ท้องฟ้าจำลอง กับ ความทรงจำของจริง?
หากคืนนี้ มีดาวอยู่ล้านดวง ฉันขอได้ไหมสักดวงหนึ่ง ช่วยฟังฉันที
ถ้าพูดถึงดาว เพลงที่แว่บขึ้นมาในความคิด (โดยเฉพาะของคนยุค 90s') ก็คงหนีไม่พ้นเพลง "ดาว" ตามประโยคข้างต้น แต่เคยมีใครลองวิเคราะห์ความหมายของเนื้อเพลงเทียบกับข้อเท็จจริงกันบ้างไหม ว่าแค่เนื้อเพลงไม่กี่ประโยคในตอนต้น ก็เต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่จริงและไม่ถูกต้องล้วนๆ
หากคืนนี้ มีดาวอยู่ล้านดวง << อันนี้เราคงรู้กันตั้งแต่เรียนประถมหรือมัธยมแล้วมั้ง ว่าจักรวาลอันกว้างใหญ่ของเรา แค่จำนวนกาแล็คซี่ที่เราค้นพบ ก็มีตั้งหลัก 'แสนล้าน' กาแล็คซี่เข้าไปแล้ว และแต่ละกาแล็คซี่ก็ประกอบไปด้วยดาวอีกไม่รู้กี่ดวง ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้เลยว่า 'คืนนี้' จะมีดาวอยู่ 'ล้านดวง' หรือต่อให้ตีความแบบแคบลงมาหน่อย เอาแค่ ดาวที่เราสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าในเวลากลางคืน+ท้องฟ้าแจ่มใส ก็มีแค่หลัก 'พันดวง' เท่านั้นเอง ดังนั้นเพลงต่างๆ ที่ชอบใช้คำว่า 'ดาว ล้านดวง' ล้วนเป็นการเขียนเนื้อที่ไม่อ้างอิงกับข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์แต่อย่างใด
ฉันขอได้ไหมสักดวงหนึ่ง ช่วยฟังฉันที << อันนี้ก็เป็นไปไม่ได้ด้วยข้อเท็จจริงทางฟิสิกส์ ข้อแรก ดาวไม่ใช่สิ่งมีชีวิต และก็น่าจะไม่เข้าใจภาษาของมนุษย์โลก แต่โอเค ถ้าเราสมมติว่าดาวสามารถรับฟังเราได้จริง (นี่หยวนๆ แล้วนะ) แต่การที่เสียงของเราจะเดินทางไปถึงดาวต่อให้เป็นดวงที่ใกล้ที่สุด ก็ดูจะเป็นไปไม่ได้ ทั้งระยะเวลา และความดังของเสียงที่ต้องใช้ส่ง ยังไม่นับว่าเสียงเองไม่สามารถเดินทางในอวกาศได้อีกนะ
โอเค เราจบบทเกริ่นนำที่พร่ำเพ้อ และดูจะหาสาระมิได้กันไว้แค่นี้ดีกว่า ก่อนที่จะออกอวกาศไปไกลกว่านี้ 555
รำรึกความหลังเกี่ยวกับท้องฟ้าจำลองของข้าพเจ้ากันก่อนๆ
หากพูดถึงท้องฟ้าจำลอง หลายคนคงร้องอ๋อ แต่ก็คงมีอีกมากที่แค่คุ้นๆ แต่ก็ไม่รู้จักไม่เคยไป ก็อย่างว่าแหละ ความเจริญมักกระจุกตัวอยู่แต่ในเมืองหลวง คนอีก 70 กว่าจังหวัด ก็เลยไม่ได้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งการเรียนรู้ที่น่าสนใจนี้
เมื่อกลางปีที่แล้ว ได้ข่าวว่าท้องฟ้าจำลองได้ปิดปรับปรุง และใช้เวลาปรับปรุงถึงครึ่งปีกว่า โดยเปลี่ยนเครื่องฉายดาว จากเครื่องเก่า ให้เป็นเครื่องฉายดาวแบบดิจิทัล ความละเอียด 4K ที่ใหม่ทันสมัย และมีลูกเล่นได้มากขึ้น และหลังจากระบบใหม่ที่ว่านี้เปิดให้บริการไปเกือบครึ่งปี ข้าพเจ้าก็ได้มีโอกาสกลับไปเยือนท้องฟ้าจำลองนี่อีกครั้ง....
เขามีวิดีโอแนะนำด้วยนะเธอ ไปดูกันสิ
โดยส่วนตัว ความทรงจำเกี่ยวกับท้องฟ้าจำลอง ไม่ใช่ภาพหมู่ดาวอันพร่างพราว หรือความตื่นตาตื่นใจอะไรแบบนั้น อาจจะเพราะตอนที่เคยได้มีโอกาสไปนอนดูดาวกับเขา เป็นตอนที่ยังเด็กมาก เมื่อวันเวลาล่วงเลยมาจนปูนนี้ (ใช้คำให้ดูแก่ไปงั้น) ความทรงจำเหล่านั้น ก็เลอะเลือนไปตามกาลเวลา
แต่ความทรงจำเกี่ยวกับท้องฟ้าจำลองล่าสุดที่จำได้ ก็เป็นช่วงประถมปลาย ที่ได้มีโอกาสไปออกบูตโชว์นวัตกรรม (อะไรสักอย่าง) น่าจะเกี่ยวกับเทคโนโลยี ไม่แน่ใจว่าเฉพาะของคนพิการหรือเปล่า แต่ที่จำได้คือ ข้าพเจ้ากับเพื่อนอีกคนหนึ่ง พร้อมด้วยคุณครูที่สอนวิชาคอมพิวเตอร์ (ได้เรียนคอมตอนป. 5-6 แหละ) ก็พากันขึ้น BTS จากอนุสาวรีย์ฯ ไปยังเอกมัย และลงเดินต่อไปยังท้องฟ้าจำลองกัน
ซึ่ง ณ ตอนนั้น ถือเป็นการขึ้น BTS ครั้งแรกของข้าพเจ้าด้วยแหละ หลังจากที่ก่อนนั้นพักใหญ่ ได้ดราม่ากับครูประจำชั้นไปเล็กน้อยถึงปานกลาง ที่ตอนที่เขาให้ไปนั่ง BTS ตอนรอบสื่อ ครูไม่ยอมให้เราไป T__T #ฉันไม่ดีตรงไหนนนน แต่ในที่สุด เราก็ได้มาขึ้นเจ้า BTS นี่กับเขาจนได้ แถมขึ้นแบบใช้งานจริงๆ ด้วย ไม่ใช่แค่ลองนั่งด้วยล่ะ เชอะ (มันดูดีกว่าแค่ทดลองนั่งรอบสื่อจริงๆ นะ)
สิ่งที่ทำให้จำเรื่องการขึ้น BTS ครั้งนั้นได้นอกจากว่ามันเป็นครั้งแรกแล้ว การที่เราต้องแบก UPS (ถึงจริงๆ เพื่อนจะแบกมากกว่าเราก็ตาม) ไปด้วย ก็ดูจะลืมยากพอสมควร กล่องอะไรเห็นเล็กๆ แต่หนักเป็นบ้า (ความคิดของเด็กประถมปลายอะนะ)
เอ่อ โม้มาซะยาว สรุปได้บอกหรือยังนะว่า คราวนั้นที่ได้ไปท้องฟ้าจำลอง ก็คือไปนั่งเล่นคอม โดยใช้โปรแกรมอ่านจอภาพ (screen reader) โชว์ชาวบ้านเขา ถึงแม้ว่าตอนนั้นจะมี Windows 98 แล้ว (คิดว่านะ ตอนนั้นจริงๆ ยังไม่รู้จักว่า Windows คืออะไรด้วยซ้ำ) แต่ถ้าจำไม่ผิด คอมที่ข้าพเจ้าได้เล่น ก็ยังเป็น Windows 95 อยู่ ส่วน Word นี่เป็นตัวไหนไม่คุ้นเลยแฮะ ซึ่งถือว่าล้ำมากแล้วสำหรับตอนนั้น เพราะที่บอกว่าได้เรียนคอม ในห้องเรียนนี่คือยังสอนใช้ DOS กันอยู่เลยนะ (จะโบราณไปไหน) การได้ไปเล่น Windows โชว์นี่ถือว่าล้ำมากๆ แล้ว แม้จะเป็นสำหรับวงการคนตาบอดด้วยกันเองก็ตาม
ที่ไปโชว์นี่ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นเรื่องเป็นราว ก็นั่งเปิด Word พิมพ์อะไรเล่นๆ ไปเรื่อย ถ้ามีคนแวะมาชมบูต ก็ตอบคำถามบ้าง พิมพ์ให้เขาดูบ้าง ว่านี่นะ คนตาบอดก็ใช้คอมได้ ใช้แบบนี้ๆๆ ไม่เข้าใจว่าตอนนั้นสนุกสนานอะไรนักหนากับการพิมพ์ๆๆๆ แล้วก็ Control+a > enter เพื่อให้อิข้อความที่พิมพ์มาทั้งหมดมันหายไปในพริบตา แล้วก็กด Control+z เรียกมันกลับมาได้ราวกับเสก เออ ความสุขของเด็กประถมปลายล่ะมั้ง >_<
จำได้ว่าไปหลายวันอยู่นะ แต่วันแรกก็พิธีเปิด ก็ไม่ค่อยมีอะไร พอวันหลังๆ ก็หนีไปชมบูตของคนอื่นๆ จำได้ว่าได้ไม้บรรทัดหลากหลายแบบติดไม้ติดมือกลับมา แน่นอนว่าป่านนี้ก็ไม่รู้มันแยกมวลสารไปไหนต่อไหนกันแล้ว แต่ก็อีกแหละ ความสุขของเด็กประถมปลายไง ไม้บรรทัดก็เจ๋งแล้วอะ
เยี่ยมชม Digital Gateway เอกมัยครั้งแรก (อี๋เชยจุง)
โอเคๆๆ เรามา (เกือบ) ถึงท้องฟ้าจำลองกันได้แล้วล่ะ มัวแต่รำลึกความหลังอยู่ได้เนอะ ครั้งล่าสุดที่ได้ไป เราก็ใช้บริการ BTS อีกเช่นเดิม ก็ดูจะเป็นวิธีเดินทางบนถนนสุขุมวิทที่รวดเร็วที่สุดแล้วอะนะ (และไว้ใจได้ด้วยว่ารถจะไม่ติด) ซึ่งด้วยความที่สถานีเอกมัย มีห้างใหม่ (ที่ตอนนี้ก็ถือว่าเก่าละ) อย่าง Digital Gateway ตั้งอยู่ ครั้นจะไม่แวะสักนิดก็เกรงใจ ก็เลยถือโอกาสเดินห้างก่อนเดินท้องฟ้าจำลองละกัน
Digital Gateway Ekamai ก็เป็นห้างเล็กๆ เดินยังไม่ทันเหนื่อยก็ทั่วทั้งห้างกันได้ง่ายๆ (ถ้าคุณไม่แวะทุกร้านอะนะ) ข้อดีคือมีร้านของกินอยู่ค่อนข้างเยอะ คือจุดเด่นของห้างเขาก็เน้นที่ของกินนี่แหละนะ แต่เอาจริงๆ มื้อแรกใน Digital Gateway ของข้าพเจ้า กลับจัด KFC แทนซะอย่างนั้น คือคืนก่อนไปก็นั่งส่องของกินแล้ว ก็ไม่รู้สึกว่า 'อยาก' ร้านไหนเป็นพิเศษน่ะ ส่วนอีกอย่างที่ไม่ค่อยเห็นในห้างเดี๋ยวนี้แล้วก็คือสวนสนุกในห้าง (ตอนเด็กๆ เก็บมาแล้วน่าจะทุกห้างในกทม. นะ) แต่พอขึ้นไปดูจริงๆ พบว่าโซนสวนสนุก กั้นไว้ไม่ให้เราส่องได้เลยแฮะ อารมณ์ว่าต้องซื้อบัตรผ่านก่อน ถึงจะเข้าไปยลได้อะ โห ใครคิดการตลาดแบบนี้เนี่ย ไม่ล่อตาล่อใจคนเดินผ่านเล้ย
ถึงจริงๆ ละ "ท้องฟ้าจำลอง"
ออกจาก Digital Gateway มา เราก็เดินต่อขึ้นไปอีก 2 ไฟแดง (ติดๆ กันแหละ) ผ่านโรงเรียนปทุมคงคามา เราก็จะเจอกับท้องฟ้าจำลองกันแล้วววววว (เห้อ ถึงสักที #ผู้อ่านรำพึง)
มาถึงใครๆ ก็ต้องเห็นอาคารนี้ถูกไหม เพราะเป็นอาคารที่มีห้องที่ฉายดาว และเคานต์เตอร์จำหน่ายบัตรเข้าชม ไม่น่าเชื่อว่าอาคารนี้มีอายุถึง 52 ปีเข้าไปแล้ว (ส่วนอาคารอื่นๆ โดยรอบ อายุน้อยกว่ากันราว 15 ปี)
ที่จริง ที่เราเรียกกันติดปากว่า "ท้องฟ้าจำลอง" นั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ "ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา (Science Center for Education)" ซึ่งอาคารที่ฉายดาว ก็สร้างมาก่อน และก็คงเพราะคนทั่วไป สนใจที่จะมาดูดาว มากกว่ามาศึกษาวิทยาศาสตร์ในอาคารอื่นๆ ชื่อ "ท้องฟ้าจำลอง" ก็ยังจะเป็นชื่อที่คนทั่วไปคุ้นเคยกันต่อไป
ก่อนจะไปเข้าชม เราก็ต้องมาต่อคิวซื้อตั๋วกันที่นี่ก่อน ยังแอบแปลกใจว่า ขนาดที่ผู้เขียนไปบ่ายวันเสาร์แสนธรรมดาวันนึง แต่เคานต์เตอร์ขายบัตรนี้ก็ยังต้องต่อคิว แปลว่าคนไทยนี่ก็นิยมดูดาวกันเยอะเหมือนกันนะเนี่ย
ป.ล. นี่ก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมตอนถ่ายรูปบัตร ต้องนับ 1 2 3 ด้วย บัตรมันจะยิ้มไหม แล้วถ้าเกิดบัตรมันยิ้มขึ้นมา จะดีใจ หรือจะวิ่งหนีดี (?)
บัตรเข้าชม แยกเป็นสองส่วน คือส่วนของการดูดาวในอาคาร 1 (ซึ่งก็คือท้องฟ้าจำลองนั่นเอง) แล้วก็อีกใบสำหรับการเข้าชมนิทรรศการวิทยาศาสตร์ ในอาคาร 2 3 4 ซึ่งราคาก็ถูกแสนถูก ผู้ใหญ่คนละ 30 บาท เด็กคนละ 20 บาท เท่ากับว่า เสียเงินเพียงครึ่งร้อย เราก็สามารถเข้าชมทั้ง 4 อาคารได้อย่างสบายใจ เพราะเขาไม่จำกัดเวลาด้วยแหละ เข้าออกกี่รอบก็ได้ ยกเว้นส่วนดูดาว ที่สามารถใช้ดูได้แค่รอบเดียว
คำนวณเวลาแล้ว เราไปถึงกันราวบ่ายโมงครึ่ง ซึ่งก็เหลือรอบฉายดาวให้ดูได้อีก 3 รอบ คือรอบ 14:00 > 15:00 > 16:00 (แต่ถ้าใครขยันตื่นเช้า วันเสาร์เขามีรอบฉายตอน 11:00 ด้วยนะเออ) โดยใครที่สนใจคลิกดูรายละเอียดตารางฉายดาวทั้งหมดได้จากลิงก์ ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา กันได้ (รู้สึกจะมีรอบบรรยายภาษาอังกฤษด้วยแหละ)
ในเมื่อเรากะจะเดินดูนิทรรศการด้วย และดูฉายดาวด้วย ก็เลยตัดสินใจว่า งั้นซื้อตั๋วดูดาวรอบ 16:00 น. ละกัน แล้วก็ใช้เวลา สองชั่วโมงครึ่งที่มีเดินชมนิทรรศการในตึกอื่นๆ ก่อน
เยี่ยมชมอาคาร 2
เราเริ่มกันด้วยนิทรรศการอาคาร 2 ซึ่งประกอบไปด้วย :
- ธีออส:ดวงตาของชาติ
- Thailand Rally From Space
- ดาวเทียมสำรวจทรัพยากร
- วิทยาศาสตร์แสนสนุก 1
- สัมผัสอวกาศ
- ลูกกลมกลิ้ง
- ดินแดนแห่งแร่
- ดาวเคราะห์สีฟ้า
- ความลับของสิ่งมีชีวิต
ซึ่งก็เดินกันเรื่อยๆ จำไม่ได้หรอกว่าเดินตรงไหนเป็นโซนไหน 55 อาคาร 2 นี้จะมีด้วยกัน 3 ชั้น ชั้นล่างสุด ก็จะเป็นฐานปฏิบัติการ พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นของเล่น ให้เราได้ลงมือทดลองเล่นได้นั่นแหละ ก็จะเป็นการทดลองทางฟิสิก์บ้าง อะไรบ้าง ฐานที่ใหญ่ที่สุด ก็น่าจะเป็นเจ้า ลูกกลมกลิ้ง ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร ทดลองไปทำไม แต่คนก็เล่นกันอยู่เรื่อยๆ
ของเล่นพวกนี้ โดยส่วนตัว บางทีก็รู้สึกคุ้นเคย เพราะอาจจะเคยได้ลองเล่นมาแล้วจากศูนย์วิทย์ฯ ที่อื่นๆ มันก็คล้ายๆ กันไปหมดอะนะ แต่จากที่เดินวนๆ จนครบรอบ ถ้าจะเอาที่คนตาบอดมีส่วนร่วมได้ ก็ดูจะมีอยู่ไม่กี่ชิ้น การนำเสนอส่วนใหญ่ ถึงจะเป็น interactive เน้น 3D Hologram ดูน่าสนใจ แต่ก็ต้องสำหรับคนที่ตามองเห็นเป็นหลัก และด้วยความที่ไปกับ "ว่าที่คุณครู" เราก็จะได้ฟังคำวิจารณ์ว่า แบบนี้ดี แบบนั้นไม่ดี แบบนี้เด็กชอบ แบบนั้นเด็กไม่ชอบอยู่เนืองๆ ถ้าเทียบการนำเสนอแล้ว อาคาร 2 ชั้น 1 นี่แหละ น่าจะดึงดูดความสนใจของเด็กๆ ได้ดีที่สุดแล้ว
ถัดมาอีกโซนนึง ดินแดนแห่งแร่ ส่วนนี้ก็จะเป็นพวกตัวอย่างหิน ตัวอย่างแร่ต่างๆ ซึ่งคุณ guide ของเราดูจะสนใจเป็นพิเศษ อย่างว่า ผู้หญิงกับของสวยๆ งามๆ ก็มักเป็นสิ่งที่คู่กันอะนะ โดยตัวอย่างส่วนมากก็จัดแสดงไว้ในตู้กระจก แต่ก็มีบ้างพวกซากฟอสซิลที่วางโชว์ไว้บนโต๊ะให้เราสามารถสัมผัสได้ (แต่ก็หินกับหินอะ มันจะต่างอาร้ายยยย)
ขึ้นไปชั้น 2 ดูจะไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ (จำไม่ได้นั่นเอง) แต่พอเป็นชั้น 3 ชั้นนี้ก็จะน่าสนใจขึ้นมาอีกพอสมควร โดยพื้นก็มีการปรับพื้นผิวให้เป็นเนินสูงๆ ต่ำๆ (เหมือนเดินอยู่บนภูเขา) ให้เข้ากับทีม ดาวเคราะห์สีฟ้า และ ความลับของสิ่งมีชีวิต ก็... ทำให้เดินยากลำบากได้อีก ของเล่นที่น่าสนใจบนชั้น 3 นี่ ก็คือ เครื่องจำลองสภาวะแผ่นดินไหว (น่าจะใช้ลดน้ำหนักได้ หากยืนนานๆ) ไม่แน่ใจว่าเหมือนกับที่ตึกลูกเต๋าที่คลอง 6 หรือเปล่า แต่จากความทรงจำอันเลือนราง รู้สึกว่าของที่นี่จะเล็กกว่านะ แบบว่ายืนได้สัก 2-3 คนก็เต็มพื้นที่แล้วอะ ส่วนตัวก็คิดว่ามันไม่ได้สั่นแรงมาก แต่คุณ guide บ่นว่า สั่นขึ้นมาถึงคอ หูเหออื้อกันเลยทีเดียว (หรือ Nike Glide6 เรามันทรัพย์แรงกระแทกดีเกินไป?) อิอิ
ข้อสังเกตอาคาร 2 นี่ มีคนค่อนข้างหลากหลาย แบบที่พาเด็กๆ มาก็เยอะ (ส่วนใหญ่ก็อยู่ที่ฐานชั้นล่างอะแหละ) วัยรุ่นก็พอมี แต่ชั้น 2-3 นี่ คนจะน้อยกว่าชั้นล่างแบบเห็นได้ชัด
ใช้เวลากับอาคาร 2 ไปราว 1:15 ชั่วโมง แล้วก็ออกมาแวะทานน้ำ ข้าพเจ้านี่แหละโคตรหิวน้ำเลย แต่คุณ guideซึ่งก็... ออกจะพูดมาก แต่กลับไม่บ่นหิวน้ำ แถมก็ไม่กินด้วย ระหว่างนั่งรอ มีสองอย่างที่เข้ามาปะทะโสดสัมผัสคือ 1. กลิ่นมาม่าถ้วย.... (ก็ไม่ได้กินนานแล้วนะ ) และ 2. เพลงนี้
เพลงบางเพลงนี่ก็ต้องฟังในจังหวะและบรรยากาศที่เหมาะสมนะ ถึงจะคลิกขึ้นมาสักที คลิกขนาดที่ว่า หลายวันถัดมา เจอวิทยุเปิดกระตุ้นความทรงจำให้อีกรอบ ก็จัดจาก iTunes มาซะเลย
เยี่ยมชมอาคาร 3 (mini Aquarium)
อาคาร 3 เป็นกึ่งๆ Aquarium แต่จะเรียกว่า aquarium ก็ยังสงสัยอยู่ เพราะมันดูเล็กไปสักนิด ส่วนแสดงในอาคารนี้ใช้ชื่อว่า มหัศจรรย์ชีวิตในสายน้ำ ซึ่งก็ง่ายๆ คือมีบ่อปลา / ตู้ปลา ให้เราดูปลาและสัตว์น้ำต่างๆ นั่นแหละ แต่ก็ดูว่ามีไม่เยอะมากอะไร รวมๆ น่าจะไม่ถึง 50 ชนิดนะ แค่ชั้นเดียวเอง อาคารนี้จะไม่มีอะไรน่าสนใจเลย ถ้าไม่ตลกคนที่ไปด้วย เพราะนอกจากจะอ่านว่าตู้นี้มีปลาอะไรแสดงแล้ว ยังมีคอมเมนต์แถมสำหรับปลาแต่ละพันธุ์อีกด้วยว่า อันนี้กินได้ อันนี้กินไม่ได้ โอ้ยยยฮาาาา ตกลงคุณ guide เรียนมาเป็นครูคณิตฯ หรือจะไปสอนลูกเสือกันแน่ครัช?
ข้อสังเกตคนที่มาชมในอาคาร 3 นี่ ดูจะมีแต่มากันเป็นครอบครัวแฮะ แบบพ่อแม่ พี่น้อง พาเด็กๆ มาดูปลา (อยากดูปลาเยอะๆ สดๆ ไปตลาดปลาเซ่)
เยี่ยมชมอาคาร 4 (ตึก 8 ชั้นในความทรงจำ) -*-)
ใช้เวลาอย่างรวดเร็ว เราก็มาถึงอาคาร 4 กันแล้ว อาคารนี้มีตั้ง 8 ชั้น ซึ่งจากภาพความทรงจำเลือนรางในอดีต เราอยากกลับมา ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา นี่อีกครั้ง ก็เพราะอาคารนี้นี่แหละ แต่ถามว่าพอได้มาแล้วจำอะไรได้ไหม... ก็จำไม่ได้ >_<
นิทรรศการของอาคาร 4 ประกอบไปด้วย :
ส่วนแสดงนิทรรศการของอาคาร 4 จะแบ่งเป็นชั้นๆ ถึงจะบอกว่ามี 8 ชั้น แต่ที่เราเข้าชมได้ ก็ตัดชั้น 1 (ซึ่งเป็นอะไรไม่รู้) กับอีกชั้น น่าจะชั้น 3 ซึ่งเข้าใจว่าเป็นออฟฟิซออกไป ดังนั้นก็จะเหลือให้เราเข้าชมได้แค่ 6 ชั้นเท่านั้น แถมยังมีชั้นนึงที่เป็นชั้นสำหรับเด็กเล็กโดยเฉพาะอีกต่างหาก
การจัดแสดงในอาคาร 4 นี้ ดูจะดึงดูดน้อยกว่าอาคาร 2 อย่างชัดเจน การแสดงยังเป็นคล้ายๆ นิทรรศการแบบติดบอร์ดอยู่ซะส่วนมาก ไม่ค่อยมีกิจกรรม interactive ให้มีส่วนร่วมนัก แต่ก็เน้นความครบท่วนของเนื้อหาได้มากกว่า (แปลว่าเหมาะสำหรับเด็กโตขึ้นมานิด เด็กเล็กน่าจะไม่ชอบ)
ชั้นที่ดูจะมีของเล่นให้เล่นเยอะหน่อย ก็เป็นชั้นของ ชีวิตพิศวง ที่มีของเล่นให้เราทดสอบระบบประสาท เช่นการมองเห็น การได้ยิน การดมกลิ่น การสัมผัส
อันที่ข้าพเจ้าดูจะมีส่วนร่วมได้มากที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นการทดสอบการได้ยิน ลักษณะจะเป็นเหมือนเสา แต่จะมีช่องกลมๆ ให้เราเอาหัวมุดเข้าไปได้ แล้วข้างๆ ก็มีปุ่ม น่าจะเป็น start / stop เมื่อกด start เริ่มการทดสอบ ก็จะมีเสียงคนบรรยายและเสียงในระดับคลื่นความถี่ต่างๆ ให้เราฟัง ไล่จากต่ำไปหาสูง โดยเปรียบเทียบกับเสียงในชีวิตประจำวัน หรือสิ่งที่เราเข้าใจได้ง่ายๆ เป็นขั้น ตั้งแต่ 1 ถึง 9 ไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาวัดว่าเราได้ยินเสียงคลื่นความถี่เท่าไหร่บ้างเหมือนเช่นการทดสอบ Hearing Test – Can You Hear This?
โดยผลการทดสอบก็จะไล่ตามเสียงแต่ละระดับที่ให้เราฟัง คนส่วนใหญ่ก็จะได้ยินไม่เกินระดับ 6 7 8 แล้วแต่ช่วงอายุ เพราะโดยโครงสร้างของหูของคนเรา ยิ่งอายุมาก การได้ยินเสียงความถี่สูงก็จะยิ่งแย่ลง เนื่องจากอวัยวะส่วนที่รับความถี่สูงๆ จะเสื่อมไปก่อนนั่นเอง แต่ถ้าใครแย่กว่าค่ามาตรฐาน อาจจะต้องระวังว่าคุณมีโอกาสหูตึงแล้ว!
อีกอันเป็นเครื่องทดสอบประสาทสัมผัส (มั้ง?) น่าจะนะ คือทำเป็นฉากสูงๆ กั้น แล้วให้เราไปอยู่ด้านหลัง แล้วก็มีช่องให้เอาแขนสอดเข้าไป แล้วให้อีกคนที่อยู่อีกฝั่ง เอาปากกามาจิ้มๆ บนแขนเราผ่านช่องที่เจาะไว้เพื่อทดสอบ คือจะบอกว่า เครื่องทดสอบแต่ละฐานดูจะอธิบายไว้ไม่เคลีย หรือไม่ก็แปลกๆ ยังไงไม่รู้ อย่างอันนี้ ทีแรกเราก็ไปยืนอ่านวิธีอยู่อีกมุมนึง แล้วก็หาไปสิ ไหนฟระช่องที่ให้สอดแขนที่ว่า.... แต่ด้วยความซนของข้าพเจ้า คลำๆ ไปด้านขวาก็เจอ เอ๊ะ? อะไรหว่า บอกตรงว่าทีแรกนึกว่าเป็นตู้บริจาคอะไรสักอย่างด้วยซ้ำ ก็อิช่องที่ให้เอาปากกาจิ้มแขนเพื่อนนั่นแหละ แต่เลาะๆ ลงไป เออนี่ไง เหมือนช่องสอดแขนเลย คือตัวอุปกรณ์ กับป้ายคำอธิบาย ทำไมพี่ไว้คนละมุมล่ะคร้าบ?
ถัดมาที่ก็สนุกดีก็คือฐานทดสอบประสาทการดมกลิ่น ซึ่งก็ง่ายมาก คือมีขวดใส่กลิ่นไว้ ให้เราเดินเปิดฝาดมไปทีละกลิ่น (แต่รู้สึกว่าบางขวดก็หมดแล้วไม่ยอมเติมนะ) ฐานนี้เป็นฐานแรกที่เอะใจว่า เออ ถ้าเขาแปะอักษรเบรลล์กำกับไว้ด้วยก็น่าจะดีนะ คนตาบอดจะได้เล่นได้ด้วยตัวเองอะ ดมก่อน พออยากรู้เฉลยก็คลำอ่านเอา คือมันเป็นอะไรที่ทำง่ายมาก แต่ก็อย่างว่า universal design ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักและตระหนักในไทย #ผ่านไปละกัน
อีกอันที่จำได้ก็ เป็นฐานทดสอบตีนแมวอะไรสักอย่าง คือเหมือนจะเข้าใจ แต่เอาจริงๆ ก็ไม่เข้าใจ (โทษคำอธิบายอีกแหละ) คือเป็นบ่อหิน แล้วให้เราเดินไปหาจอที่อยู่ตรงปลาย คือถ้าบอกว่าทดสอบตีนแมวก็คือต้องให้เราเดินย่องให้เบาที่สุดใช่ปะ โอเค ถ้าเราทิ้งน้ำหนักได้เบา ก้อนหินมันก็จะไม่ส่งเสียงดังมาก แต่งงตรงที่แล้วไงต่อ อิหน้าจอ กับปุ่มที่ให้ไปกดตรงปลายทางเนี่ย มีเพื่อ? งงกันอยู่นานสองนานก็ไม่เข้าใจ สรุปก็ #ผ่านไปแล้วกัน
อย่างชั้นโลกของแมลง ก็มีแมลงน่าจะทั้งของจริงแล้วก็ที่สตาฟไว้ แสดงอยู่เยอะพอสมควร เด็กๆ ที่รักแมลง ก็น่าจะเดินชมชั้นนี้ได้อย่างมีความสุขพอสมควร (ทีชั้นนี้คนที่ไปด้วย ไม่เห็นคอมเมนต์เลยว่าตัวไหนกินได้ ตัวไหนกินไม่ได้?)
เดินขึ้นบันไดไล่จากชั้นล่างขึ้นไปจนชั้นบนสุด ซึ่งเป็นชั้นมรดกธรรมชาติ จำได้เพราะมีพวกลูกไม้ชนิดต่างๆ ให้ดู และเป็นชั้นที่เราต้องทำเวลากันแล้ว เพราะเหลือเวลาอีก 15 นาที ก็ต้องรีบไปอาคาร 1 เพื่อดูดาว ที่แอบเพลียคือ อาคารเขาก็มีลิฟต์นะ แต่ลากกันเดินขึ้นบันไดมาจนจะถึงชั้นสุดท้ายแล้ว ก็เพิ่งสำนึกได้ว่า เออ ทำไมเราไม่ขึ้นลิฟต์ตั้งแต่ชั้นล่าง แล้วเดินชั้นบนสุดก่อน แล้วเดินลงบันไดวนไปทีละชั้น นี่ดันทำกลับกัน แถมตอนลง เกือบจะลากกันลงบันไดละ เห้อๆ มองในแง่ดีก็คือได้ออกกำลังกายอะนะ เบิร์นเข้าไป เบิร์นเข้าไป ~
มาดูดาวกันๆ
กลับมายังอาคาร 1 เพื่อดูดาวกันแล้ว ทีแรกตอนนั่งพักก่อนจะไปอาคาร 3 แอบได้ยินเขาประกาศเรียกคนให้เข้าไปดูดาวรอบ 15:00 น. มีบอกชื่อสารคดีที่จะฉายด้วยอะ นี่ก็แอบสงสัย แปลว่าแต่ละรอบฉายสารคดีคนละเรื่องกันเหรอ... แต่สรุปรอบ 15:00 กับ 16:00 ก็ฉายเรื่องเดียวกันนี่นา... ถ้าอย่างนั้นจิประกาศชื่อทำไม?
กึ่งๆ วิ่งจากอาคาร 4 ไปยังอาคาร 1 พบว่าเขาต่อแถวกันแล้ว แถวยาวซะด้วย แอบได้ยินคนข้างหลังคุยกันว่า ห้องฉายดาวนี่ก็จุคนได้เยอะดีนะ (คงบ่นเพราะเห็นว่าแถวยาว 55) ทางเข้าห้องแอบมีส่วนที่เปิดแอร์แรงๆ ด้วยนะ เราเดินมาร้อนๆ ก็แอบดีใจ เออ ห้องฉายดาวแอร์เย็นแน่เลย แต่พอเข้าไปนั่งจริง เฮ้ย มันไม่เย็นเหมือนตรงทางเข้าอะ #คุณหลอกดาว
ที่นั่งก็ถือว่าสบายพอสมควร ไม่แน่ใจว่าเขาปรับปรุงหรือเปล่า แต่มันก็ไม่ได้ดูเก่าแบบอายุหลายสิบปีนะ เสียงเอียดอาดก็ไม่มี เอนนอนได้ราว 135-150 องศามั้ง คือก็มากกว่าเก้าอี้โรงหนังทั่วไป แต่ก็ไม่ถึงกับนอนราบหรือกึ่งๆ ราบ ที่พิงหัวก็นิ่มดี (หลับสบายพอใช้ #ห๊ะ ) ที่ชอบก็คือ ช่องว่างระหว่างแถวที่นั่ง ถือว่ากว้างใช้ได้ เพราะคนขายาวอย่างเรา ก็ยืดขาได้ไม่ติดเบาะแถวหน้า แต่ที่ยังไม่ปลื้มคือ พื้นเป็นพื้นปกติไม่ได้ปูพรม ถ้าปูพรมเสียหน่อย น่าจะช่วยเรื่องเก็บเสียงและความรู้สึกหรูหราได้มากกว่านี้ (ไหนๆ ก็ห้ามนำของกินเข้าแล้วน่ะ)
เริ่มกันด้วยการบรรยายดาว โดยจะอ้างอิงจากดาวของจริงในค่ำคืนของวันนั้นๆ ซึ่งก็แปลว่า ถ้าใครขยันจดขยันจำ กลับไปคืนนั้น ก็สามารถมีกิจกรรมดูดาวกันต่อได้เลย สอนการจับทิศทาง องศาโน่นนี่ (ข้าพเจ้ามิได้จำ) มีแอบพาดพิงเครื่องฉายดาวอันเก่าด้วย เพราะมันตั้งอยู่กลางห้อง เลยยกขึ้นมาเป็นตัวอ้างอิงทิสทางซะเลย เออ ถูกปรดประจำการไปแล้วก็ยังมีประโยชน์นะเรา
เพราะดวงดาวที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ นี่หรือเปล่านะ เลยทำให้การบรรยายครึ่งแรกนี้ ต้องใช้คนบรรยายสด ซึ่งคุณลุงก็บรรยายได้นุ่มมาก นุ่มจนอยากหลับ เก้าอี้นุ่มสบาย เอนหลังได้พอสมควร แอร์เย็นๆ (ถึงจะไม่มาก) บรรยากาศช่างเป็นใจ (ให้หลับ) เสียจริง แต่ถึงเราจะไม่สนใจที่คุณลุงบรรยายเลย (ขอโทษด้วยนะคร้าบ) ก็ฟังไปก็ไม่เห็นนี่นา แต่ครั้นจะหลับจริงจังก็มิกล้า บอกคนข้างๆ ไว้ว่า "ถ้าหลับไม่ต้องเรียกนะ แต่ถ้าเรากรนสะกิดด้วยอายเขา" คุณเธอเล่นบอกว่า "ถ้าเรากรน เธอจะทำเป็นว่าไม่ได้มาด้วยกัน" เฮ้ย!!! สรุปตูเลยหลับๆ ตื่นๆ ไม่กล้าหลับแบบจัดเต็มเลย เหอๆ
ต้องแอบขอโทษคุณลุงคนพากย์ เพราะโดยส่วนตัว ไม่ได้ชื่นชอบการดูดาวในเชิง romance หรือเชิงจินตนาการอะไรแนวนั้นเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นเชิงฟิสิก์ดาราศาสตร์นี่คุยกันได้ อิอิ ถ้าอยากจะมีอารมณ์ romance ขอแว่บไปฟัง ไขขาน...นิทานดาว น่าจะฟินกว่า
พอจบครึ่งแรกที่คุณลุงบรรยายดาวต่างๆ ในค่ำคืนนั้นแล้ว ก็เป็นส่วนที่ 2 ซึ่งเป็นการเปิดสารคดี คาดว่าส่วนนี้ใครที่หลับอยู่ ก็คงมีสะดุ้งตื่นกันบ้างแหละ (แต่จะหลับต่อหรือไม่นี่ก็อีกเรื่อง) โดยเรื่องที่ฉายคือ "New Horizon" ไล่ตั้งแต่ดาวหาง ระบบสุริยะ ไล่ดาวเคราะห์มาทีละดวง ตัดสลับกับดาวหางบ้าง ดวงจันทร์บริวาล ดวงเด่นๆ บ้าง จนเลยพลูโตออกไป ก็ตัดจบกันซะอย่างนั้น แต่สำหรับการให้รายละเอียดของดาวแต่ละดวง (ซึ่งแอบข้ามโลกไป) ก็โอเคนะ ทั้งคำบรรยาย ข้อมูลประกอบ แสง สี เสียง ถือว่าทำได้ดี (ให้เกรดสัก 3.5 ละกัน) แถมพออัพเกรดมาเป็นระบบ digital 4K ส่วนนี้น่าจะยิ่งสร้างความตื่นตาตื่นใจให้ผู้ชมได้มากยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อนแน่ๆ แต่มีนิดนึงที่แอบขัดใจคือ คาดว่าเนื้อหาจะไม่ค่อยอัพเดตเท่าไหร่ น้องพลูโตยังไม่ถูกเตะออกจากดาวเคราะห์ คือเหมือนในสารคดีจะไม่ได้บอกไว้ตรงๆ ว่าเป็นหรือไม่เป็น แต่จากการนำเสนอ ก็น่าจะทำให้คนเข้าใจว่ายังเป็นหนึ่งในดาวเคราะห์อยู่ และไม่แน่ใจว่า ส่วนที่อธิบายถึงดาวอังคาร มีน้อง Curiosity หรือเปล่า ถ้าไม่มีนี่เคืองมากเลยนะ!
ศึกษาหาความรู้กันแล้ว เราก็ต้อง "กิน"
จบจากการเข้าไปหลับ+ดูการฉายดาวในท้องฟ้าจำลองมาแบบมึนๆ กว่าจะออกมาก็ห้าโมงเย็นแล้ว event ของวันนี้ก็คงมิสามารถไปทำอะไรได้อีก (แอบคิดไว้ว่าอยากไปปั่นเรือน่ะ แต่เวลามิอำนวย) mission สุดท้ายของวันก็คงไปหาของกิน แล้วก็กลับบ้านใครบ้านมัน จากที่เมื่อเช้าเราเดินวนสำรวจ Digital Gateway Ekamai กันแล้วหนึ่งรอบ ขากลับออกมาก็แอบแวะสำรวจ Major Ekamai กันอีกหนึ่งที่ ด้วยความที่สนใจร้าน Cheese Cake House แต่พอดูเมนูและราคาแล้ว ก็.... ถอยดีกว่า แต่ถอยมาตั้งหลักนะ สรุปว่าไม่กินกันที่ร้านนี้ (ถึงจะชื่อว่าร้านเค้ก แต่ก็มีของคาวด้วยนะ) แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว ซื้อเค้กไปลองชิมสักชิ้นละกัน เลยเสร็จ chockolate mood cheese cake มาหนึ่งชิ้น เจอค่าเสียหายไป 110 บาท (ถือว่าแพงอยู่)
จากเอกมัย ก็อาศัย BTS มาหาของกินยัง Central World (ของกินเยอะดี) เดินวนๆ อยู่รอบสองรอบ ก็สรุปได้ว่าคุณ guide ของเรา อยาก "ข้าวห่อไข่" ก็เลยเข้าไปลองร้าน Omu กัน (ร้านเขาอ่านว่า "โอมุ" หรอกเหรอ ก่อนหาเฟซร้าน ยังสงสัยอยู่ว่าชื่ออ่านว่าอะไรหว่า อ็อมยู, ออมยู, อมยู โอมู่, อะมะอู, ฯ
พอดีถ่ายรูปกันตอนที่ "นึกได้" สภาพรูปถ่ายอาหารมื้อนี้มันก็เลยออกมาเป็นเช่นนี้แล... >_<
ร้าน Omu นี่ก็สั่งไม่ยาก พื้นฐานเลยก็คือข้าวห่อไข่ ขั้นที่ 2 ก็คือเลือกซอส จากนั้นก็เลือกทอปปิ้ง หรือเนื้อที่จะโปะมาด้านบนนั่นเอง จากนั้นก็เลือกของเคียง/ของกินเล่น ซึ่งข้าพเจ้าก็แอบพลาดนิดหน่อย เพราะเมนูที่เลือก เป็นข้าวห่อไข่ ราดซอสมิโสะแดง สไตล์นาโกย่า ทอปปิ้งเป็นหมูทอด คือรู้งี้เปลี่ยนทอปปิ้งเป็นแซลมอนย่างน่าจะฟินกว่านะ เพราะปัญหาคือ "มัน เค็ม มาก" และเอ่อ... พี่จะให้หมูทอดเยอะไปไหนคร้าบ โชคดีอย่างที่ยังมีน้ำซุปที่ค่อนข้างโอเค (แต่ก็ออกเค็มอีกแหละ) ขนาดน้ำราดสลัดยังไปทางเค็มเลยอะ (โอ้ย จบจากมื้อนี้ตูจะเป็นโรคไตไหมเนี่ย?) สรุปคือกินไม่หมด เหลือคำสองคำ (เสียดายมาก) ถ้าเปลี่ยนทอปปิ้งเป็นแซลมอนคงไม่เหลือ (เพราะจเสียดายมากกว่านี้ หุหุ)
จริงๆ ร้าน Omu นี่มีที่นั่งหลายแบบนะ ก็ดีสำหรับคนที่ชอบนั่งโต๊ะต่างๆ กัน ไม่ใช่เก้าอี้+โต๊ะ เหมือนกันหมดทั้งร้าน วันนั้นได้นั่งแบบโต๊ะญี่ปุ่น ซึ่งเป็นโต๊ะสำหรับ 6 คนนะ (ดูจากเบาะรองนั่ง) แต่นั่งกันแค่สองคนก็สบายดี... แถมโต๊ะแบบนี้ เขายังกั้นฉากให้เป็นกึ่งๆ บล็อกส่วนตัว ก็คุยกันได้ไม่ต้องเกรงใจว่าเสียงจะไปรบกวนโต๊ะอื่นดี
จบจากอาหารคาว ก็มาต่อกันที่ Bake A Wish ซึ่งคุณ Guide ร่ำๆ อยากจะจัดเป็นมื้อหลักแทนเสียด้วยซ้ำ สั่งมาแบ่งกันกินทั้งหมด 4 รส เห็นว่ามีโปร 3 แถม 1 น่ะ แต่คุ้นๆ ว่าดูบิลล์ ก็ราคาปกตินี่นา? ไล่ตามความอร่อย (ซึ่งเห็นตรงกันทั้งสองคน) ได้ดังนี้
- Sapporo Secreat Cheese Cake <<เป็นเนื้อเค้กนุ่มๆ (อร่อยมั่ก) คล้ายๆ เค้กร้านลุงเทสซึเลย ข้อดีคือราคาย่อมกว่า ถ้าอยากจัดเค้กรสชาติแบบนี้ เนื้อแบบนี้ แต่ไม่อยากกินเยอะ+จ่ายแพง แนะนำเมนูนี้แทนกันได้
- Lemon Cheese Cake <<ด้านบนเป็นเนื้อมู้ด Lemon ด้านล่างเป็นชีสเค้ก รสเปรี้ยวกำลังดี ทำให้กินแล้วไม่เลี่ยน ความนุ่มของเนื้อมู้ด (กินแล้วนึกถึงเจลลี่รสมะนาว ของ bestfood น่ะ) ทำให้เมนูนี้ได้อันดับสองของวันนี้ไปอย่างไม่ยาก
- Say Cheese! <<เมนูที่คุ้นเคย ชอบที่ด้านบนเป็นชีสล้วนๆ (คอชีสต้องไม่พลาด) แต่พอเจอสองเมนูแรกไป เมนูเก่าก็ต้องตกอันดับกันบ้างล่ะ อิอิ
- Apple Crumble Cheese Cake <<ด้านบนเป็นเนื้อเค้กแบบที่ผสมคุกกี้ (ซึ่งโดยส่วนตัวไม่ค่อยชอบ) ตรงกลางเป็นเนื้อเค้กที่มีผสมเนื้อแอปเปิลด้วย สาเหตุที่ได้ที่4 อาจไม่ใช่เพราะมันไม่อร่อยหรอก แต่... จัด 3 ชิ้นบนนั่นมาแล้ว มันก็เริ่ม... อืด+เอียน+เลี่ยน พอสมควร และโดยส่วนตัวก็ไม่ค่อยโอกับความเปรี้ยวแบบแอปเปิลในขนมด้วยอะนะ
คือไม่กี่นาทีก่อน ยังกินข้าวไม่หมดอยู่เลยนะ แต่ไหงมาจัดชีสเค้กไปอีกตั้ง 4 ชิ้น ถึงจะบอกว่าแบ่งกันสองคนก็เถอะ แต่อีกคนกินไปไม่ถึง 30% เลยมั้งแต่ละชิ้น ที่เหลือก็...ภาระข้าพเจ้าสิเนี่ยยย คนเราต้องมีกระเพาะสองส่วนแน่ๆ ส่วนนึงสำหรับของคาว อีกส่วนสำหรับของหวาน บางทีวิชากายวิพากษ์ก็ควรต้องปรับปรุงนะ!
ก็จบกันไปสำหรับ 1 day trip ที่กลับไปย้อนความหลังสมัยวัยเยาว์ แถมตบท้ายด้วยอาหารเย็นหนึ่งมื้อเต็มๆ ถึงจะเดินไปกว่า 10,200 ก้าว และเผาผลาญไปได้เกือบ 400 แคล แต่มื้อเย็นที่ยัดเข้าไปนั่น น่าจะราวๆ 2,000 แคลได้มั้ง กรี๊ดดดดด
สุดท้ายก็ต้องขอบคุณ 'ผู้ใหญ่ใจดี' ที่สนับสนุนค่าใช้จ่าย (โดยเฉพาะมื้อเย็น) สำหรับทริปนี้ และคุณ guide ซึ่งถึงจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ก็ยอม (หลวมเนื้อหลวมตัว) มาเป็น guide พาข้าพเจ้าเที่ยวแบบเต็มๆ วัน (ถึงจะพาหลงมากกว่าก็เถอะ)
ป.ล. ความรู้ใหม่สำหรับทริปนี้คือ เราเอาคำว่า Planet มารวมกับ arium ได้ด้วยแฮะ #เพิ่งรู้