ความคิดเห็นที่
63
มัวแต่ยุ่งเคลียร์งานอยู่หลายวัน
เข้ามาแป๊บๆ ไม่ได้แวะเข้าป่า เผลอแพล็บเดียว
สถานการณ์มันเปลี่ยนไปจนแทบจะจับต้นชนปลายไม่ถูก
จนผมเองถึงกับงง
และไม่คิดว่าไม้ตายขอลาออกเพื่อเพิ่มค่าตัว (อิ
อิ) ของผม จะทำให้หลายๆ คน
ออกมาเปิด…. กันครื้นเครง เหอๆ
อย่าเพิ่งวิตกกังวลไปเลยขอรับสำหรับนายไพรวัลย์
อนันตรัย คนนี้ ถึงฆ่าก็ไม่ตาย
ขายก็ไม่ออก เอ๊ย ไม่ขาด ใครจะมาแย่งบทบาทเป็นไม่ยอมเด็ด
ที่ผ่านมานั้น
ผมปลีกตัวออกไปจากคณะฯ แถวๆ ถนนนักเขียน
(ไม่ใช่พระศิวะ แอ้ดเวนิว)
เลียนแบบแงซายในเพชรพระอุมาภาคหนึ่ง ซึ่งหนีไปสมทบกับกองกำลังอิสระ
ของฝ่ายประชาชน แต่ผิดกันตรงที่ผมกลับไม่เจอใครเพื่ออะไร
นอกจากงานๆๆ
และงาน กว่าจะปลีกเอาตัวรอดมาได้ก็แทบตาย
เข้ามาแล้วก็ลิ้นห้อยต่อ แฮ่กๆ
เอ้า… ขอประกาศให้ชาวเพชรพระอุมาที่สะบัดก้นหนีจากกันไปนั้น
ถนนนักเขียน
ให้อภัยทุกอย่างแล้วครับ จะมาโพสต์ทิ้งๆ
ขว้างๆ หรือปลอมตัวเข้ามา หรือกลับมา
สวมบทบาทเดิม มาอ่าน มาชม มาติ
มาเฉยๆ ให้เกะกะกระทู้เล่นก็ยังดีนะครับ
มาร่วมมือร่วมใจกันชิงบทบาทและรุมยำใครก็ตามที่หลงมุขทื่อๆ
เข้ามาด้วยกันเถิด
โดยเฉพาะคุณชายอนุชาตัวจริง หายสาปสูญไปอยู่บนเรือลำไหน
หลานไพรวัลย์
ขอเชิญชวนให้คุณอามาเป็นลูกไล่ของผมต่อไป
กลับตัวกลับใจ ลูกหลานยังให้อภัยนา…
แหะๆ ..อู้มาสามพารากราฟ ทีนี้เชิญอ่านตอนต่อไปได้แล้วขอรับกระผม
=======================================================
หนุ่มน้อยและหนุ่มใหญ่สองอาหลานหันไปมองตามที่หนานอินชี้บอกแล้วพากันนิ่งงัน
ไปโดยไม่ได้นัดหมาย จากแผนที่หนังโบราณของมังมหานรธา
ที่อนุชาแอบก๊อปมาจาก
น้องเขยของตนเองตอนขากลับจากมรกตนครรอบสองนั้น
ทิวเขาทะมึนเขียวครึ้มเบื้องหน้า
จะต้องเป็นทิวรูปนกอินทรีย์ร่อนร่าผงาดปีก
มีอาการเหมือนดังจะไซร้ขน หรืออย่างที่
หนานอินพูดตามประสาแกว่านกอินทรีย์สะบัดหน้า
แต่ในขณะนี้ ท่ามกลางแสงขมุกขมัว
ของฟ้าพยับฝนอึมครึมมัวซัว ยอดบนของทิวเขานั้นปกคลุมไว้ด้วยม่านหมอกหนาทึบ
ต่ำลงมาจากยอดภูเขาหินล้วนซึ่งตั้งยอดหายลับไปในหมอกสีขาวมัว
คือชะง่อนผาและแก่งหิน
เบียดสลับซับซ้อนเป็นแง่มุมดำมืดอยู่บางตอน
อนุชายกกล้องส่องทางไกลที่คล้องคออยู่
ขึ้นส่องสำรวจ แต่ก็ไม่ช่วยอะไรได้มากนักเพราะแสงมันสลัวเกินไป
“ ที่เราเห็นเป็นใบหน้าที่ลอดหว่างขาของมันมานั้น
น่าจะเป็นซอกโพรงถ้ำหรือรอยหินแตก
อะไรทำนองนั้นนา..หรือว่าไง หนานอิน..เจ้าไพร
? ”
หนานอินส่ายหน้าช้าๆ แววตาของแกอัดอั้นเพราะคิดไม่ออก
“ หนานอินก็มึนตึ้บเหมือนกันแหละ นายชด
อีตอนมาคราวที่แล้วนั้นเรามาตอนยังวันอยู่
ก็เห็นชัดๆ ว่ามันเป็นเขารูปนกอินทรีย์
แต่อีทีนี้ทำไมเห็นเป็นรูปอีแร้งก้มหน้ามองลอด
หว่างขาตัวเองไปได้ก็ไม่รู้ หรือผีป่าผีไพรมันจะบังตาเราไว้ละกระมัง
”
“ คงไม่งั้นละมั้ง ตาอิน ผีเผอที่ไหนกัน
ตาอย่ามาหลอกกันเล่นสิ ฮึยย ขนลุก ”
ไพรวัลย์ร้องขัดขึ้นพลางหันมองไปรอบๆ ล่อกแล่ก
ด้วยความเสียวสันหลังวาบๆ
ตั้งแต่เขาหลุดรอดมาจากปากเจ้าล็อกเนส มอนสเตอร์ได้อย่างฉิวเฉียดนั้นดูหนุ่มน้อย
ผู้นี้จะเกรงกลัว ภูติผีปิศาจมากกว่าเดิมจนผิดสังเกต
จนอนุชาและหนานอิน
พากันแปลกใจ
“ นี่เจ้าไพร ถามจริงๆ เถอะ แกไม่เคยกลัวผีมาก่อนนี่นา
กลับมาคราวนี้ทำไม..”
“โธ่ อากลางครับ ลองอากลางมาเจอปิศาจลั่นทมเข้าให้เหมือนผม
แล้วคุณอาจะรู้เอง
ว่าทำไมผมถึงได้กลัวผีนัก เจ้าหล่อนน่ะ
เกือบจะทำให้ผมกลายเป็นปิศาจที่เบื่อหน่าย
ศีรษะไปอีกตัวเสียน่ะสิครับ จะอะไรเสียอีก
เฮ้อ..กว่าจะหนีมาได้ก็แทบแย่ ”
“ หง่ะ…” อนุชาทำตาโต “ แกอย่าบอกฉันนะว่า…”
เจ้าไพรพยักหน้า แล้วหลบตาทำเสียงอ้อมแอ้ม
“ ครับ..แต่ไม่ใช่อย่างที่อากลางคิดนา
คือว่าจริงๆ แล้วตอนนั้นผมไม่รู้เนื้อรู้ตัวจริงๆ
ว่าวิญญาณเจ้าพลาย ตอนเพชรพระอุมาภาคที่แล้วๆ
มานั้นจะสำแดงเดชสิงร่างผมเข้าให้
อยู่ดีๆ เจ้าหล่อนก้อ.. เอ้อ..แล้วผมรู้สึกตัวขึ้นมามันก็สายไปแล้ว
จึงต้องปล่อยเลยตามเลย ”
อนุชาและหนานอินครางออกมาดังฮือแล้วทำหน้าสยดสยอง(ทั้งๆ
ที่ในใจริษยาลึกๆ)
ทันใดพรานเฒ่าลาวเซิงก็เอ่ยออกมาอย่างนึกได้
“ เออ.. งั้นรอยเขียวจ้ำรอบคอของเองที่ตาถามว่าโดนอะไรมา
แล้วเองบอกว่าโดนมดคันไฟ
มันตอกเอาเมื่อคืนน่ะ ที่แท้ก็…”
ไพรวัลย์ยิ้มอายๆ เอาเท้าเขี่ยพื้นอยู่ไปมาด้วยความเขิน
“ แหม..ลุงอินเนี่ย.. มาถามอะไรกันตรงนี้ล่ะ
เดี๋ยวคนอ่านก็พากันเดาไปเลยเถิดเท่านั้นเอง ”
“เอาละๆ พักเรื่องนี้ไว้ก่อนดีกว่า
” อนุชาร้องขัดขึ้นด้วยความแสลงใจทนฟังไม่ไหว
เพราะตนเองแห้วมาตลอดทั้งเรื่อง “ มาจัดการหุงหาและตั้งแคมป์พักหลับนอนกันเถอะ
เดี๋ยวมืดค่ำเสียจะทำอะไรไม่ถนัด
เจ้าไพร แกออกไปหาอาหารก็แล้วกัน ให้ลุงอิน
จัดการขึงเตนท์ ส่วนฉันจะออกไปหาฟืนมาสำรองเอาไว้
คืนนี้ของที่นี่คงจะหนาว
น่าดูชมเชียวละ ขนาดยังไม่ทันจะห้าโมงเย็น
ยังยะเยือกได้ถึงขนาดนี้ ”
จริงอย่างที่อนุชาพูด อากาศรอบด้านทวีความเย็นขึ้นทุกขณะ
ท้องฟ้ากลายเป็นสีเทาทึมทึบ
เหมาะที่จะถ่าย มิวสิค วีดีโอ เพลงประเภทอกหักซ้ำซาก
หรือรักเขาข้างเดียวเป็นเกลียวเชือก
อะไรทำนองนั้น แต่สามหนุ่มสามวัยจำต้องตัดความโรแมนติกออกจากหัวใจไปชั่วคราว
เพราะขืนยืนชมธรรมชาติอยู่คงจะได้นอนแขวนท้องตากน้ำค้างกันแน่ๆ
หนานอินนั้นเลือก
ได้ทำเลที่พักใต้ต้นข่อยริมโคกเนินสูงขึ้นไปจากระดับทุ่งโปร่งซึ่งทั้งหมดเดินผ่านมา
และ
ไม่ห่างจากแอ่งน้ำซับ แกจัดการเอามีดเดินป่าตัดถางต้นไม้ต้นเล็กๆ
ที่ขึ้นอยู่รอบบริเวณจน
โล่งเตียน แล้วกางเต็นท์ขื้น ในขณะเดียวกับที่อนุชาขนฟืนมากองไว้ข้างจอมปลวกใกล้ๆ
จนเพียงพอที่จะใช้สุมไฟไปได้ตลอดคืน แล้วทั้งสองก็นั่งพักผ่อนตีรัมมี่กันฆ่าเวลารอเจ้าไพร
จะกลับมาจากการหาอาหาร
“ เอ.. เจ้าไพรมันไปถึงไหนของมันนะ
เกือบชั่วโมงแล้วยังไม่ได้ยินเสียงปืนสักโป้ง ”
อนุชาบ่นพร้อมกับจั่วไพ่ใบหนึ่งขึ้นมาจากในกอง
แล้วค่อยๆ แง้มแลบออกมาดูด้วยมาด
เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้
“ ไม่ต้องเป็นห่วงมันหรอก นายชด อ้ายนั่นมันมือโปร
แถมวิชาก็เก่งกล้าพอตัว ดีไม่ดีเก่งกว่า
พรานใหญ่รพินทร์เสียอีก เดี๋ยวมันก็กลับมา
เชื่อหนานอินเถอะ ”
หนานอินว่าเสียงเรื่อยๆ พลางเคี้ยวใบกระท่อมหยับๆ
สายตาที่ยังคมวาวแม้จะแก่เฒ่าของแก
จ้องจับเป๋งอยู่ที่ไพ่ในมือของอนุชา หากสังหรณ์ของแกไม่ผิด
ไพ่ใบที่สองจากซ้ายในมือของ
คุณชายกลางที่ถูกถือไว้ห้าตาติดนั้น ต้องเป็นไพ่ที่แกกะคั่วอยู่อย่างแน่นอน
ส่วนใบที่อนุชาจั่ว
ขึ้นไปนั้นดูทีท่าว่าจะเข้าตอง หรือไม่ก็เข้าเสตท
เพราะตั้งแต่จั่วไพ่ใบใหม่ขึ้นไปบนมือ อนุชา
ใช้เวลาในการตัดสินใจตีไพ่ลงมาเนิ่นนานผิดสังเกต
“ เฮ้อ ถึงยังไงมันก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี
และมันก็เป็นหลานของฉันเสียด้วยสิ ขืนมันเป็นอะไรไป
ในตอนที่มาเดินทางอยู่กับฉันละก้อ เจ้าไชยยันต์มันต้องเอาฉันตายแน่ๆ
”
อนุชายังไม่วายบ่น แต่หัวสมองของเขากำลังใคร่ครวญอย่างหนักว่าจะทิ้งไพ่ตัวไหนดี
จริงอย่าง
ที่หนานอินคำนวณไว้ด้วยชั้นเชิงพรานเฒ่าของแกโดยที่อนุชาไม่ล่วงรู้ไปถึงความคิดของพรานคู่ใจ
ไพ่ใบไหม่ของอนุชานั้นไปเข้าตองคิงส์พอดี
รอลุ้นเสตทอีกชุด เกมส์นี้ก็จะเป็นของเขา หากทิ้งไป
โอกาสที่จะจั่วได้คิงส์ หรือหนานอินทิ้งคิงส์ให้นั้นยากเหลือเกิน
ส่วนสองดอกจิกที่เขาถืออยู่ในมือ
ก็ไม่มีวี่แววว่าหนานอินจะต้องการ ยกเว้นว่าพรานเฒ่าลาวเซิงจะถือคู่
หรือตองสองอยู่ในมือ
ตั้งแต่เริ่มแจกไพ่ …อนุชาขยับจะทิ้งมันลงไปแต่ก็ลังเลแบบกลัวๆ
กล้าๆ ....
ใจของหนานอินเต้นระทึกไม่เป็นส่ำ
เมื่อนิ้วของอนุชาเลื่อนปราดไปแตะไพ่ใบที่แกหมายตาเอาไว้
ในมือของเขา แต่แกพยายามเก็บอาการทำไก๋
อนุชาจ้องหน้าแกอยู่ชั่วครู่อย่างลองเชิง แต่หนานอิน
กลับไม่ยอมหลงกล แม้ว่ามดแดงสักรังมารุมกัดก้นแกในตอนนี้อย่าหวังว่ากล้ามเนื้อบนใบหน้า
ของหนานอินจะกระตุกแม้แต่น้อยนิด อนุชาถอนหายใจเบาๆ
ชักไพ่ในมือใบนั้นขึ้นมาแล้วทิ้งโครม
ลงไปกลางวง
ทันใดนั้นเอง อุบัติการณ์อย่างหนึ่งก็เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน…
“ อากลาง…ตาอิน…ระวัง!! ”
สิ้นเสียงร้องตะโกนอย่างตกใจนั้น กัมปนาทของอูซี่ลำกล้องสั้น
ก็ลั่นปรัวะออกมาเป็นชุดสนั่น
หวั่นไหว กิ่งไม้ใบไม้และพื้นดินใกล้ตัวของหนานอินและอนุชากระจุยฟุ้งขึ้นมาเป็นแถบๆ
อนุชาร้องเฮ้ยลั่นออกมาได้คำเดียว
เศษดินก็กระเด็นเข้าใส่ปากเขาเต็มกำจนพูดอะไรไม่ออก
ข้างหนานอินนั้นมัวแต่นั่งตกตะลึงตาค้างด้วยความตกใจ
ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะได้ทันขยับตัวแต่อย่างใดนั้นเอง
อะไรชนิดหนึ่งก็กระโจนพรึ่บลงมากลางวงไพ่
ด้วยน้ำหนักตัวอันมากมายจนพื้นดินเสทือน
เงามืดทะมึนจากเรือนร่างอันใหญ่โตนั้นบังแสงสลัว
รอบด้านจนมืดมิดราวกับเงาราหูเข้าบังดวงอาทิตย์
(แต่คงไม่ถึงขนาดต้องตั้งชื่อลูกว่าอมตะวัน)
แล้วเจ้าของลำตัวสีเขียวเข้มเป็นเงาปลาบราวกับหยกเขียวนำเข้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้น
ก็คำรามโฮกขึ้นอย่างสะเทือนเลือนลั่น อานุภาพของเสียงกระหึ่มเซอราวน์ซาวด์ของมันทำเอา
ป่ารอบด้านแลดูคล้ายพร่ามัวสั่นไหวเต้นระริกไว้ด้วยอำนาจของคลื่นเสียงชนิด
ไดนามิค ช็อค เวฟ…
จากคุณ : ไพรวัลย์ อนันตรัย
- [21 พ.ค. 13:13:36]