เขียนนี่แหละที่ไม่ได้แตะอะไรกับเขาเลย #น่าสงสารเนอะ ก็ได้เวลาขึ้นเครื่องกันแล้ว ความจริงก็คือ gate จวนจะปิดละ ขามาก็ขึ้นเครื่องช้า ขากลับก็ขึ้นเครื่องช้าอีกเช่นเคย เห้อ
ขึ้นเครื่องกลับแล้วววว
การขึ้นเครื่องขากลับนี้แตกต่างไปจากตอนขามาพอสมควร เพราะดูพนักงานบริการบนเครื่องที่นี่เขาจะใส่ใจเราซึ่งเป็นคนพิการมาก พอขึ้นไปก็ถามๆ (อะไรไม่รู้) แต่สรุปคือเขาไม่ยอมให้เราเดินเข้าไปนั่งที่น่ะ (ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนะ กักตัวผมไว้ทามมายยยย?) จนเพื่อนคนที่ทำหน้าที่ล่ามของกลุ่มขึ้นตามมา ก็เคลียอะไรกันไม่รู้ จนสรุปก็ได้ไปนั่งที่ (สักที)
แล้วก็ยังไม่จบ จากนั้นสักแป๊บนึง ก็มีพนักงานสองคน คนนึงก็คือคุณผู้หยิงที่กักตัวผู้เขียนไว้ตรงประตูเครื่องนั่นแหละ กับคุณผู้ชายอีกคน มาสอนวิธีใช้เครื่องช่วยชีวิตยามเกิดเหตุฉุกเฉินให้ผู้เขียนกับเพื่อนที่มองไม่เห็นอีกคนนึง ซึ่งก็ถือว่าดี แต่ก็ไม่ได้แปลกใจมาก เพราะก็เคยคุยกับเพื่อนตอนก่อนขึ้นเครื่องไว้แล้ว ว่าแล้วอย่างเรานี่เขาจะเทรนเราเป็นพิเศษหรือเปล่า เพื่อนก็บอกว่าแล้วแต่สายการบิน แล้วแต่เที่ยวบิน ซึ่งที่พบด้วยตัวเองก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะขนาดผู้เขียนใช้บริการสายการบินเดียวกันทั้งไปและกลับ แต่บริการที่ได้รับก็ต่างกัน ขามาไม่สนใจอะไรตูเล้ย แต่ขากลับนี่มาสอนวิธีใช้โน่นนี่ บอกเรื่องห้องน้ำ ประตูฉุกเฉิน เรียบร้อย ไอ้เราก็ได้แต่ฟังแล้วก็ Ok OK คือเขาถามว่าพอใช้ภาษาอังกฤษได้ไหม เราก็บอกว่านิดหน่อย อะนะ 55 ก็เลยไม่ได้ใช้บริการล่ามจากคุณเพื่อน แต่ก็ OK Ok จนเขายอมล่าถอยไปได้อะนะ อิอิ
การขึ้นเครื่องบินเที่ยวที่สองในชีวิตก็ไม่ได้มีอะไรตื่นเต้นไปกว่าเที่ยวแรก เที่ยวนี้เครื่องรออยู่บน runway ไม่นานนัก ก็ขึ้นเลย การเดินทางก็ราบรื่น ไม่มีปัญหาใดๆ แต่รอบนี้ คุณเพื่อนเอาเมนูมาอ่านให้ฟัง คือคงสงสัยว่ามรึงไม่กินอะไรเลยรึ นี่ไงตังเหลือ เอามาผลาญค่าอาหารบนเครื่องไหมล่ะ แล้วก็ร่ายเมนูต่างๆ ให้ฟัง ซึ่งเมนูบนเครื่องมันก็ราคาแพงสมกับที่เขาร่ำลือกันจริงๆ เพราะอย่างต่ำๆ ก็คือน้ำเปล่าหรือน้ำผลไม้ ก็ราคา 3-4 SGD เข้าไปแล้ว (จำราคาเป๊ะๆ ไม่ได้แล้ว) หรืออย่างไอติม Häagen-Dazs ก็ตกลูกละ 6 SGD กันเลยทีเดียว (แพงกว่าร้านในไทยประมาณ 50% ได้) ซึ่งแน่นอนว่าด้วยความงก และไม่ได้มีอารมณ์จะกินอะไร ก็เลยไม่ได้เสียตังให้กับทางสายการบินแต่อย่างใด (แค่ค่าเครื่องก็หลายตังแล้วนะ)
Byebye สิงคโปร์ แล้วฉันจะคิดถึงเธอ
ตอนที่ขึ้นมานั่งบนเครื่องแล้ว ก็เกิดอารมณ์ขึ้นมาอีกวูบว่า อะ จบแล้วจริงๆ ใช่ไหม คือมันก็เป็นคนละอารมณ์กับตอนที่ไปเอาของจากโรงแรม ตอนนั้นก็รู้สึกว่าทริปกำลังจะจบแล้ว แต่ยังไงเราก็ยังอยู่ในสิงคโปร์ ยังนั่ง SMRT ยังเดินๆ ในสนามบิน แต่ ณ ตอนนี้คือเรากำลังจะออกจากประเทศนี้โดยสมบูรณ์แล้ว คิดแล้วก็แอบเศร้านิดๆ อะ Byebye นะสิงคโปร์ #แล้วฉันจะคิดถึงเธอ
พอนั่งเครื่องบินหนที่สอง ก็เริ่มรู้สึกว่าอันที่จริงเครื่องบินนี่ก็น่าเบื่อนะ ถือเป็นการเดินทางที่ค่อนข้างจืดชืด ไร้สีสันระหว่างทางใดๆ ให้เราเก็บเกี่ยว คือสำหรับคนชอบถ่ายรูปท้องฟ้า ก็อาจจะบอกว่าก็มีท้องฟ้าไง ฟ้าแต่ละวันไม่เคยเหมือนกันสักครั้ง ก็อืม... แต่เราก็ไม่เห็นท้องฟ้านี่นา แถมก็ไม่ได้นั่งติดหน้าต่างด้วยซ้ำ การขึ้นเครื่องก็ไม่ต่างจากการโดนบังคับให้นั่งอยู่บนเก้าอี้แคบๆ (ยังดีที่มีพื้นที่ให้ยืดขาได้) เป็นเวลานานๆ จะกดออดให้จอดป้ายแบบรถเมล์ก็ไม่ได้ เห้อ เครื่องบินนี่มันน่าเบื่อจริงๆ คิดเสร็จแล้วก็หลับดีกว่า z.... z....z....z...z
กลับถึงไทย กลับสู่...ความเป็นจริง
จะว่าไปก็ไม่ได้หลับอะไรเป็นเรื่องเป็นราว คือมันเสียงดังอะนะ พกที่อุดหูไป แต่ก็เอาไว้ในกระเป๋าที่เอาไว้บนที่เก็บของข้างบน จะหยิบก็ลำบาก สรุปก็เลยไม่ได้ใช้ก็ยังติดตามสถานการณ์ภายนอกได้บ้างเรื่อยๆ เครื่องใช้เวลาบินไม่นาน น่าจะประมาณชั่วโมงเดียว ก็ได้ยินคนคุยกันว่าข้างล่างเป็นสนามบินภูเก็ตแล้ว คือเที่ยวขากลับนี่ค่อนข้างมีคนไทยเยอะพอสมควร รู้สึกว่าเยอะกว่าขาไป แล้วตอนที่ก่อนจะขึ้นเครื่อง ก็ได้ยินประกาศเรียกขึ้นเครื่องของเที่ยวบินในสายการบินเดียวกัน แต่ปลายทางเป็นภูเก็ตอยู่เหมือนกัน แปลว่าถ้าใครที่บินสิงคโปร์ภูเก็ตนี่ ใช้เวลาไม่นานเลยนะ คงพอๆ กับ กรุงเทพ-เชียงใหม่เองมั้ง
หลับๆ ตื่นๆ อีกพักใหญ่ ก็ได้ยินกัปตันประกาศว่า ขณะนี้เราได้บินอยู่เหนือกรุงเทพแล้ว อุณหภูมิ อากาศ บราๆๆ อะ อีกแป๊บนึงเครื่องก็จะลงแล้วสินะ แล้วทริปนี้ก็กำลังจะจบลงแบบบริบูรณ์จริงๆ
ตัดฉากมาตอนที่ถึงสนามบินเลยแล้วกัน เมื่อตอนผ่านตม. เราก็ได้ใช้บริการ Expresscard จากคุณเพื่อนเราอีกแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเพราะคุณเพื่อนเราคนเดียว หรือเพราะเขาเห็นเรามากันเป็นกลุ่ม มีคนพิการมาหลายคน พี่เจ้าหน้าที่ตม. ก็เลยใจดี บอกให้กลุ่มเราไปผ่านตรง fasttrack ได้เลย เย้... V.I.P. โดยไม่ต้องลงทุนกันเลยทีเดียว ขั้นตอนก็ไม่มีอะไร เพราะนี่ก็ถึงไทยละ พูดภาษาเดียวกัน เห็นหน้าอย่างนี้ คงไม่ได้กลับมาจากการค้าแรงงานข้ามชาติหรอก พี่เจ้าหน้าที่ก็มีถามว่าไปเที่ยวไหนกันมาแค่นั้นเอง
ผ่านจากตม. ก็มาหยิบสัมภาระที่ load มาใต้ท้องเครื่อง เราก็นึกว่าจะมีกระบวนการอะไรหรือเปล่า ที่ไหนได้ เขาเอาสัมภาระของทุกคนในเที่ยวบินนั้นๆ มาวางไว้บนสายพานวนๆ ให้เลือกหยิบกันเองได้แบบบุฟเฟ่ เอ้ย ให้หยิบกันเองตามสบาย (อย่างนี้ใครหยิบของใครไปก็ได้สิ อย่างลังเรา ใครเอาไปจะตามหากันยังไง?) ก็ได้แต่หวังว่าระบบนี้จะใช้ความเชื่อว่าคนระดับที่มีเงินขึ้นเครื่องบินได้ คงจะไม่มีจิตใจเลวร้ายอยากหยิบฉวยของของคนอื่นอะมั้ง (ได้เร่อ?)
คราวนี้ก็โชคดีที่คุณเพื่อนฉลาดไปหารถเข็นของมาใช้ ทำให้เราไม่ต้องใช้ความพยายามในการแบกลังและเป้หลายๆ ใบให้เมื่อยตุ้มแล้ว เข็นรถเข็นผ่านหนทางอันยาวไกล เพื่อที่จะกลับไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงกันได้เลย คือหนทางมันยาวจริงๆ นะ ผ่านทางเลื่อนแล้วทางเลื่อนเล่า คือ gate พี่จะไกลไปไหนวะครับ กว่าจะออกมาเจอผู้เจอคนที่มารอรับได้นี่เดินกันเป็นสิบนาทีเลย ระหว่างทางเดิน คุณเพื่อนก็เม้าส์กันเรื่องป้ายโฆษณากันอีกตามเคย บอกว่าในสิงคโปร์ไม่เห็นมีป้ายโฆษณาเกลื่อนกลาดแบบบ้านเราเลย อืม... ก็เป็นความแตกต่างอย่างนึงที่ดูจะสังเกตได้ชัดๆ ถึงความเอาใจใส่ต่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมืองในแต่ละประเทศที่ต่างกัน
แยกของ และแยกย้าย
ออกมาเจอญาติมิตรที่มารอรับ ซึ่งก็มีแค่คุณเพื่อนเราที่มีน้องสาวมารับ พอเจอกันแล้ว ทีนี้ก็ได้เวลาแบ่งของ ก็ของในลังเจ้าปัญหานั่นแหละ คือทุกคน (ที่มามุงกันอยู่) ก็คงสงสัยนะ ว่าแล้วจะแกะลังที่แพกมายังไง อุปกรณ์อะไรก็ไม่มี นี่ก็เริ่มโชว์เหนืออย่างแรกเลยครับ นี่มัดมาเองกับมือ ออกแบบมาแล้วว่ามัดมาแบบให้แกะได้ด้วย บอกแล้วว่ามั่นใจในทักษะการถักเชือกของตัวเองระดับนึง มัดลังแบบมีหูหิ้วก็ได้ แถมทำให้มันแกะได้โดยไม่ต้องตัดอีกต่างหาก อิอิ
หลังจากความพยายามอยู่อึดใจ คือโชคดีนะที่ยังพอมีเล็บ ข้าพเจ้าก็แกะเชือกออกมาจากลังได้สำเร็จ พร้อมกับแจกคำคมไปหนึ่งประโยคว่า "เห็นไหม คนเราเรียนผูกก็ต้องรู้จักเรียนแก้" 55555 (ถ้ามรึงแกะไม่ออกคงไม่มีหน้ามาโม้ได้แบบนี้) ยังครับยังไม่หมด นี่ก็ยังโชว์เมพต่อไป หลังจากเชือกแล้ว เรายังมีเทปที่แพกมาอีกชั้น (จริงๆ แปะมา 2-3 ชั้นด้วยแหละ) คือโชคดีที่มันเป็นกระดาษกาวไง ทีแรกก็คิดว่าจะใช้เล็บกรีดตามยาว ประหนึ่งใช้ cutter ปรากฏไม่ขาดวะครับ (เฟลไปหนึ่งรอบ) เราเลย ไม่สนใจความเท่ละ แกะตรงข้างๆ เอาแล้วกัน ลังเป็นไงช่างมัน 55 แต่ก็ต้องใช้เล็บกรีด ให้มันขาดจากกันอยู่ดี ปรากฏแกะจากข้างๆ นี่ทำได้ง่ายกว่าแฮะ พอข้างๆ ขาด กาวที่แปะบนฝาก็ไม่ได้เหนียวมาก ก็สามารถดึงเปิดขึ้นมาได้ทั้งแถบเลย เย้ๆ ภารกิจแกะลังที่แพกมาอย่าง (ค่อนข้าง) แน่นหนาด้วยมือเปล่าสำเร็จแล้ว เย้ๆ
แบ่งของกันเรียบร้อย ไม่มีปัญหาอะไร ก็แค่ลืมหยิบถุง Lego ให้เพื่อนที่ซื้อ Lego ก็เท่านั้นเอง คือพอดีมันอยู่ในกระเป๋าต่างหาก แต่จริงๆ เราก็หยิบกระเป๋าเอาลำโพงมาคืนเพื่อนนะ แต่เรื่องถุงก็ลืมสนิทเลย เพื่อนเองก็ลืมเหมือนกัน ทั้งที่อิคนต้องหิ้วกลับบ้าน แต่ไม่มีถุงก็ดันไม่ทวงนะ คราวนี้ก็ได้เวลาโบกมือลา.... แยกไปหนึ่งหนุ่ม กลับไปพร้อมกับน้องสาวสองคนที่มารับ แหม รู้สึกอิจฉาคนมีคนมารับที่สนามบินแฮะ ของเรามากับเพื่อน กลับก็กลับกับเพื่อน ฮรืออออ
มีสาวขับรถมาส่งถึงบ้านเลยยยย 
ทีนี้ก็เหลือผู้เขียน +3สาว ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นคนที่จะมีพี่สาวมารับนั่นเอง ก็โทรติดต่อ และหากันอยู่ไม่นาน คือเข็นรถออกไปตรงคิวที่ญาติมาจอดรถรอ ก็หาเจอเลย ตรงนี้ไปเสียเวลาตรงการจัดของใส่รถมากกว่า เพราะพี่สาวบอกว่าเดี๋ยวจะไปส่งทุกคนเลย (ใจดีจัง) แต่ด้วยความที่รถเป็น Susuki Swift ซึ่งเป็น Echo car คันเล็กๆ แค่ยัดคนหกคน (พี่สาวมีเพื่อนมาด้วยอีกคน) ก็ดูจะยากแล้ว นี่ยังมีกระเป๋าสัมภาระของแต่ละคนอีก ลังเจ้ากรรมซึ่งสรุปผู้เขียนก็รับมันกลับบ้านไปอีก กว่าจะจัดของกันเสร็จ ก็ใช้เวลาพอสมควร แต่ในที่สุดก็สามารถยัดคน 6 คน +สัมภาระดังกล่าวไปหมดในรถ Swift คันเดียวได้แฮะ... -*-)
เหตุการณ์ที่เหลือก็ไม่มีอะไรมาก ไปส่งเพื่อนคนนึงใกล้ๆ บ้าน คือจริงๆ พี่เพื่อนก็กะว่าจะส่งให้ถึงบ้านเลยแหละ แต่เพื่อนก็เกรงใจ ก็เลยหาที่ใกล้ๆ ให้ลงแล้วก็เรียกแท็กซี่ต่อ พอส่งคนแรกเสร็จ อีกคนที่จริงๆ ก็จะไปลง BTS ในเมือง ก็มีเหตุให้ต้องไปหาญาติ ซึ่งก็อยู่แถวสมุทรปราการ ก็คือยังมาจากจุดที่ส่งเพื่อนคนแรกไม่ไกลเท่าไหร่ ก็เลยหาจุดให้เพื่อนคนที่สองลงและเรียกแท็กซี่ไปต่ออีกเช่นกัน สุดท้ายภาระของพี่เพื่อนก็เหลือแค่เราแล้ว แล้วพี่เขาก็มาส่งถึงหน้าบ้านอย่างสวัสดิภาพ เย้ๆ และแล้วทริป (และบล็อก) อันยาวนานนี้ก็จบลง