@... เพชรพระอุมาภาคอลเวง ตอน พายุถล่ม มรสุมกระหน่ำ ...@ 

    มาเปิดวิกใหม่ให้ดำเนินเรื่องราวกันต่อไป ... เชิญทุกท่าน

    จากคุณ : ชาวเพชรพระอุมา (Login)  - [27 ส.ค. 14:09:29] แจ้งลบกระทู้Bookmarkส่งกระทู้ให้เพื่อนAdd to your handheld computerโหวตกระทู้ยอดนิยมPrinter Friendly


 

 



    ความคิดเห็นที่ 4

    เสียงคลื่นซัดเข้าหาฝั่งยังคงดังเป็นระยะๆ  คณะเดินทางต่างเดินเกาะกลุ่มกันตรงไปยังหมู่บ้านชาวเกาะ  จากคำบอกเล่าของแสงโสมนั้นที่ตั้งของหมู่บ้านอยู่ไกลจากชายหาดเข้าไปในส่วนที่เป็นป่า ใช้เวลาเดินไม่น่าจะเกิน 2 ชั่วโมง  แสงอาทิตย์ยามบ่ายแก่ๆแผดแรงกล้าสะท้อนหาดทรายขาวสว่างจ้าไปหมด แต่อากาศเย็นชื้นริมทะเลประกอบกับลมทะเลที่พัดแรงทำให้ทุกคนไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยมากนัก ต่างยังคงเดินกันตัวปลิวอย่างกระฉับกระเฉง โดยเฉพาะแสงโสมและพลับพลึงซึ่งเดินเส้นผมยาวปลิวสะบัดนำทางไป

    ดวงอาทิตย์ยามเย็นเริ่มคล้อยลงต่ำแตะยอดสนทะเลทางด้านทิศตะวันตก  ทุกคนเดินใกล้หมู่บ้านเข้าไปเรื่อยๆ ต่างเริ่มได้ยินเสียงเฮฮาของผู้คนราวกับกำลังเตรียมจัดงานอะไรกันสักอย่าง   เดินกันไปอีกไม่กี่อึดใจเมื่อพ้นแนวสนทะเลไปแล้วก็พบกับชุมชนขนาดใหญ่ ก่อสร้างบ้านเรือนเหมือนหมู่บ้านของชาวเกาะแถบหมู่เกาะฮาวาย  เสียงจ้อกแจ้กจอแจดังมาจากลานกว้างหน้าหมู่บ้านซึ่งมีชาวเกาะหลายคนกำลังจัดเตรียมสถานที่เหมือนจะจัดงานฉลองอะไรกันสักอย่าง

    “เฮ้ย…ถึงแล้วหมู่บ้านชาวเกาะที่คุณแสงโสมบอก”   เสียงอนุชาเปรยขึ้น
    “คุณชายกลางรู้ได้ยังไงครับ”   รพินทร์ถามพลางจ้องสาวชาวเกาะซึ่งนุ่งน้อยห่มน้อยมีพวงดอกไม้คล้องศีรษะเดินผ่านไป
    “ปู้โธ่รพินทร์…ก็หมู่บ้าน แล้วก็อยู่บนเกาะ ถ้าไม่ใช่หมู่บ้านชาวเกาะแล้วมันจะเป็นหมู่บ้านลิงที่ไหน…คุณดูโน่นซี เห็นตาสามคนนั่นมั้ย ที่หัวกระเซิงถือไม้อยู่นั่น ผมเคยเห็นในโฆษณาวุ้นมะพร้าวเหลี่ยมๆ  พวกนี้ต้องเป็นพรีเซ็นเตอร์แหง๋ๆ”

    ทุกคนได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากชุมชนชาวเกาะเนื่องจากสมาชิกในหมู่บ้านรับรู้ถึงการมาของชาวคณะนี้กันทั่วแล้ว ต่างเดินเข้ามาทักทายปราศัยอย่างเป็นกันเอง  ระหว่างพูดคุยกับชาวเกาะอยู่นั้นเสียงแจ๋วๆของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากด้านในหมู่บ้าน

    “พี่กลาง…รพินทร์  พวกเรา…วู้…ทางนี้”

    ทุกคนหันไปทางต้นเสียง  ดาริน วราฤทธิ์ กำลังวิ่งเข้ามาหาอย่างยินดีพลางโบกมือโบกไม้ทักทายชาวคณะ  ทุกคนตรงไปหาเธอด้วยความดีใจ  ตั้งแต่เรือแตกก็ไม่เคยมีใครทราบข่าวคราวของเธออีกจวบจนกระทั่งมาพบเธออยู่ที่หมู่บ้านของชาวเกาะนี่แล้ว
    “น้อย…ไปยังไงมายังไงกันล่ะนี่…เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”  อนุชาร้องถามอย่างยินดี
    ราชสกุลสาวน้องเล็กตระกูลวราฤทธิ์ยิ้มละไม เธอปรายมือไปทางด้านหลัง
    “ก่อนที่จะสอบถามสารทุกข์สุขดิบกัน  น้อยอยากให้พี่กลางได้ดูอะไรก่อนค่ะ…มีบุคคลพิเศษมาพบกับพวกเราด้วยค่ะพี่กลาง”

    ทุกคนหันไปดูตาม  ร่างของบุรุษหนุ่มท่าทางองอาจสง่าผ่าเผยก้าวออกมาจากหลังต้นปาล์ม  อนุชาและคนอื่นๆทำตาโตมองอย่างแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง  บุรุษหนุ่มผู้นั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพี่ใหญ่แห่งตระกูลวราฤทธิ์

    “พี่ใหญ่!”    อนุชาร้องเรียกอย่างแทบไม่เชื่อสายตา

    เชษฐา วราฤทธิ์แย้มยิ้ม เดินเข้ามากอดน้องชายพลางลูบศีรษะแล้วตบอย่างเอ็นดู
    “ยินดีจริงได้พบแกอีกกลาง…ฉันนึกว่าแกจะหายไปกลางทะเลสมชื่อเสียแล้ว”
    อนุชาคลำหัวป้อย  แต่ก็หัวเราะ   “โชคของผมยังดีอยู่ครับ  แล้วพี่ใหญ่ไปไงมาไงกันล่ะนี่  ล่าสุดที่ผมติดต่อไปหา พี่ได้รับจดหมายหรือยังครับ”
    “จดหมายที่ใส่มาในขวดนั่นน่ะเรอะ ได้อ่านแล้ว  พอดีฉันกำลังหนีแบ๊งค์ตามเฉ่งค่าดอกเบี้ยวังของเราอยู่ ดอดไปพักตากอากาศชายทะเลก็เลยได้เจอขวดของแกลอยมาติดริมทะเล  ฉันถึงได้รีบจับเรือบินเดินทางมาหาพวกแกนี่ยังไงล่ะ…เครื่องบินมาลงพักเติมน้ำมันที่เกาะนี้ แต่พอดีตังค์ฉันหมดไม่มีค่าเครื่องบินบินไปต่อก็เลยต้องติดแหง็กอยู่ที่นี่  โชคดีจริงๆที่วาสนาพวกเรายังต้องผจญภัยร่วมกันอยู่ โชคชะตาถึงได้หอบเอาพวกแกมาเจอกับฉันจนได้”

    แล้วเชษฐาก็หันไปทักทายพรรคพวกทุกคน โดยเฉพาะรพินทร์ซึ่งได้แต่ยืนยิ้มนิดๆ ไม่ยอมยิ้มแฉ่งเหมือนคนอื่นด้วยเกรงเสียภาพลักษณ์
    “ว่ายังไงรพินทร์  นำทีมยังไงล่ะที่นี้ถึงได้พาพวกไปลงทะเลกันได้”
    พรานใหญ่ยิ้มจืดๆ  สีหน้าของเขายังคงชาเย็นไม่ยินดียินร้ายที่พบกับเชษฐา มีเพียงแววตาเท่านั้นที่บ่งแววยินดีระคนฉงนนิดๆ
    “ก็…นำไปเรื่อยๆเหนื่อยก็หยุดพักนั่นแหละครับ  คุณชายใหญ่หนีหนี้มาถึงที่นี่เชียวหรือครับเนี่ย  เอ้อ…ขอโทษครับ ผมหมายความถึงว่านับเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงทีเดียวที่พวกเราได้มาเจอคุณชายที่นี่”

    เชษฐาหัวเราะแปร่งๆ  หันมายกมือทักทายผม
    “ว่ายังไงไชยยันต์   ไม่ได้เจอแกซะนาน…เมย์เป็นยังไงบ้าง”
    ผมสะดุ้งนิดนึง
    “อ่า…ก็คงสบายดีมั้ง…แหม แทนที่แกจะถามข่าวฉันดันไปถามข่าวเมย์ซะนี่เชษฐา…ว่าแต่แกนึกยังไงล่ะนี่ถึงได้มาเจอพวกเราที่นี่…ถ้าฉันเดาไม่ผิด…”
    เชษฐารีบโบกมือ   “แกอย่าคิดอะไรมากไปเลยไชยยันต์…ฉันแค่คิดถึงพวกแกเท่านั้นแหละ พอทราบข่าวก็รีบบึ่งมาหาทันที”
    “ไม่ใช่ว่ากลัวไม่ได้ส่วนแบ่งสมบัติหรือคะ”   เสียงพลับพลึงแทรกขึ้น
    คุณชายใหญ่สะดุ้ง หันไปมองหนูพลับพลึงแล้วทำท่าเงื้อฝ่ามือ  แต่แล้วนึกขึ้นได้ว่าทุกคนมองอยู่ก็รีบกลบเกลื่อนเป็นโบกมือทักทาย
    “อ้าว…หนูพลับพลึงก็มาด้วย…สบายดีหรือจ๊ะ แล้วคุณแม่ลั่นทมล่ะ หายไปไหนซะแล้ว”

    พลับพลึงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่   “อย่ามาทำไขสือถามถึงคนอื่นเลยค่ะลุงเชษฐา…ทุกคนก็มาจุดมุ่งหมายเดียวกันแหละ  แม่ลั่นทมอยู่ในป่าค่ะ สงสัยไม่ชอบทะเลก็เลยไม่ยอมมาด้วย”
    เชษฐาค้อนควับที่เด็กมารู้ทัน เขาหันไปทักทายคนอื่นๆในคณะ  แล้วเอ่ยชักชวนให้ทุกคนเข้าไปนั่งพักผ่อนด้านในหมู่บ้าน  เมื่อก้าวเข้ามาภายในบริเวณเคหะชุมชนชาวเกาะ ทุกคนที่มาใหม่ก็ต่างดีใจกันอีกครั้งเมื่อแลเห็นคะหยิ่น เจ้าอดีตนักเลงโตหล่มช้างอยู่ที่นั่นด้วย  พรานเฒ่าหนานอินและคนอื่นๆที่หายไปรวมทั้งกองทหารของจักราชก็ต่างมาพักผ่อนกันอยู่ที่นี่แล้ว  เจ้าคะหยิ่นกำลังนั่งคุยจ้ออยู่กับสาวชาวเกาะหน้าตาจิ้มลิ้ม พอเห็นคณะเจ้านายมาก็รีบวิ่งออกมาตะโกนทักทายโหวกเหวก หนานอินเองหัวเราะร่าวิ่งเข้ามาจับแขนนายชดของตนอย่างยินดี

    ทุกคนต่างนั่งลงพักผ่อน พูดคุยสอบถามสารทุกข์สุขดิบในช่วงที่ห่างหายกันไปหลังจากเรือแตก  จากการสนทนากันทำให้ชาวคณะที่มาทีหลังทราบว่า คืนนี้ที่หมู่บ้านชาวเกาะจะมีการจัดงานมีตติ้งสังสรรค์เพื่อต้อนรับอาคันตุกะจากแดนไกลทั้งหลายเหล่านี้  โดยท่านเจ้าเกาะสั่งปิดสวนมะพร้าวขนมาเลี้ยงไม่อั้น แถมยังมีอาหารทะเลขึ้นชื่อพวกแมงกะพรุนไฟ ปลาปักเป้า พลับพลึงทะเล ปลิงทะเล รวมทั้งดอกไม้ทะเลขนมาปรุงเลี้ยงกันเต็มที่

    ค่ำคืนวันนั้นจึงคราคร่ำไปด้วยผู้คน ชาวเกาะต่างแห่แหนกันมาร่วมเฉลิมฉลอง มีงานเลี้ยงเต้นรำ มีระบำชาวเกาะให้ดูกันเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก  อนุชา คะหยิ่น ไพรวัลย์ ไปยืนอ้าปากหวอดูกันอยู่หน้าเวที  ส่วนรพินทร์กับแงซายต่างถูกใครก็ไม่รู้บิดหูให้นั่งอยู่กับที่  พลับพลึง แสงโสม สวีตตี้และหนานอินต่างนั่งสนทนาอยู่กับเชษฐาโดยมีผมนั่งจิบบรั่นดีอยู่ใกล้ๆนั่นเอง
     

    จากคุณ : ไชยยันต์ อนันตรัย - [27 ส.ค. 18:53:09] 


 

 


    ความคิดเห็นที่ 5

    ...
    คืนนั้นหลังงานเลี้ยงรับรอง  เจ้าเกาะก็จัดให้ชาวคณะพักยังถ้ำของเจ้าเกาะนั่นเอง รุ่งเช้าก็หาคนนำทางนำชาวคณะไปชมรอบ ๆ เกาะ ทั้งทุ่งดอกไม้ในตำนาน ถ้ำที่เก็บภาพสามมิติของเจ้าเกาะในตำนานใกล้ ๆกัน น้ำตก  ชายหาดจากการเล่าของไกด์ชาวเกาะ ทำให้ทราบว่าเจ้าเกาะคนปัจจุบัน เป็นทายาทที่สืบทอดมาจากเจ้าเกาะในตำนาน แผลเป็นที่หน้าผากที่ทำให้เจ้าเกาะคนปัจจุบันเหมือนกับเจ้าเกาะในตำนาน ก็เกิดจากขึ้นในสมัยที่โดนป๊ะป๋าเนรเทศให้ไปศึกษาเล่าเรียนยังผืนแผ่นดินใหญ่ ด้วยนิสัยที่ชมชอบเข้าไปมีส่วนร่วมในการตะลุมบอนของบรรดาเด็กช่างกลนั่นเอง ทำให้ได้รับแผลเป็นมาประดับ  แต่การได้รับบาดเจ็บในครั้งนั้นก็มิได้ได้เสียหลาย เพราะทำให้เขาได้พบกับภรรยาของเขาคือ รีนอ และอาศัยแผลบนใบหน้าเรียกร้องความสงสาร จนทำให้เธอหลงคารมจนหลวมตัวมาอยู่ที่เกาะแห่งนี้  ทุกคนเพลิดเพลินกับการเที่ยวรอบ ๆ เกาะเป็นอันมาก

    ตกค่ำ หลังจากรับประทานอาหารเย็นกันเสร็จสิ้น  ทั้งหมดก็ได้มาล้อมวงนั่งสนทนา ปรึกษากับเจ้าเกาะเรื่องที่จะเดินทางต่อไป แต่เจ้าเกาะก็ทักท้วงว่าน่าจะพักอยู่ที่นี่ไปก่อน จนกว่าจะหมดหน้ามรสุม เพราะระยะนี้เป็นหน้ามรสุม และมีพายุกระหน่ำก็บ่อยครั้ง หลาย ๆ คนก็เห็นด้วย แต่ เชษฐา อนุชา และไชยยันต์ รวมทั้งรพินทร์ รวมหัวกันคัดค้านจนหน้าเขียว หน้าเหลือง  อ้างว่าเดี๋ยวจะไม่ทันกำหนดเวลา แต่เหตุผลที่ทุกคนในคณะรู้กันก็คือ  แผนที่การเดินทางที่ทำสำเนา ไว้หลายสิบชุด ได้หายไประหว่างที่เรือโดนพายุนั่นเอง คงเหลือเพียง 3 ชุดที่รพินทร์ อนุชา และไชยยันต์ คนละชุด ทั้งสามจึงเร่งรัดที่จะเดินทางต่อไปโดยเร็ว เพราะหากใครไปพบแผนที่เหล่านั้นเข้า และเดินทางไปจนได้พบขุมทรัพย์ล่ะก็ ฝันค้างกันอีกแน่ ๆ   เจ้าเกาะพยายามทัดทานอย่างไรก็ไม่เป็นผล สุดท้ายจึงรับปากว่าจะจัดหาเรือให้ เพื่อใช้ในการเดินทางต่อไป  แต่จากรายงานข่าวด่วน ว่า  พายุเกมีที่ไล่ถล่มจนทำให้หลาย ๆ พื้นที่น้ำท่วม ลำบากลำบนกันไปตาม กัน กำลังจะผ่านเกาะลีอองในค่ำคืนนี้ ทำให้คณะนักแสวงโชคต้องรอ ที่เกาะนี้ชั่วคราว 

    ตกดึก เกมีก็เข้าถล่มเกาะอย่างหนัก ทั้งลมทั้งฝน จนรุ่งเช้าก็ไม่มีทีท่าจะหยุดแม้แต่น้อย รายงานข่าวอากาศยังรายงานอีกว่าพายุลูกนี้ว่าเคลื่อนที่ช้ามาก ดังนั้นเกาะลีอองจึงต้องโดนพายุถล่มอีกหลายวัน กว่าพายุจะผ่านพ้น คณะนักแสวงโชคได้แต่จับเจ่ากันอยู่ภายในถ้ำ จะออกไปยืดเส้นยืดสายข้างนอกก็ไม่ได้ เพราะฝนตกต่อเนื่องกันแทบทั้งวัน เว้นวรรคให้ประเดี๋ยวประด๋าวก็ตกอีก  และด้วยความเมตตาของรีนอผู้งดงาม เธอได้นำกระดานข่าวพันติบมาให้ได้อ่านกัน จึงทำให้หายเบื่อกันได้บ้าง ข่าวที่น่าสนใจก็เรื่อง อุบัติเหตุเรือดำน้ำรัสเซียจม นักข่าวหัวเห็ด(ทำไมไม่เป็นหัวหอมบ้างก็ไม่รู้) "สารขัณฐ์ " ได้รายงานว่า

    "ทางอินเตอร์ทัสรายงานว่าพบซากเรืออีโปงของไทยห่างจากจุดเรือดำน้ำเคริกซ์ไปทางตะวันตกเฉียงตะวันออกนิดๆ ประมาณสามไมล์ในสภาพยับเยิน สันนิษฐานว่าอาจจะแอบไปจับปลาแล้วถูกเรือดำน้ำรัสเซียจับได้ ทำให้มี การไล่กวดกัน           เรืออีโปงซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกเรือไทยซึ่งเสพยาบ้าตัดสินใจพุ่งเข้าชนเรือดำน้ำรัสเซียจนเสียหายด้วยกันทั้งสองฝ่าย        ขณะนี้ทางการไทยส่งตำรวจภูธร กับ เทศกิจไปร่วมตรวจสอบอย่างละเอียดโดยหน่วยสืบราชการลับไหหลำให้การสนับสนุนโฆษณา     ทางด้านรัสเซียอาจประกาศสงครามกับเราได้ในเร็ววัน ข่าวนี้ทำให้พวก ร.ด. ปีสาม หนาวๆ กันเป็นแถว เพราะมีสิทธิถูกส่งไปรบจริง       ผู้สื่อข่าวมีเบาะแสว่าทางการสั่งให้ผู้ใหญ่บ้านระดมสรรพกำลังตีเหล็กน้ำพี้ไว้เป็นอาวุธ และเร่งส่งนักศึกษาไปเรียนวิชาไสยศาตร์     เมเจอร์ควายธนูไว้เป็นการด่วนแล้ว"

    แถมด้วยรายงานปิดท้ายว่า ข่าวเหล่านี้กำลังจะเอาไปกรอง พอดีมีคนถามมาซะก่อน จึงต้องรีบรายงานเพื่อแย่งชิงเรตติ้ง กระทู้ยอดนิยมให้ได้

    อ่านข่าวแล้ว ชาวคณะก็วิพากษ์วิจารณ์ กันไปต่าง ๆ นานา....
    =====================
    "..." มาจาก P667683.html 

    จากคุณ : พลับพลึงสีชมพู - [29 ส.ค. 20:53:38] 


 

 


    ความคิดเห็นที่ 6

             แหมแย่จัง   อากาศไม่ดีฝนตกไม่หยุดอย่างนี้ก็มีแต่เรื่องเบื่อ  เพราะออกไปไหนก็ไม่ได้น่ะซีครับ   ผมนั่งมองสายฝนโปรยปรายจากท้องฟ้าที่หน้าถ้ำ  อากาศชื้นเย็นฉ่ำ  นึกถึงการผจญภัยที่ผ่านๆ มา  ถ้าเป็นในป่า จะตกหรือไม่ตกเราก็ลุยกันไปได้เรื่อยๆ  ไม่กลัวฟ้าผ่า ฟ้าร้อง  หรือฟ้าดิน  แต่อยู่บนเกาะกลางทะเลแล้วธรรมชาติเป็นใหญ่เหนือเรือลำเล็กๆ เสมอ  ยกเว้นเสียแต่ว่าเราไปด้วยเรือดำน้ำ  จะได้ไม่ต้องกลัวคลื่นลมพายุ 
          พอคิดมาถึงตอนนี้เหมือนมีเสียงปิ๊ง แล้วหลอดไฟแห่งความคิด 100 W ก็สว่างวับขึ้นมา    อาณาเขตหมู่เกาะลีอองนี้มีตั้งหลายเกาะ  ตามลายแทงที่ผู้กอง(ไม่ค่อยอยากจะ)ให้ผมดู(เท่าไหร่)นั้น  เราจะต้องลงเรือมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือจากเกาะที่หนึ่งนี้ไปยังเกาะที่สอง  ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในจำนวนหมู่เกาะลีอองนี้    เข้าสู่เกาะที่ชายหาดราเม็ง   อันเป็นหาดทรายยาวขาวสะอาด  ลาดลงสู่หมู่ปะการังน้อยใหญ่ใต้พื้นทะเลที่มีความลึกพอสมควร    ก่อนจะชันดิ่งลงไปสู่พื้นมหาสมุทรอันสุดจะหยั่งถึงเหมือนมีหุบเหวใต้ทะเลอยู่ข้างๆ เกาะนี้ด้วย  ซึ่งท่านเจ้าเกาะบอกว่าหุบเหวนี้เต็มไปด้วยสัตว์แปลกประหลาดนานาชนิด   ชาวเรือที่ผ่านไปมาเก็บเอามาเล่ากันเป็นที่สนุกสนานตื่นเต้น   แต่ยังไม่มีฝ่ายราชการคนใดมาถึงสักคน  จึงยังไม่มีในแผนที่สำรวจของทางการ   และบนเกาะที่สองนี้  ถึงจะกว้างใหญ่ไพศาล  ก็ไม่ปรากฏมีผู้ใดไปตั้งถิ่นฐานบ้านช่องอยู่เลยสักคน   ไม่มีผู้ใดทราบสาเหตุว่าเป็นเพราะอะไร
           จากหาดราเม็งนี้แหละที่ทุกคนจะต้องไปเริ่มต้นเดินทางเข้าไปยังป่าลึกของเกาะที่เต็มไปด้วยเสียงนกเงือกและเหยี่ยว  เข้าสู่ดินแดนที่ชาวหมู่เกาะลีอองเรียกว่า  ป่าวาซาบิ   ระหว่างนั้นท่านเจ้าเกาะแนะนำให้หาเสบียงติดตัวไปจากทะเลด้วย    ผมยังจำได้ว่านายทหารเสนอว่าเราควรจะหาปลามาทำซูชิไปเยอะๆ  แต่ไม่ควรตากแห้งรมควันแบบคราวก่อน  เพราะของไม่สดกินแล้วอาจมีผลข้างเคียง
         เรื่องราวการผจญภัยต่อไปอีกนั้นผมยังไม่นึกถึง   ได้แต่คิดอยู่ว่า เมื่อไหร่ล่ะเราถึงจะได้เรือลำใหม่และได้ลงเรือกะเขาอีกซักที   คราวนี้จะต่อให้ได้สักสองร้อย  คราวก่อนรู้สึกว่ายังใช้เรือไม่คุ้มเลย  แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครเห็นด้วยกับผม     นายกลางว่าร้อยห้าสิบก็แพงไปแล้ว  ส่วนคนอื่นๆ อ้ำอึ้งทำหน้าตาประหลาดๆ  ผมไม่อาจทราบได้ว่าคิดอะไรมากมายอยู่ในใจ
       แต่ตอนนี้เมื่อแสงหลอดไม่ประหยัดไฟส่องสว่างในสมองของผมแล้วทำให้ผมคิดได้ว่า  ทำไมเราจะต้องรอให้พายุผ่านไปก่อนด้วยเล่า  ถ้าเราไม่ต้องล่องเรือไปบนผิวน้ำ  ซึ่งจะต้องผจญทั้งคลื่นทั้งลมทั้งกระแสน้ำ  ฝน และสายฟ้าที่อาจจะฟาดลงมาสู่ชาวคณะซักคนนึงดำเกรียมไปโดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า     ถ้าเราไปใต้น้ำ เกจะมีหรือไม่มีเราก็ไม่ต้องหวั่น 
         ผมลองขยายความคิดนี้สู่ชาวคณะซึ่งกำลังฟังข่าวกันอยู่อย่างสนใจ  ต่างทำหน้าปุเลี่ยนๆ  บ้างก็ส่ายหน้า  อย่าเพิ่งคิดว่าจะไปหาเรือดำน้ำที่ไหนให้ได้ราคาสองร้อยเลยครับ   โธ่   หาอุปกรณ์ดำน้ำจะง่ายเสียกว่า   บนเกาะนี้ผมเชื่อว่ามีแน่ๆ     ใครดำน้ำไม่เป็นยกมือขึ้น    โหะ  โหะ   ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าแงซายทำเป็นทุกอย่าง  ร้องเพลงภาษาฝรั่งเศส หรือตอกทอยขึ้นหน้าผายังทำได้นี่นา   คราวนี้ผมจะเปิดหลักสูตรเร่งรัด  หนึ่งคืนหนึ่งวัน  กลางคืนเรียนทฤษฎี  ตอนเช้าก็สอบภาคปฏิบัติกันเลย   ด้วยการดำน้ำผ่านหุบเหวลึกลับไปสู่เกาะสอง
          อืม..  ไม่ผิดหวังเลย  เจ้านายทุกท่านเลือดนักผจญภัยเข้มข้น  คราวนี้ไม่มีใครคัดค้านผมเลยซักคน  ต่างกระตือรือร้นตื่นเต้นที่จะได้ดำดิ่งลงสู่ก้นทะเลกันทั่วทุกคน  ไม่เว้นแม้แต่คะหยิ่น นายบ้านหล่มช้างและองครักษ์ทุกคน  รวมทั้งไพรวัลย์ สวีตตี้  ….    ผู้กอง นายหญิง นายใหญ่ นายกลาง  นายทหาร  คุณแสงโสม  พลับพลึงสีชมพู  ลุงหนานอิน  (….หมดแล้วยังน้า  จะได้ไม่มีใครหนีไปแบบสบายๆ ได้  หึ หึ)
     

    จากคุณ : แงซาย - [30 ส.ค. 05:16:21] 


 

 


    ความคิดเห็นที่ 7

               เสื้อชูชีพ อยู่ใต้ที่นั่งของทุกท่าน  สวมลงทางศีรษะ  เกี่ยวขอทั้งสองข้างเข้ากับห่วง   ดึงสายรัดให้แน่น   ดึงสายเพื่อให้ชูชีพพองลม  เฉพาะเวลาฉุกเฉินที่ต้องการขึ้นสู่ผิวน้ำเท่านั้น…
              ทำไงได้ล่ะครับ  ท่านเจ้าเกาะพยายามแล้ว  หา BCD  ไม่ได้ซักตัวนึง  พวกเราจึงไม่มีเสื้อชูชีพของนักดำน้ำที่ใช้ใส่อากาศเพื่อความสมดุลย์ของร่างกายใต้น้ำ  ไม่ให้ลอยหรือจมเกินไป   หาได้แต่ชูชีพของเครื่องบินที่ไม่รู้ใครมาทำตกไว้ในทะเลแถวนี้  ก็เลยเอามาใช้ไปก่อน  พกลูกโป่งอีกคนละลูกไว้เป่าลมปรับสมดุลย์ส่วนตัว  ส่วนแท้งค์ออกซีเจนกับเรกGuเลเตอร์(ไอ้ที่ต่อจากถังมาสู่ปากใช้คาบแล้วหายใจนั้น)  หาได้ครบคนพอดี   มีตีนเป็ดคนละข้างก็พอ เอาหินมาใช้ถ่วงน้ำหนัก  อ้อแล้วก้อ  หน้ากากดำน้ำมันไม่ครบคนนะครับ   ต้องจับคู่กัน  คู่นึงมีหน้ากากไว้มองใต้น้ำชัดๆ 1 อัน  ใช้ผลัดกันดู  หรือจะใจดีสละให้บั๊ดดี้ของตัวเองใส่ไว้เลยแล้วหลับตาเกาะแขนกันไปก็ได้ไม่เกี่ยง
            ความจริงอุปกรณ์ไม่ค่อยจะครบผมเห็นว่าเรารอก็ได้นะครับ  แต่ผู้กองไม่ยอมท่าเดียว  ทำไงได้    เรียนทฤษฎีกันมาแล้วเมื่อคืน  ตอนนี้ก็มาจับคู่กันว่าใครจะคู่กับใคร 
          ผู้กองให้โอกาสทุกคนจับคู่ได้ตามใจสมัคร  ก่อนที่จะนำชาวคณะผจญภัยใต้น้ำต่อไป
          สายฝนยังคงตกพรำๆ  ท้องฟ้าสีเทาครวญเบาๆ  ดังบทเพลงส่งวิญญาณ  เอ้ย  อวยชัยให้พร     ชาวคณะง่วนกับอุปกรณ์ของตน  ขณะที่ผมเหม่อมองท้องทะเลเบื้องหน้าแล้วยิ้มให้กับความหวัง…..
     

    จากคุณ : แงซาย - [30 ส.ค. 05:43:12] 


 

 


    ความคิดเห็นที่ 8

    สาเหตุที่ต้องเดินทางไปยังเกาะลีอองสอง ตัดทะลุป่าวาซาบิไปยังหาดราเม็ง ก็เพราะเจ้าเกาะสควอลได้เล่าให้ฟังว่าเมื่อสัปดาห์ก่อนนี้ ชาวเกาะที่ไปจับปลาแถบนั้นได้มารายงานว่ามีเรือยอร์ชลำใหญ่มาจอดลอยลำอยู่ที่นั่น เรือลำนั้นใหม่เอี่ยม ใหญ่โตกว้างขวาง เครื่องไม้เครื่องมือก็ทันสมัยเป็นอย่างยิ่ง แต่เป็นที่น่าแปลกเพราะไม่พบคนบนเรือแม้แต่คนเดียว เจ้าเกาะกำลังจะไปสำรวจแต่ก็ได้เจอกับชาวคณะและพายุเสียก่อน จึงต้องเลื่อนเวลาการไปสำรวจเรือออกไป    ชาวคณะนักแสวงโชคจึงตัดสินใจเดินทางไปยังเกาะลีอองสอง เพื่อจะได้อาศัยเรือลำนั้นเดินทางต่อไปหากเรือลำนั้นไม่มีเจ้าของ หรือหากมีเจ้าของ ก็จะได้ให้แงซายแสดงฝีปากการต่อรองอีกครั้ง   ว่าคราวนี้จะจ่ายร้อยห้าสิบหรือสองร้อยเป็นค่าเรือกันแน่

    หลังจากที่ทุกคนเลือกคู่กันได้หมด ยกเว้นแต่อนุชาและไชยยันต์ซึ่งไม่มีใครยอมที่จะมาเป็นคู่ด้วยจึงต้องจับคู่กันเอง พลับพลึงนั้นจับคู่กับแสงโสม เมื่อต่างก็ซักซ้อมสัญญาณต่าง ๆที่จะใช้ จนคล่องแคล่วดีแล้ว ทั้งหมดจึงเดินทางฝ่าสายฝนไปยังริมทะเลด้านหลังเกาะ ซึ่งคลื่นลมไม่แรงนัก เพื่อจะดำน้ำทะลุไปยังเกาะลีอองสอง โดยเจ้าเกาะและรีนอ ได้ร่วมขบวนเดินทางไปส่ง  เมื่อไปถึงด้านหลังเกาะชาวคณะก็ร่ำลาเจ้าเกาะและรีนออย่างอาลัย ก่อนที่จะไปรีนอบอกว่ามาเรียกำลังจะมา ขอให้ระมัดระวังด้วย แค่ได้ยินชื่อมาเรียก็ทำเอาไชยยันต์และไพรวัลย์สะดุ้งโหยง หน้าซีด  ส่วนคนอื่น หันมามองรีนอด้วยความตื่นเต้นยินดีระคนแปลกใจ เพราะนึกว่ามาเรีย ฮอฟมันน์ เอ๊ย มาเรีย อนันตรัย กำลังจะมาที่นี่ รีนอเห็นสีหน้าแปลกใจของชาวคณะ ก็ได้พูดต่อว่ารายงานอากาศได้แจ้งว่าขณะนี้พายุมาเรีย กำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ และกำลังจะผ่านเส้นทางนี้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า  จากนั้นทั้งหมดจึงเริ่มเคลื่อนขบวนลงสู่ท้องทะเลสีเขียวอมเทา ท่ามกลางสายฝนที่ยังโปรยปรายมาไม่ขาดสาย...
     

    จากคุณ : พลับพลึงสีชมพู - [1 ก.ย. 18:43:12] 


 

 


    ความคิดเห็นที่ 9

    ก่อนหน้าที่ชาวคณะทั้งหมดจะเดินทางลงสู่ทะเลสีเขียวอมเทา ท่ามกลางสายฝนที่ยังโปรยปรายมาไม่ขาดสาย ระหว่างนั้น แสงโสมก็กวาดสายตาไปยังเพื่อนร่วมเดินทางทุกคนอย่างรวดเร็ว แล้วก็รีบคิดสะระตะอย่างถี่ด้วน และแล้ว จากการดีดลูกคิดรางแก้วในสมองอย่างรวดเร็วของอดีตนางร้ายที่ยังไม่ทิ้งลาย แสงโสมก็ตัดสินใจได้ทันที  อะฮ้า...บุรุษในคณะที่เพอร์เฟคที่สุดในขณะนี้ ไม่มีใครเกินพี่ใหญ่ของตระกูลวราฤทธิ์ไปได้.....มรว. เชษฐา  วราฤทธิ์  หนุ่มโสด หล่อ เท่ สมาร์ท ร่ำรวย ชาติตระกูลสูง ผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว แล้วยังแถมมีความเป็นผู้นำอย่างเต็มเปี่ยม อย่างนี้แสงโสมจะปล่อยให้หลุดมือไปได้อย่างไร

    แสงโสมกระหยิ่มยินดีกับความคิด (อันร้ายกาจ) ของตัวเองเป็นยิ่งนัก  ทอดสายตามองคุณชายใหญ่ที่กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมอุปกรณ์สำหรับดำน้ำอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ชายหาด  แล้วแสงโสมก็หันมากระซิบกับพลับพลึงที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ

    "พลับพลึงจ๋า  หนูว่าคุณชายใหญ่เป็นยังไงมั่งจ๊ะ ถ้าน้าจะ เอ้อ..เข้าไปขอทำความรู้จักกับคุณชายใหญ่ให้มากกว่านี้ หนูว่าเป็นยังไงบ้าง"

    พลับพลึงเอียงคอมองแสงโสมอย่างตกใจ ทำตาโต ใบหน้าหวานใสนั้นตกตะลึงเล็กน้อย

    "น้าแสงโสมขา เอางั้นเลยเหรอคะ น้าน่ะเป็นนางเอกนะคะ ไม่รักษาภาพพจน์หน่อยเหรอคะน้า"

    "แหม..พลับพลึงจ๋า ขืนน้ามัวรักษาภาพพจน์อยู่ก็ชวดหมดซิจ๊ะ  เดี๋ยวมีใครมาตัดหน้าคว้าคุณชายใหญ่ไปน้าจะยุ่ง   ไม่เอาแล้วจ้ะ น้าคงไม่รักษาภาพพจน์แล้วละ คงต้องรีบฉกฉวยโอกาสตอนนี้ไว้ก่อนที่จะหลุดลอยไป หนูว่าไงจ๊ะ"

    พลับพลึงน้อยมีสีหน้าที่กลัดกลุ้ม  แต่ยังตอบด้วยดี

    "เอางั้นก็เอาค่ะ น้าแสงโสม ไม่ต้องเป็นห่วงพลับพลึงนะคะ พลับพลึงดูแลตัวเองได้ น้ารีบไปเถอะค่ะ พลับพลึงเอาใจช่วยค่ะ ขอให้ประสบความสำเร็จนะคะน้า"

    สาวน้อยพลับพลึงยิ้มสดใส และพยักหน้าให้กำลังใจแก่แสงโสม  จากการให้กำลังใจของสาวน้อย เลยช่วยให้แสงโสมมีกำลังใจมากขึ้น  แสงโสมยิ้มรับ และหันกลับวิ่งเหยาะ ๆ ตรงไปยังตำแหน่งที่คุณชายเชษฐานั่งอยู่  ในขณะที่สวีทตี้ที่ยืนเตรียมลงทะเลอยู่ข้าง ๆ ไพรวัลย์ มองดูแสงโสมอย่างงุนงง

    วิ่งไปถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ ตำแหน่งที่คุณชายเชษฐานั่งอยู่  เชษฐาได้ยินเสียงคนวิ่งมาก็เงยหน้าขึ้นมอง พอดีกับที่แสงโสมเข้าไปถึง  แต่เจ้ากรรมซะจริง (หรือจะเป็นโชคของแสงโสมก็ไม่รู้)  แสงโสมสะดุดรากไม้ที่พื้นทราย หน้าคะมำเข้าไปทางเชษฐา  อย่างรวดเร็วในพริบตา เชษฐาลุกขึ้นและโอบประคองร่างของแสงโสมได้อย่างทันท่วงทีก่อนที่แสงโสมจะหน้าคว่ำลงกับพื้น

    "คุณแสงโสม เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงต้องรีบวิ่งมาอย่างนี้" 

    เชษฐากล่าวถามเสียงเบานุ่มอยู่ข้างหูของแสงโสมอย่างตกใจ  พร้อมกับที่ค่อย ๆ ช่วยประคองแสงโสมให้ลุกขึ้นยืนอย่างนุ่มนวล  ในขณะที่แสงโสมยิ้มแหย ด้วยความคาดไม่ถึงว่าแผนของตัวเองจะประสบความสำเร็จเกินคาด

    "คือ แสง...แสง อยากจะมาช่วยคุณชายจัดเตรียมอุปกรณ์ดำน้ำน่ะค่ะ"

    เชษฐายิ้มน้อย ๆ ด้วยท่าทีรู้ทัน ก่อนจะตอบแสงโสม

    "ไม่เป็นไรหรอกคุณแสงโสม ผมเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขอบคุณมาก  ว่าแต่คุณเถอะ จับคู่กับใครแล้วยังล่ะ"

    "แสงจับคู่กับหลานพลับพลึงแล้วค่ะ แล้วคุณชายล่ะคะ"

    "อืม..ผมยังไม่ได้จับคู่กับใครเลย งั้นเอาอย่างนี้แล้วกัน ผมจะไปด้วยกันกับคุณแล้วก็พลับพลึง เราไปกัน 3 คนเลยแล้วกัน คุณเป็นผู้หญิงไปด้วยกันสองคนอาจจะเกิดอันตรายได้ ผมจะไปช่วยดูแลให้อีกแรง"

    แสงโสมยิ้มหวานอย่างปลื้มปิติ

    "ตกลงค่ะ คุณชายใหญ่"

    แล้วแสงโสมก็นำเชษฐาเดินเข้าไปสมทบกับพลับพลึงที่ริมทะเล ในขณะที่พลับพลึงหันมาแอบหลิ่วตาให้กับแสงโสมอย่างล้อเลียน 

    จากคุณ : แสงโสม - [2 ก.ย. 09:38:53] 


 

 


    ความคิดเห็นที่ 10

    ขณะที่แสงโสมเข้ามาช่วยเชษฐาเตรียมข้าวของนั้น  ผมเองซึ่งนั่งอยู่ไม่ห่างนักเงยหน้าขึ้นมอง ก็พอดีกับได้เห็นหนูพลับพลึงหันมาหลิ่วตาล้อเลียนแสงโสม แล้วยังหันมาล้อเลียนผมอีกคน ผมเองก็ให้รู้สึกเดือดขึ้นมาทันที

    “มองอะไร”   ผมร้องถามไปอย่างขุ่นๆ

    พลับพลึงทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ หันไปเก็บข้าวของต่อ  ผมคว้าเป้หลังขึ้นมัดติดกับตัวอย่างแน่นหนา หยิบข้าวของอุปกรณ์ที่จำเป็นแล้วลุกเดินออกจากที่ ตรงไปยังริมชายหาดคนเดียว ท่ามกลางสายตาของชาวคณะที่หันมามองอย่างแปลกใจ
    อนุชาร้องเรียก    “อ้าวเฮ้ย ไชยยันต์…นั่นแกจะรีบไปไหน รอพวกเราก่อนสิ”
    ผมหันกลับมามอง
    “จะต้องรอใคร ในเมื่อฉันไม่ได้จับคู่กับใคร…ฉันล่วงหน้าไปก่อนละ”
    “เฮ้ เดี๋ยวสิ…ก็แกคู่กับฉันไม่ใช่เรอะ”   อนุชาพูดพลางรีบคว้าเป้แล้วลุกขึ้น
    ผมสั่นหน้า   “อย่าเลยกลาง…แกกับฉันฝีมือผจญภัยยังไม่ถึงขั้นด้วยกันทั้งคู่  ขืนแกไปกับฉันละก้อรังแต่จะถ่วงฉัน เอ๊ย เป็นอันตรายด้วยกันทั้งสองคน  แกไปกับหนานอินบั๊ดดี้ของแกตั้งแต่สมัยภาคแรกจะดีกว่าเพราะรู้มือกันดีอยู่แล้ว  เจ้าแงซายจับคู่กับเมยานีแถมยังมีกองทหารองครักษ์อีกเป็นโหลๆตามไปคุ้มกัน  รพินทร์กับน้อย  สวีตตี้กับเจ้าไพร  คะหยิ่นไปกับบุญคำ  เจ้าเกิดไปกับเจ้าเส่ย   เชษฐาไปกับคุณแสงแล้วก็ยังมียายพลับพลึงพ่วงไปด้วย  คราวนี้ก็เหลือฉันคนเดียวไม่จำเป็นจะต้องรอใครอีกแล้ว เสียเวลาเปล่าๆ”
    ผมทำท่าจะออกเดิน พลับพลึงรีบวิ่งเหยาะๆเข้ามาขวางหน้า
    “โถ…ลุงไชยยันต์ละก้อ จะรีบไปไหน จะรีบไปไหน…เดี๋ยวหนูพลับพลึงจะร่ายมนตร์เรียกนางเงือกมาเป็นบั๊ดดี้ให้ลุงดีมั้ยคะ ลุงจะได้มีคู่ไม่ต้องไปคนเดียวเปลี่ยวเอกา อิอิ”   พลับพลึงพูดพลางทำหน้าทะเล้น

    “เพื่อนเล่นเหรอะ?”   ผมพูดเสียงขุ่นๆ 
    ยายพลับพลึงหน้าจ๋อย  ผมยืนขบกรามแน่นอยู่พักนึงจนเมื่อยจึงเลิกขบ  ปลดหน้ากากดำน้ำซึ่งแงซายอุตส่าห์เสาะหามาให้แต่ดันได้มาไม่ครบคน  แต่ละคู่บั๊ดดี้จึงมีเพียงอันเดียวผลัดกันใช้  ผมโยนให้พลับพลึง
    “เอ้า…เอาไปใช้  จะได้ไม่ต้องไปแย่งคุณแสงกับเชษฐา”
    “อ้าว…แล้วลุงไชยยันต์ล่ะคะ  ไม่ใช้แล้วลุงจะมองเห็นใต้ทะเลได้ไงละนี่…เดี๋ยวก็ว่ายสะเปะสะปะไปชนโขดหิน ปะการัง  หนูละเป็นห่วงจริงจริ๊ง…เป็นห่วงแนวปะการังน่ะค่ะ เขายิ่งให้อนุรักษ์กันอยู่”
    “หมู่เกาะนี้ฉันคุ้นเคยดี หลับตาดำน้ำยังได้เลย”
    พูดจบผมก็ก้าวเดินฉับๆฝ่าสายฝนออกไป
    พรรคพวกยังคงทยอยกันเดินตามมาเรื่อยๆเอื่อยๆ ไม่ทันใจผมซะเลยในภาวะเช่นนี้ ผมตรวจสอบอุปกรณ์ดำน้ำและสายรัดต่างๆ  เมื่อเห็นว่าเรียบร้อยก็เดินลุยน้ำทะเลลงไป

    สายฝนยังคงโปรยปรายลงมาไม่ขาดระยะ  เสียงฝนที่ตกลงสู่ท้องทะเลดังแซ่ไปทั่ว  คลื่นลมยังคงมีแต่ไม่รุนแรงอะไรนักในขณะที่ผมก้าวลุยคลื่นที่ซัดเข้ามาถึงระดับอก  เดินไปพลางเหม่อมองท้องฟ้าสีเทา

    ก้าวที่สิบกว่าๆ ผมก็หล่นตูมจมลงไปในทะเลเนื่องจากพื้นตรงหน้าหายไปเหมือนกับเดินพ้นขอบหุบเหวซึ่งอยู่ใต้ทะเล ผมหูอื้อด้วยไม่ทันตั้งตัว รอบด้านพร่ามัวไปหมดมีแต่น้ำทะเลสีเทาขุ่นมัว  ผมมองไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่มือของตัวเอง
    ร่างของผมหมุนคว้าง 360 องศาจับทิศทางไม่ถูก

    ผมทรงตัวใต้น้ำอยู่ครู่หนึ่งก็พอจะมองเห็นทิศทางด้านหนึ่งมีแสงสว่างเรืองๆ นั่นคงเป็นผืนทะเลเบื้องบน
    ผมปลดไฟฉายที่ใช้ดำน้ำขนาดใหญ่ออกมาจากเอว เปิดส่องสว่างไปเบื้องหน้า  แนวไฟฉายกระทบเข้ากับผนังทึบ นั่นมันจะต้องเป็นด้านข้างหุบผาใต้ทะเลที่ต่อเนื่องกับพื้นเกาะเบื้องบนเป็นแน่  ผมจึงต้องหันกลับเพื่อมุ่งหน้าออกสู่ท้องทะเล  ก้มลงมองดูเข็มทิศเรืองแสงที่ข้อมือเพื่อหาทิศทางที่จะไปตามที่ได้วางแผนล่วงหน้ากับพรรคพวกมาก่อนแล้ว

    แสงไฟฉายสาดกระทบอนุภาคใต้น้ำเห็นเป็นแนวยาว ผมดำลงสู่ใต้ทะเลลึกลงไปเรื่อยๆ  เบื้องล่างท้องทะเลนิ่งมากแลดูต่างจากความกราดเกรี้ยวของผืนทะเลเบื้องบนราวกับเป็นคนละสถานที่กันเลยทีเดียว
    ผมแหวกว่ายลงไปสู่แนวปะการังใต้ทะเลเบื้องล่าง เนื่องจากไม่มีแว่นดำน้ำทำให้ภาพที่มองเห็นพร่ามัวไม่ชัดเจนนัก แต่ก็พอจะมองเห็นวัตถุที่อยู่ใต้น้ำได้รางๆ  หันไปดูข้างหลังก็ยังคงไม่เห็นพรรคพวกตามมาทัน  ผมยังคงเคลื่อนตัวรุดหน้าไปเรื่อยๆโดยไม่เสียเวลารีรอ ทุกคนต่างซักซ้อมทิศทางกันมาอย่างดีแล้วจึงไม่น่าเป็นห่วงว่าจะมีใครหลงทิศ เดี๋ยวอีกสักครู่ก็คงตามมาทางเดียวกับเขานี่เอง

    รอบด้านเงียบสงัด ไม่ได้ยินเสียงใดๆเลยเหมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง  แล้วความคิดของผมก็ต้องสะดุดกึก เมื่อลำแสงไฟฉายสาดไปกระทบใครอีกคนเบื้องหน้า  จากแสงไฟฉายทำให้เห็นส่วนของศีรษะที่มีเส้นผมยาวสีน้ำตาลได้อย่างถนัด  เอ…สาวคนไหนในคณะกันหว่าที่สามารถว่ายได้เร็วกว่าและสามารถแซงผมไปนำอยู่ข้างหน้าได้  ผมโบกสะบัดตีนเป็ดที่สวมอยู่ข้างเดียวเร่งให้ตัวเองพุ่งไปข้างหน้าทันที  พยายามจะว่ายไล่ให้ทันเพื่อจะดูให้ชัดๆว่าใครกันหนอ แต่ไล่อย่างไรผมก็ยังคงไล่ไม่ทันอยู่ดี ราวกับบุคคลเบื้องหน้าที่นำผมอยู่นั้นไม่ใช่คนอย่างนั้นแหละ  หรือผมจะตาฝาดมาว่ายไล่ปลาฉลามอยู่ก็ไม่รู้
    คิดได้ดังนั้นผมก็หยุดว่าย  ทรงตัวในแนวดิ่งอยู่ใต้น้ำ

    ร่างนั้นหยุดเคลื่อนที่เช่นเดียวกันราวกับรู้ว่าผมหยุดติดตาม  แต่ไม่ได้หยุดแล้วอยู่กับที่ มันว่ายมุดลงไปสู่พื้นทะเลแล้วหายไปท่ามกลางแนวปะการังนั้น  ผมรีบว่ายตามลงไป
    ใช้แสงไฟฉายค้นหาอยู่นานก็ไม่มีวี่แววว่าจะพบใครหรือตัวอะไรอยู่บริเวณนั้น  ผมหันไปส่องไฟมองรอบๆอย่างงุนงงสงสัย ครู่หนึ่งก็เริ่มออกแหวกว่ายไปต่อเพราะคิดว่าคงเป็นปลาอะไรสักอย่างแน่ๆ  มนุษย์ย่อมไม่หายไปได้เร็วขนาดนั้น
     

    จากคุณ : ไชยยันต์ อนันตรัย - [2 ก.ย. 13:10:37] 


 

 


    ความคิดเห็นที่ 11

    ฉับพลับนั้นเองผมก็ได้ตระหนักถึงความสั่นสะเทือนของพื้นทะเลเบื้องล่าง  ตะกอนขุ่นมัวพวยพุ่งขึ้นมาจากแนวโขดหินใหญ่ทางซ้ายมือพร้อมๆกับร่างที่ผมเห็นว่ายนำอยู่เมื่อสักครู่โผล่พรวดออกมาว่ายรี่เข้ามาหาผม  ผมผงะถอยหลังสาดแสงไฟเข้ากระทบร่างนั้นอย่างชัดเจน

    ร่างของหญิงสาวรูปร่างงดงามนางหนึ่ง ผมสีน้ำตาลยาวถึงเอว  ร่างของเธอมีเพียงสิ่งที่คล้ายๆอาภรณ์สวมอยู่บริเวณอกเท่านั้น  นัยน์ตาสะท้อนแสงไฟเป็นสีเขียวแวววาวประหลาด เธอไม่ได้คาบท่อออกซิเจนแล้วก็ไม่มีถังออกซิเจนติดหลัง ดูราวกับว่าเธอสามารถหายใจในน้ำได้อย่างนั้นแหละ  ที่สำคัญ ผมว่าผมเห็นส่วนขาของเธอเหมือนกับกำลังโบกสะบัดว่ายน้ำอยู่ ส่วนปลายขาดูคล้ายกับครีบของปลาเป็นอย่างยิ่ง แต่ผมเห็นไม่ถนัดนักในภาวะฉุกละหุกเช่นนี้
    เธอว่ายรี่เข้ามาหาผมอย่างรวดเร็ว  ผมได้แต่ยืนตะลึงใต้น้ำทำอะไรไม่ถูก

    แล้วส่วนของแสงไฟที่สาดไปเบื้องหลังเธอก็กระทบกับวัตถุเคลื่อนที่ขนาดใหญ่อีกอย่างที่กำลังเคลื่อนตามเธอมา ผมหันไปจับแสงไฟฉายชัดๆ  สัตว์ประหลาดขนาดใหญ่กว่ารถขนน้ำมันกำลังแหวกว่ายตามเธอมาไม่ห่างนัก  ผมนิ่งนับหนวดยาวรุงรังของมันได้ 8 เส้นก็สรุปได้ทันทีว่าใช่ ต้องใช่แน่ๆ  ผมกำลังเผชิญหน้ากับปลาหมึกยักษ์  รูปร่างของมันเหมือนที่เห็นในหนังไม่มีผิด  แล้วนี่ผมจะทำอย่างไรดี เตายักษ์สำหรับย่างปลาหมึกก็ไม่ได้เอามา
    กำลังคิดหาหนทางแก้ปัญหา  ร่างของสาวน้อยนางนั้นก็ปราดเข้ามาถึงตัวผมแล้วคว้าข้อมือพาผมแหวกว่ายไปด้วยทันที  เธอว่ายได้รวดเร็วมากจนผมไม่อยากจะเชื่อ  นี่ไม่น่าจะเป็นการว่ายของคนได้เลย  เหลือบมองไปที่ขาของเธออีกทีว่าติดเท้ากบอะไรหรือเปล่า ผมก็ต้องตาเหลือกอีกครั้งเมื่อแลเห็นครีบและเกล็ดปลาได้อย่างชัดเจน…

    ผมเผชิญหน้ากับนางเงือกในตำนานซะแล้ว

    แต่สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่ากำลังว่ายตามเราทั้งสองมา ผมหันไปมองดูก็รู้ว่ามันกำลังว่ายตามมาไม่ห่าง หนวดยาวยุ่มย่ามของมันเอื้อมมาเกือบจะคว้าขาของผมได้อยู่แล้ว แต่ความคล่องแคล่วของแม่เงือกสาวทำให้เราทั้งสองแหวกว่ายหลบหลีกไปได้ตามหมู่เกาะปะการัง  มุดไปมุดมาตามแนวโขดหินจนเจ้าปลาหมึกยักษ์ไม่สามารถตามได้ทัน  ครู่หนึ่งผมก็สังเกตเห็นว่าเจ้าปลาหมึกยักษ์ชะงักแล้วแหงนหน้าทำท่าสูดกลิ่นร่อนไปร่อนมาทำท่าเลียนแบบเหมือนรพินทร์ตอนอยู่ในป่าไม่มีผิด
    แล้วมันก็เปลี่ยนทิศทางเลิกตามเรา  หันไปแหวกว่ายพาหนวดยาวยุกยิกเคลื่อนขึ้นไปด้านบนราวกับจับกระแสได้ว่ามีเหยื่ออันโอชะอยู่อีกด้าน  หรือว่ามันจะจับการเคลื่อนไหวของชาวคณะคนอื่นๆที่ตามกันมาเป็นขบวนใหญ่อย่างนั้นได้
    เจ้าปลาหมึกเคลื่อนไปมุ่งหาเหยื่อกลุ่มใหญ่ที่น่าจะจับกินได้ง่ายกว่าในทันที  ดูท่าว่าชาวคณะจะต้องเผชิญกับศึกใหญ่ใต้น้ำกันเสียแล้ว

    ผมกำลังพะว้าพะวงเป็นห่วงเพื่อนร่วมคณะ  แม่เงือกสาวที่ยังคงคว้าข้อมือผมแน่นอยู่ขยับมือเหมือนจะเตือนผมนิดนึง  ไฟฉายของผมยังคงส่องไปยังทิศทางที่เจ้าปลาหมึกยักษ์แหวกว่ายไป  แสงสะท้อนบางส่วนทำให้ผมมองเห็นใบหน้าของนางเงือกที่ก็คือคนเราดีๆนี่เอง แม้ว่าจะไม่ชัดนักเพราะผมไม่ได้ใส่แว่นดำน้ำแต่ก็พอจะจับเค้าได้ถึงโฉมหน้างดงามของเธอ  เธอขยับริมฝีปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่พูด หรือผมจะไม่ได้ยินก็ไม่รู้
    หลังจากผมหายจากงุนงงและรู้ว่าตัวเองไม่ได้ฝันไปเอง  ผมก็ส่งภาษามือถามว่าเธอเป็นใคร มาจากไหน  ท่าทางเธอจะงงๆกับภาษาของผมเพราะผมก็ทำท่าส่งเดชไป  แต่จากสีหน้าและท่าทางฉงนของผมก็คงพอจะทำให้เธอเข้าใจว่าผมสงสัยในที่มาของเธอ  นางเงือกพยักหน้าแล้วดึงมือผมพาแหวกว่ายตรงไปยังหมู่เกาะปะการังใหญ่ด้านหนึ่ง
     
     
     

    จากคุณ : ไชยยันต์ อนันตรัย - [2 ก.ย. 13:13:24] 


 

 


    ความคิดเห็นที่ 12

           นักดำน้ำอุปกรณ์ไม่สมประกอบทั้งหลายจับกลุ่มกันแหวกว่ายลอดใต้กระแสคลื่นลมฝนสู่ใต้ผิวน้ำ    ซึ่งแม้จะเงียบสงบกว่าข้างบนมาก   แต่ความปั่นป่วนของทะเลในระยะเวลาที่ผ่านมาทำให้ทัศนวิสัยใต้น้ำไม่ค่อยจะดีนัก    แม้จะมีหน้ากากดำน้ำก็มองเห็นได้ไม่เกินเจ็ดแปดเมตร    ท้องฟ้ามืดครึ้มด้านบนด้วยเมฆหนาปิดบังแสงอาทิตย์ไม่ให้ส่องลงสู่ท้องทะเลได้    จึงคล้ายว่าทุกคนค่อยๆ คลำทางไปในม่านหมอกสีเทาขุ่นๆ   ออกจากฝั่งมาได้ไม่เท่าไหร่ก็มองไม่เห็นพื้นแล้ว   มีแต่ความมืดสีดำสนิทเบื้องล่าง
          ผมพยายามไม่ดำลงลึกมากนัก  อาศัยแสงสลัวจากเบื้องบนนำทางเพราะไม่มีไฟฉาย   ข้าวของมีไม่พอต้องแบ่งๆ กันไป    มองเห็นนายทหารหายลับไปในม่านน้ำข้างหน้า    ตามด้วยหน่วยกล้าตายคะหยิ่นกับบุญคำ ซึ่งต้องชมเชยในใจที่จัดทีมเวอร์คได้ดีมาก  คือให้คะหยิ่นเป็นเรี่ยวแรง ใส่หน้ากากและตีนกบคนเดียว  ส่วนบุญคำเกาะหลังไปพลางหลับหูหลับตาสวดมนต์ไล่ผีน้ำไปพลางนำขบวนไป  นัยว่าเป็นการเปิดป่าใต้น้ำกันเลยทีเดียว
        นี่เป็นเพราะก่อนลงน้ำมาท่านเจ้าเกาะเล่าเรื่องที่ชาวทะเลแถวนี้ตักเตือนกันไว้หนักหนาว่า   ถ้าหากเจอคนไม่มีถังออกซิเจนอยู่ใต้น้ำ  ทำสัญญาณขอความช่วยเหลือ  เข้ามาขอแบ่งอากาศจากใคร  ให้มองๆ ดูก่อนว่าเป็นพวกคณะเดียวกันหรือเปล่า   เพราะว่ามีนักดำน้ำหลายคน  กำลังดำเพลินๆ อยู่เจอเข้า พอจะแบ่งให้ก็หายวับไปกับตาซะเฉยๆ   เขาว่าเป็นหนุ่มเหน้าสาวทิ้งหรือมีเหตุทุกข์ใจใหญ่หลวงอันใดไม่ทราบได้  เคยดำน้ำอยู่ดีๆ  มีอุปกรณ์ครบก็เกิดไม่ชอบใจ   คาดแต่เข็มขัดตะกั่วถ่วงเอวแล้วโดดตูมดำดิ่งลงไปคนเดียวเฉยๆ   แล้วไม่ขึ้นมาอีกเลย   นัยว่าคอยขอแบ่งอากาศจากนักดำน้ำอื่นๆ ที่ผ่านไปผ่านมา
        ฟังเรื่องมนุษย์ตะกั่วเข้าแล้วพรานเฒ่าบุญคำสั่นเทิ้มๆ ราวกับจะเข้าทรงพร้อมๆ กับคะหยิ่น   ตอนนี้ผมจึงเห็นเขาแรงดีเป็นพิเศษ  ตีเท้าพริ้วราวกับใบหลิวต้องลมนำลิ่วๆ ไม่เหลียวหลัง
        ผมกับเมยานีก็คล้ายๆ กันจำวิธีลุงบุญคำมาใช้  ให้เมยานีเกาะหลังมาแล้วรู้สึกอุ่นใจเป็นพิเศษ  เพราะที่หลังของเธอคาดฉมวกมาด้วย    นายกลางกับลุงหนานอินอยู่ข้างๆ  เราทั้งสองคน  แต่ใช้วิธีวิ่งสามขาสามัคคีใต้น้ำ  คือเกาะสีข้างกันไว้ต่างคนมีตีนกบคนละข้างสลับกันตีดูน่ารักน่าเอ็นดูไปอีกแบบ ถ้าจะตีไปได้สปีดเดียวกันตลอด  แต่นี่บางทีนายกลางก็ช้า  บางทีก็เร็ว  มีผลทำให้เสียสมดุลย์  หันมาโทษหนานอินอยู่บ่อยๆ  กระทุ้งศอกกันไปมาน่าจุกแทน
         ยังไม่ทันไปได้สักเท่าไหร่ผมก็มองเห็นเงาดำประหลาดลอยวูบขึ้นมาจากใต้ทะเลข้างหน้า   พยายามเพ่งมองฝ่าม่านน้ำมัวๆ  ไม่แน่ใจว่ามันเป็นอะไร   แต่สัตว์ที่ตัวใหญ่ขนาดเจ้าเงานี้ในทะเลมีไม่มาก   ฉลาม.. ก็ไม่น่าใช่   มันมักจะมาวนเมียงมองในรัศมีห่างๆ  ก่อน  ถ้ามันคิดว่าเราน่าสนใจก็จะวนรอบๆ  ไม่พุ่งเข้าหาตรงๆ  หรือว่าจะมีใครพกหมูสด ปลาสดมาด้วยเป็นเครื่องล่อ    กะจะโชว์ Shark feeding  เป็นขวัญตาแก่ชาวคณะ
       ปลาวาฬรึ  ก็ไม่ต้องคิดนานเมื่อเงานั้นเคลื่อนใกล้เข้ามาทุกที  คะหยิ่นกับบุญคำยังหลับหูหลับตาว่ายตรงไปข้างหน้าไม่สำเหนียกในอันตราย   ขณะที่คุณชายกลางท่าจะเห็นแล้วเหมือนกันเพราะแย่งหน้ากากจากลุงหนานอินมาใส่ได้พอดี  เห็นชะงักจากกระทะเลาะกันกระทันหัน
        ผมเอื้อมมือไปเบื้องหลัง  บีบต้นแขนค่อนข้างหนัก  แม่เสือสาวก็รู้สัญญาณอันตราย   ฉมวกเหล็กขึ้นลูกพร้อมก็ถูกส่งถึงมือผม   ไม่เคยเห็นสัตว์น้ำอะไรใหญ่เท่านี้   หนวดแต่ละอันที่สยายยาวพุ่งเข้ามาเหมือนจะรวบพวกเราเข้าไว้ในร่างแหของมันแต่ละอันขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเท่ายางรถสิบล้อ   คลื่นใต้น้ำจากแรงพุ่งตัวเข้ามาของมันกระทบผมจนรู้สึกผงะวูบ
        สังเกตเห็นมันหยุดนิดหนึ่งเหมือนกัน  คล้ายจะคำนวนสถานการณ์และเลือกเหยื่อที่จะลงมือเป็นรายแรก   ไม่ต้องสงสัยเลย  ผมรู้สึกได้จากสัญชาตญาณ   ตัวใหญ่ๆ ว่ายไม่คิดชีวิตไหวๆ อยู่เบื้องหน้า  ไม่มีอาวุธ   ผมมองหาจุดอ่อนของมัน   ฉมวกนี้มีลูกดอกหลายอันก็จริง  แต่ยิงครั้งหนึ่งแล้วใช้เวลากว่าจะขึ้นลูกที่สอง  ไม่ใช่มีแมกกาซีนแบบปืนออโตให้กดอย่างเดียวไปเรื่อยๆ ซะเมื่อไหร่กันล่ะ
             ดวงตาโตกลมสีดำมันวับล้อมรอบด้วยตาขาวเรืองแสงสีเงิน   พริบตาก่อนที่มันจะดีดตัวเข้าตะครุบคะหยิ่น(เหยื่ออันโอชะ)  ปืนฉมวกของผมก็ลั่น   ฟืบเดียวเสียงเบาๆ   แต่บนตาของมันปรากฏลูกดอกสองลูก  เข้ากลางตาดำคะแนนสูงสุดหนึ่งดอก   อีกดอก  จากอีกคนเบื้องล่างของผมปักเข้าขอบตาขาว  จากนั้นผมผงะอีกรอบด้วยแรงพ่นน้ำมหาศาลเพื่อดีดตัวของมัน   พร้อมๆ กับรอบด้านมืดมิดเหมือนตกเข้าไปในหม้อต้มหมึกน้ำดำ
           ไม่รู้ปลาหมึกยักษ์นี่มันจะเจ้าคิดเจ้าแค้นแบบงูรึเปล่านะ  ผมคิดในใจเพราะจะปรึกษาใครตอนนี้ก็ไม่ได้  หวังว่าคงไม่   พ่นหมึกใส่เราแล้วก็หนีไป   ผมคาดว่าคงไม่มีใครเป็นอะไร  ถึงแม้จะได้ยินเสียงร้องอุทานโหยหวนด้วยความตกใจดังมาจากม่านน้ำหมึก  ที่ฟังคุ้นๆ คล้ายจะเคยได้ยินมาหลายหน
     

    จากคุณ : แงซาย - [2 ก.ย. 17:47:00] 


 

 


    ความคิดเห็นที่ 13

    ...
    ปลาหมึกพ่นน้ำหมึกสีดำเข้มเป็นสาย ดีดตัวเองหนีจากไป ทิ้งให้มนุษย์กบจำเป็นต่างมะงุมมะงาหลา ท่ามกลางม่านน้ำหมึกสีเข้ม พลับพลึงสีชมพูได้ยินเสียงอุทานด้วยความตกใจดังแว่ว ๆ แต่ก็ยังนึกไม่ออกเหมือนกันว่าเป็นของผู้ใด มิหนำซ้ำยังพลัดหลงจากแสงโสมและเชษฐาอีก พยายามแหวกว่ายตะเกียกตะกายให้พ้นจากหม้อต้มหมึกดำแห่งให้เร็วที่สุดเท่านั้น ว่ายไปชั่วครู่น้ำหมึกสีดำค่อย ๆ จางลงเรื่อย ๆ จึงหันกลับมามองเพื่อนร่วมคณะ ก็พบว่าคนอื่น ๆ กำลังตามมา โชคดีที่ไชยยันต์ได้ให้หน้ากากดำน้ำไว้ จึงมองทัศนวิสัยรอบข้างได้ค่อนข้างชัดเจน สำรวจดูเพื่อนร่วมคณะ ก็พบว่ารพินทร์หน้ากร้านเกรียมได้เปลี่ยนเป็นดำทะมึน จากพิษของน้ำหมึก ส่วนดารินก็ไม่ต่างกันมาก เพราะปลาหมึกยักษ์ได้พ่นน้ำหมึกในตำแหน่งที่ทั้งคู่หยุดอยู่พอดี   พลับพลึงเลยนึกออกได้ว่าเสียงอุทานที่ได้ยินคือเสียงของดารินนั่นเอง หันมองรอบ ๆ ตัวมองหาแสงโสมด้วยความเป็นห่วงก็พบว่าเชษฐาคอยดูแลเธอเป็นอย่างดี จึงโล่งใจไป ส่วนคนอื่น ๆ ไม่เป็นอะไรกันมาก นอกจากอุปกรณ์ที่แพคไว้อย่างแน่นหนา หลุดหลุ่ยหละหลวมไปบ้าง  ตรวจดูสมาชิกทุกคนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันทุกคนยกเว้นก็แต่ไชยยันต์ ทุกคนได้แต่มองหน้ามองตากันไปมาเพราะ จะพูดปรึกษาอะไรกันก็ไม่ได้ จะใช้ภาษามือก็ไม่สันทัดกันนัก ทุกคนสงสัยตรงกันว่าไชยยันต์ซึ่งลงมาก่อนหน้าจะเป็นอย่างไรบ้าง จะเจอเหตุการณ์เหมือนที่เจอกันเมื่อซักครู่หรือไม่ ทันใดนั้นอนุชาซึ่งแย่งหน้ากากจากหนานอินมาได้ ชี้ไปที่อะไรบางอย่างที่ปลิวไหว ๆ ตามกระแสน้ำ ติดอยู่ที่ประการังเขากวาง แงซายซึ่งอยู่ใกล้ ๆ รีบคว้าสิ่งนั้นมาดูก็พบว่าเป็นชายเสื้อของไชยยันต์ และรพินทร์ก็ตรวจพบร่องรอยเพิ่มเติมคือ แนวประการังที่หักบางส่วน ทำให้คิดกันว่าไชยยันต์จะต้องเจอกับปลาหมึกอย่างแน่นอน แต่จะเป็นอะไรหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่คาดเดาลำบาก รพินทร์จึงส่งสัญญาณให้แงซายผู้ชำนาญ โลกใต้ทะเลแกะรอยตามไปทันที

    แงซายแกะรอยตามไปเรื่อย ๆ แต่ไม่ว่าจะเป็นแงซายหรือใครอื่นก็สามารถแกะรอยไปได้โดยง่าย เพราะรอยเท้าบนผืนทรายที่ปรากฎไปตลอดทาง จะยกเว้นก็แต่เพียง ช่วงไหนที่มีปะการังหรือแถบที่มีหอยเม่นเยอะ ก็ไม่มีรอยเท้าปรากฎแต่ก็ไม่ยากเกินกว่าที่จะติดตามไปได้  จนในที่สุดก็บรรลุถึงสถานที่แห่งหนึ่ง และสิ่งที่ทุกคนได้เห็นนั้นชวนให้ขนหัวลุกเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือภาพของไชยยันต์กับตัวอะไรบางอย่างกำลังหยอกล้อกับตัวประหลาดที่มีสาหร่ายปกคลุมส่วนหัวยาวเหยียดถึงกลางหลังอย่างมีความสุข แม้ว่าทุกคนจะเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าไชยยันต์จะรู้ตัวแม้แต่น้อย... เกิดอะไรขึ้นกับไชยยันต์ !!! 

    จากคุณ : พลับพลึงสีชมพู (Login)  - [4 ก.ย. 13:20:41] 


 

 


    ความคิดเห็นที่ 14

    ...
    ตัวประหลาดที่ได้เห็นกันนั้น มีท่อนล่าง มีเกล็ด มีครีบหาง เหมือนปลาไม่มีผิด ส่วนท่อนบนนั้นก็เหมือนมนุษย์ แต่ก็เป็นมนุษย์ที่อัปลักษณ์ยิ่งนัก ผิวหนังสีขาวซีด ยับย่น สิ่งที่ปกคลุมบนศรีษะ มองไกล ๆ เหมือนสาหร่ายสีเขียวเหลือบน้ำเงินนั้นที่แท้ก็คือเส้นผม จมูกแบนราบ ริมฝีปากหนาสีดำคล้ำ สิ่งที่ดูดีที่สุดก็คือนัยน์ตาสีเขียวใส ราวกับใส่คอนแทคเลนส์สีสวยก็ไม่ปาน  เสียงบรรดาพรานพื้นเมืองอุทานมาเซ็งแซ่ว่า เงือก เงือก แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าอยู่ในน้ำมิได้อยู่บนบกก็ต้องรีบคว้ากับท่อออกซิเจนเป็นพัลวัล  พลับพลึงก็คิดว่าใช่เงือก เคยเห็นก็แต่เงือกสวย ๆ(ในรูป) แล้วทำไมเงือกที่ได้เห็นในครั้งนี้อัปลักษณ์นัก  หรือจะคนละสปีซี่กัน

    เมื่อเงือกตัวนั้น หันมาเห็นกลุ่มมนุษย์ผู้บุกรุก ก็ตะโกนร้องออกมา แม้แต่แงซาย ซึ่งสามารถใช้ภาษาโบราณด้วยความแคล่วคล่อง  ก็ยังไม่เข้าใจว่าเงือกอัปลักษณ์กล่าวสิ่งใดออกมา หลังจากเสียงตะโกนร้องของเงือกอัปลักษณ์ มีเงือกตัวอื่น ๆ ซึ่งรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับเงือกตัวแรกโผล่มาจากซอกหินปะการังรอบ ๆ บริเวณนั้น  เพ่งมองมายังกลุ่มนักแสวงโชคเป็นจุดเดียวกัน  ไชยยันต์ หันมามองเพื่อนร่วมคณะด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ... ทุกคนเห็นแววตาของไชยยันต์แล้วใจหายวูบ 

    เกิดอะไรขึ้นกับไชยยันต์  ทำไมสายตาที่มองมานั้นราวกับไม่เคยรู้จักกันมาก่อนอย่างนั้น แล้วหมู่เงือกกลุ่มนั้น ทำไมช่างอัปลักษณ์นัก มีการผ่าเหล่าผ่ากอจากเงือกในตำนานมาได้อย่างไร.... 

    จากคุณ : พลับพลึงสีชมพู (Login)  - [8 ก.ย. 08:29:30] 


 

 


    ความคิดเห็นที่ 15

    เงือกสาวน้อยร้อยชั่งแย้มยิ้มกับผม
    “ท่านผู้กล้าหาญ เราขอต้อนรับท่านสู่ดินแดนของเรา…พวกเราทราบความต้องการและจุดหมายปลายทางของพวกท่าน”
    เธอกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแจ่มใสเยือกเย็นแต่ทว่าปากเธอมิได้ขยับเลยแม้สักนิด ผมจับกระแสคำพูดของเธอได้ด้วยจิต!

    ผมไม่ได้ตอบอะไรเพราะตอบไม่ได้เนื่องจากอยู่ใต้น้ำ  เงือกหลายตนเริ่มโผล่ออกมาจากซอกหลืบของหินและปะการังเสมือนออกมาทักทาย  ความคิดผมเริ่มวกวนสับสนงุนงงปนพิศวงและทึ่งในคราวเดียวกัน เงือกน้อยยิ้มเล็กน้อย
    “ไม่ใช่หรอกท่าน…ท่านอย่าเข้าใจผิดว่าพวกเราเป็นปิศาจเลย”
    เสียงก้องกังวานของเธอดังเข้ามาในโสตประสาทของผม นี่เธอจับกระแสความคิดของผมได้ด้วยหรือนี่  ผมรู้สึกเหมือนกับมีใครกลุ่มใหญ่กำลังตามมา  หันไปดูก็เห็นแต่ฝูงปลาการ์ตูนและม้าน้ำหลายตัวที่แห่กันมาลอยตัวมองดูอยู่ห่างๆอย่างชอบกล  แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก

    “เราลืมบอกกับท่านไปว่าดินแดนนี้เป็นดินแดนพิเศษ ใครก็ตามที่เข้ามาในบริเวณนี้จะไม่สามารถปกปิดความในใจใดๆได้เลย สิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจจะเปิดเผยออกมาในรูปของภาพที่คนผู้นั้นมองเห็น…นั่นหมายความว่าหากเขาคิดดี มองโลกในแง่ดีแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจะสวยงาม สร้างสรรค์และเจริญหูเจริญตาเป็นอย่างยิ่ง…ในทางตรงข้าม หากผู้ใดจิตใจอำมหิต โหดร้าย ชอบมองโลกในแง่ร้ายแล้วไซร้  ไม่ว่าอะไรก็ตามคนผู้นั้นก็จะเห็นว่าเป็นสิ่งชั่วร้าย น่าเกลียด อัปลักษณ์ไปหมด”

    เสียงอ่อนหวานเยือกเย็นยังคงดังก้องในโสตประสาทของผม  เธอหยุดไปนิดนึงแล้วกรีดนิ้วเรียวชี้ไปที่กลุ่มปลาการ์ตูนเหล่านั้น
    “เราจับกระแสความคิดของท่านได้…ปลาที่ท่านเห็นเหล่านั้นแท้จริงแล้วคือเพื่อนๆของท่านนั่นเอง…ท่านมองพวกเขาด้วยความรักและไมตรีจิต จึงเห็นพวกเขาสวยงาม น่ารัก…ภาพที่ท่านเห็นที่นี่ย่อมบ่งบอกความรู้สึกที่ท่านมีต่อพวกเขาได้…แต่ท่านมิต้องกังวลไปว่าจะเห็นอย่างนี้ไปตลอดเวลา…หากเมื่อใดที่ท่านเพ่งมองพวกเขาด้วยความพินิจพิเคราะห์จริงๆ ภาพที่แท้จริงของพวกเขาก็จะกลับมาสู่สายตาของท่านเอง”

    ผมหันไปพินิจพิจารณาปลาการ์ตูนและม้าน้ำเหล่านั้น  พริบตาเดียวภาพของฝูงปลาการ์ตูนและม้าน้ำก็กลายเป็นกลุ่มของเชษฐาที่ตามหลังผมมานั่นเอง  ผมยิ้มออกมาได้ แต่ทว่าก็ต้องงุนงงอีกครั้งเมื่อเห็นสายตาของพรรคพวกบางคนมองผมด้วยความเป็นห่วง โดยเฉพาะยายพลับพลึงทำตาโตราวกับเห็นตัวประหลาดอยู่แถวนี้

    “ท่านอย่างุนงงสงสัยไปเลย เพื่อนของท่านบางคนกำลังเข้าใจว่าเราและพวกของเราเป็นพรายน้ำ ด้วยความคิดที่มีอคติและมองโลกในแง่ร้ายของเขาเอง…ความจริงแล้วเราต้องการไปกับท่าน ไปส่งท่านยังดินแดนของเกาะที่สอง แต่ทว่าเพื่อนๆของท่านมีอคติต่อเราและรังเกียจเราอยู่ลึกๆในใจ เราจึงไม่สามารถร่วมทางไปกับพวกท่านได้…ดังนั้นท่านจงไปเถิด กลับไปหาเพื่อนๆของท่าน  และจงดำน้ำไปในทิศทางนี้ ท่านก็จะค้นพบจุดหมายของท่านเองในไม่ช้า…ขอความโชคดีมีชัยจงเป็นของพวกท่านทุกคน…บ๊ายบาย”

    เงือกสาวพูดพลางโบกมือร่ำลาแล้วค่อยๆผละห่างจากผมไป ผมโบกมือตอบ แล้วร่างของเหล่าบรรดาเงือกทั้งหลายก็หลบหายไปท่ามกลางหมู่สาหร่ายปะการัง

    ผมพุ่งตัวกลับมาหาพรรคพวกอีกครั้ง  ทุกคนที่เพ่งมองดูพฤติกรรมของผมอยู่ต่างรีบว่ายเข้ามาหา แล้วส่งสัญญาณมือเป็นทำนองสอบถามว่าเป็นอย่างไร  ผมส่งสัญญาณมือตอบชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปอย่างส่งเดช  พวกนั้นเกาศีรษะยิกๆแล้วเลิกถาม หันไปช่วยกันฉายไฟดูลู่ทางต่อไป  ผมรู้เส้นทางอยู่แล้วตามที่เงือกสาวบอก จึงชี้ไปยังทิศทางนั้น ส่งสัญญาณให้ทุกคนตามมาก่อนที่จะพุ่งตัวนำไปก่อน

    พวกเราดำน้ำผลุบๆโผล่ๆกันไปได้เรื่อยๆเพราะถนัดกันอยู่แล้ว  จวบจนมาถึงดินแดนเกาะที่สองของหมู่เกาะลีออง  เท้าของพวกเราสัมผัสผืนทรายที่ค่อยๆลาดขึ้น  พวกเราถอดท่อออกซิเจนจากปากแล้วโผล่หัวขึ้นมาเหนือน้ำสูดอากาศบริสุทธิ์ริมทะเลกันอย่างเต็มที่
    ภาพแรกที่พวกเราเห็นเมื่อโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำก็คือผืนทรายสีขาวสะอาดยาวไปสุดลูกหูลูกตา ต้นมะพร้าวประหลาดที่มีผลเป็นสี่เหลี่ยมขึ้นกันอยู่ดาษดื่นริมหาดนั้น  ผมรีบวิ่งลุยน้ำตรงไปที่ต้นมะพร้าวเหลี่ยมก่อนเพราะหิวน้ำเหลือเกิน กระติกที่มีติดตัวบัดนี้มีน้ำทะเลเข้าไปปนอยู่จนดื่มไม่ได้เสียแล้ว
     

    จากคุณ : ไชยยันต์ อนันตรัย - [8 ก.ย. 22:04:08] 


 

 


    ความคิดเห็นที่ 16

    แล้วพวกเราก็ต้องชะงักเมื่อเหลือบไปเห็นเรือใหญ่ลำหนึ่งจอดทอดสมออยู่บริเวณน้ำลึก ไกลออกไปทางด้านหนึ่งของหาด นั่นมันทำให้พวกเราลืมเรื่องน้ำไปชั่วขณะ  เพราะความหวังที่จะได้เดินทางต่อเริ่มสดใสแล้ว

    “วู้…ไชโย  ดีใจจังเลยวุ้ยไม่ต้องมาเป็นลิงติดเกาะแล้ว”
    เสียงเจ้าคะหยิ่นแหกปากตะโกนลั่นหาดแล้วรีบวิ่งนำพรรคพวกไปทันที  ผมวิ่งเหยาะๆตามไปพลางสังเกตดูเรือลำนั้น   มันลอยลำอยู่นิ่งไม่มีวี่แววของคนอยู่บริเวณนั้นราวกับเป็นเรือร้าง

    เจ้าคะหยิ่นที่วิ่งไปถึงเรือก่อนรีบกระโดดขึ้นเรือยางที่ลอยอยู่ที่หาดหลายลำราวกับเตรียมไว้ต้อนรับพวกเราอยู่แล้ว  พรรคพวกต่างกระหายต้องการรู้สภาพของเรือ หากมีเจ้าของจะได้ติดต่อขอซื้อ แต่หากไร้เจ้าของแล้วไซร้ก็จะได้ยึดแล้วใช้เดินทางต่อไป  ทุกคนจึงกระโดดขึ้นเรือยางกันอย่างรวดเร็ว  ผมจำต้องตกกระไดพลอยโจนกระโดดขึ้นไปด้วย

    พวกเรามาถึงเรือใหญ่อย่างรวดเร็วแล้วปีนขึ้นกันเป็นแถวราวกับมดอพยพ  เจ้าคะหยิ่นที่ขึ้นไปถึงบนเรือได้ก่อนรีบวิ่งเข้าไปสำรวจคนแรกทันที  พรรคพวกต่างทยอยตามกันมาเป็นลำดับ

    “เจี๊ยก!!”

    เสียงคะหยิ่นอุทานออกมาทำให้พวกเราชะงัก ตกตะลึงพรึงเพริดกันไปหมด  หลายคนตะโกนสอบถามกันเซ็งแซ่ว่าเกิดอะไรขึ้น  เจ้าอดีตนายบ้านหล่มช้างวิ่งแน่บออกมาจากในห้องบังคับการของเรือ

    “ผีหลอก!!!”    คะหยิ่นแหกปากลั่นทะเล

    ทุกคนใจหายวูบ  ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่าเจ้าคะหยิ่นกลัวผียังกับอะไรดี อาจจะตาฝาดเห็นผ้าเช็ดตัวหรือผ้าขาวม้าเป็นผีไป แต่พวกเราก็อดใจหายไม่ได้เพราะสภาพเรือหนึ่ง บรรยากาศเงียบวังเวงอีกหนึ่ง มันชวนให้ขนหัวลุกยังไงไม่รู้

    “ผีที่ไหนวะคะหยิ่น”   อนุชาแข็งใจตะโกนถาม
    คะหยิ่นหน้าตื่นวิ่งเข้ามากอดขาคุณชายกลางแน่น หน้าซีดเหงื่อแตกพลั่กตัวสั่นงันงก
    “ผะ…ผะ…ผะผีจริงๆ นาย…มะ…มะ มันอยู่ในห้องนั้นน่ะ”
    เจ้าคะหยิ่นหลับหูหลับตาชี้เข้าไปในห้องบังคับการเรือ  บุญคำหมอผีประจำคณะรีบก้าวออกมาหลังจากพยายามแหวกซีนอยู่นานเพราะโดนอนุชาบัง
    “ไหน…พาพวกเราไปดูซิคะหยิ่น  ผีอะไร หน้าตาเป็นยังไง”

    เจ้าคะหยิ่นสั่นหัวดิก  หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่มีทางที่คะหยิ่นจะเยี่ยมกรายไปแถวนั้นอีก  ผมรีบหันไปปรึกษารพินทร์ซึ่งยืนอู้มานานไม่ยอมพูดหรือแสดงความเห็นอะไร
    “เอายังไงดีรพินทร์…ผมว่าท่ามันจะยังไงๆซะแล้วแฮะ”
    พรานใหญ่สีหน้ากร้านเกรียมเหมือนเดิม เงยหน้าขึ้นมองทะเลเงียบเหงาที่ไม่มีคลื่นอย่างชอบกล  นัยน์ตาสีเหล็กหรี่ลงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงชาเย็น
    “คุณไชยยันต์จะเอายังไงก็ตามใจครับ”   จอมพรานตอบหน้าตาเฉย

    ผมยกมือกุมขมับ  ครู่หนึ่งก็หันไปทางแงซาย
    “แกไปกับฉันแงซาย…ในคณะของเราฉันคิดว่าแกกลัวผีน้อยที่สุด”
    แงซายยิ้มด้วยมุมปาก
    “นายทหารนำไปสิครับ”  หมอนั่นพูดชัดถ้อยชัดคำแล้วรีบมาเกาะหลังผม

    ผมถอนหายใจ แล้วเดินนำไป  แงซายรีบเกาะติดไป  เชษฐารีบเดินตามไปโดยมีอนุชาลากรพินทร์ตามไปด้วย ต่างเกาะหลังกันเป็นทอดๆราวกับเล่นงูกินหาง  ส่วนที่เหลือต่างสมัครใจยืนดูกันอยู่ข้างนอกสว่างๆดีกว่า
     

    จากคุณ : ไชยยันต์ อนันตรัย - [8 ก.ย. 22:06:12] 


 

 


    ความคิดเห็นที่ 17

    ภายในห้องบังคับการเรือมืดสลัว ทึบและอับราวกับไม่มีคนอยู่มานาน  ข้าวของเครื่องใช้เก่าคร่ำคร่าขึ้นสนิม  ผมเอาปืนไนโตรเอ็กซเปรสที่ล้วงจากเป้กันน้ำออกมาประกอบเมื่อกี้กวาดหยากไย่ตามเส้นทางเดินพลางฉายไฟเดินนำไปเรื่อยๆ
    ภาพของโต๊ะเก้าอี้และสิ่งของกลิ้งระเกะระกะเหมือนขาดคนเอาใจใส่มานาน
    ไม่เห็นมีผีหรืออะไรที่มีลักษณะอย่างนั้นอยู่ในห้องเหมือนเจ้าคะหยิ่นบอกเลย  เจ้าหมอนั่นตาฝาดไปแน่ๆ  พวกเราสำรวจสภาพอุปกรณ์เดินเรือ ทุกอย่างอยู่ในสภาพดีพอใช้  อาจจะฝืดบ้างเหมือนกับไม่ได้ใช้งานมานานหลายปี

    กำลังสำรวจกันเพลินๆ อนุชาก็ร้องกรี๊ดลั่น  พวกเราหันไปดูก็เห็นนายกลางสะบัดขา  มีมือของใครก็ไม่รู้โผล่ออกมาจากตู้เก็บของที่เป็นไม้ผุๆ  จับที่ขาเขาแน่น  อนุชาสะบัดบ้างดึงบ้างถีบบ้างแต่มือประหลาดก็ไม่ยอมปล่อย  หนำซ้ำยังมีหัวของเจ้าของมือโผล่ออกมาจากตู้นั้น  ใบหน้าของมันถ:-)ทึงดูก็รู้ว่าเป็นผีดิบดีๆนี่เอง  มันเหลือบมองขึ้นมาแล้วแสยะแยกเขี้ยว

    เท่านั้นเองพวกเราก็แตกฮือ  ต่างถอยหลังไปชิดฝาผนังด้วยความตกใจคาดไม่ถึง  ผีดิบทำท่าจะงับขาอนุชาแต่นายกลางหลับหูหลับตาเตะหัวนั้นด้วยเท้าอีกข้างเต็มแรงจนหัวมันหลุดกลิ้งหลุนๆออกไปนอกประตู  เสียงพรรคพวกข้างนอกร้องกันกรี๊ดกร๊าด ต่างแตกฮือ บ้างกระโจนลงทะเล บ้างปีนขึ้นดาดฟ้า   อนุชาดึงขาของเขาเต็มแรงจนเสียหลักหงายหลังล้มกลิ้ง นึกว่าหลุดออกมาแล้วแต่ทว่ามือผีดันหลุดติดมาด้วย และยังคงจับขาของเขาแน่นไม่ยอมปล่อย  นายกลางร้องลั่นวิ่งออกจากห้องหาคนช่วย  พามือผีที่เกาะติดขาวิ่งห้อยร่องแร่งไปทางไหนพรรคพวกก็แตกฮือหนีกันหมด
    ส่วนร่างของผีดิบที่ไม่มีหัวและแขนหายไปข้างหนึ่งลุกขึ้นเดินโงนเงนเข้ามาทางพวกผมที่ยืนตัวลีบติดผนังกันอยู่  ผมตวัดปืนไนโตรฯขึ้นมาอย่างรวดเร็วด้วยสัญชาตญาณแล้วยิงโดยไม่ต้องเล็งเพราะจวนตัวเหลือเกิน  เสียงไรเฟิลขนาดหนักแผดคำรามลั่น เรือทั้งลำสะเทือนไปหมด  ร่างของผีดิบหักกลางแทบจะแยกเป็นสองส่วนกระเด็นไปติดผนัง

    แล้วอึดใจเดียวร่างที่ไม่สมประกอบของมันก็ลุกขึ้นมาได้อีก มันกระย่องกระแย่งเข้ามาหาพวกเรา แต่คราวนี้พวกเราไม่ยอมให้มันทำร้ายได้แล้ว  ต่างคนต่างเผ่นหนีออกจากห้องอย่างรวดเร็ว ทางประตูบ้าง หน้าต่างบ้าง สุดแต่ใครจะใกล้ทางไหน แงซายโผล่ออกหน้าต่างแต่ก็ต้องจ๊ะเอ๋กับผีดิบอีกตัวถือขวานขนาดใหญ่ทำท่าเล็งกะจามลงมาที่ศีรษะเขาอยู่แล้ว  รพินทร์กระโดดออกอีกช่องหน้าต่างหนึ่งอย่างสวยงามแต่ก็กระโดดเข้าสู่อ้อมกอดผีดิบอีกตน  มันตั้งท่ารอรับอยู่ข้างนอกแล้ว พอร่างของจอมพรานลอยออกมามันก็รับอย่างแม่นยำแล้วรัดในท่าแบร์ฮัก   ส่วนเชษฐากับผมนั้นชนกันขลุกขลักชิงความได้เปรียบเพื่อแย่งกันออกประตู  ในที่สุดก็หลุดผลัวะออกมาภายนอกพร้อมกัน  หันไปมองดูเพื่อนร่วมคณะต่างวิ่งกันอลหม่านหนีกองทัพผีดิบที่ไม่รู้ออกมากันจากตรงไหน เดินโงนเงนยั้วเยี้ยเต็มเรือไปหมด   พลับพลึงกับแสงโสมกำลังยืนทำท่าร่ายมนตร์เพื่อสกัดเหล่าผีดิบ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเพราะพวกมันฟังไม่รู้เรื่องเนื่องจากเป็นคนละเผ่ากับผีดิบในป่า  ส่วนบุญคำกับหนานอินสองพรานเฒ่าผู้แก่วิชาต่างควักข้าวสารออกมาวิ่งไล่ซัดผีดิบกันนัวเนีย
     

    จากคุณ : ไชยยันต์ อนันตรัย - [8 ก.ย. 22:14:11] 


 

 


    ความคิดเห็นที่ 18

    ภาพประกอบเนื้อเรื่องตอนนี้ 




     

     

    จากคุณ : Leonhart  - [9 ก.ย. 13:10:36] 


 

 


    ความคิดเห็นที่ 19

    อนุชาก่วยแน่บไปได้ซักพักก็เอะใจ นึกขึ้นมาได้ว่ามือผีที่ร่องแร่งยึดขากางเกงเขาไว้มีแต่มือข้างเดียว  มันจะทำอะไรได้
    เขาก็เลยหยุดชะงัก  ก้มลงมองแล้วกระชากมือออกมา  ผ้าที่ขากางเกงหลุดออกมาด้วยชิ้นใหญ่ ตรงหัวเข่า
    อนุชาขว้างมือผีทิ้งไปอย่างหัวเสีย  พึมพำว่า
    " ไอ้บ้าเอ๊ย   ดันมือเหนียว..ดีนะขาดออกไปแค่เนี้ย   ไม่เท่าไหร่  หลุดไปทั้งตัวละตูซวยแน่  เห็นแม่นางไม้เจ้าเก่ามาป้วนเปี้ยนแถวนี้อีกแล้นนน  เดี๋ยวชายกลางก็ขาดทุนอีกร็อก"
    เหลียวกลับไปก็เห็นพรรคพวกวิ่งกันจ้าละหวั่นเหมือนมดแตกรัง   แม้แต่รพินทร์เองก็ดิ้นกระแด่วอยู่ในอ้อมแขนผีตายซาก  ทั้งคนและผีมีสีหน้ากร้านเกรียมตายด้านพอกัน   เห็นแล้วอนุชาก็สงสัยว่าใครน่าจะกลัวใครกันแน่
    ไชยยันต์หลับหูหลับตายิงไนโตรเอกซเปรส อย่างไม่กลัวกระสุนหมด   ยังไงก็ไม่หมดลองเป็นนิยายซะอย่าง ส่วนแงซายก็กระโดดโหยงหลบซ้ายหลบขวารอดไปได้ทุกครั้งเหมือนเล่นกระโดดเชือก
    คนอื่นๆไม่ต้องพูด  ต่างแตกฮือเสียขวัญหมดฟอร์มที่เคยผจญภัยกันมาหลายกระทู้   คงเป็นเพราะรู้ว่าใกล้จะถึงตอนจบแล้วเลยขี้เกียจเล่น
    " คุณชายกลางคะคุณชายกลาง" เมยานีร้องเสียงหลงเรียกเขาแทนที่จะเรียกแงซาย " ทำอะไรซักอย่างดิคะ  อย่าหวังพรานใหญ่นายทหารกับเสด็จพี่เลยค่ะ  ท่าทางจะหมดฟอร์ม"
    อนุชาก็เลยตั้งตัวได้  ยกมือห้ามผีดิบตัวใหญ่ที่ย่างสามขุมออกมา    มันหยุดชะงัก ก้มลงหยิบแขนที่ขาดติดขากางเกงอนุชาขึ้นมาจากพื้นห้องแล้วสวมเข้ากับแขนตามเดิม
    " ฉันไม่วิ่งละนะเปลืองเนื้อที่โหลด    ถามกันดีๆดีกว่าว่าจะเอาอะไร   ถ้าแกจะฆ่าฉัน  ก็ขอให้รู้ว่าพระรองอย่างฉันไม่เคยเป็นเป้าหมาย    ถ้าแกจะเล่นงานก็..โน่น พรานใหญ่  หรือม่ายก็ทหารปืนใหญ่  เค้ามันพระเอกยืนพื้นในตอนนี้"
    ไชยยันต์กับรพินทร์ตาเหลือกเมื่อเห็นทางออกที่สวยงามของอนุชา   ส่วนเจ้าผีดิบมีท่าทีนิยมชมชอบความคิดของอนุชาเต็มที่
    " ดีเหมือนกันนะนาย    คนไหนกินอร่อยกว่า  พวกเราอดมาตั้งหลายพันปีแล้ว หิวจนตาลาย"
    " อือมม์" อนุชาทำท่าคิด  แล้วชี้ไปที่ไชยยันต์ " คนนี้อ้วนพีกว่าเพื่อนน่าจะทำกับข้าวได้หลายอย่าง ทั้งทอด เจียว ผัด ต้ม  เพราะไขมันเยอะ  ส่วนรพินทร์ฉันว่าดีตรงไม่ต้องเสียเวลาตากแห้ง   เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกอยู่แล้ว"
    ดารินร้องโวยวาย (เอ๊ะ น้อย เธอรวมกลุ่มอยู่ด้วยป่ะ  พี่มั่วเอานะ)
    " ว้ายทำไมพี่กลางเล่นบาร์บิคิวรพินทร์ซะยังงี้ละคะ   ถ้าแฟนน้อยถูกผีดิบจับกินแล้วจะเหลืออะไรไปแจมเว็บเพชรพระอุมาที่เค้าจะเปิดใหม่อ่ะคะ     แหมพี่กลางจะให้ตัวเองเหลือรอดไปคนเดียวมันไม่น่ารักมากไปหน่อยเหรอ"
    (คอฟฟี่เบรคครับ ขอตัวไปพิมพ์แปะ  จองที่ไว้ห้ามมาเปลี่ยนเรื่องนะ  อนุชาจะอำลา)
     

    จากคุณ : อนุชา วราฤทธิ์ - [10 ก.ย. 10:27:24] 


 

 


    ความคิดเห็นที่ 20

    รพินทร์ส่งซิกทางสายตาให้อนุชาอย่างรู้เท่าทัน  ดวงหน้ากร้านเกรียมกระด้างเหมือนหนังตากแห้งปรากฏรอยยิ้มชนิดหนึ่งขึ้น ก่อนเขาจะตอบดารินแม่ดอกฟ้าตั้งแต่ภาค ๑ ด้วยเสียงอ่อนโยน
    " ไม่ใช่ยังงั้นครับ คุณหญิงเข้าใจผิด    ผมเชื่อใจว่าคุณชายกลางจะไม่มีวันบาร์บิคิวผมส่งให้เจ้าผีดิบเป็นอันขาด     แต่ถ้าเป็นต้มยำปลากรอบ หรือเนื้อเค็มแดดเดียวอันนี้ผมยังไม่แน่ใจนัก   ขึ้นอยู่กับเมนูในหัวพี่ชายคุณหญิง"
    ดารินสะบัดหลุดจากผีดิบ  โผเข้ากอดพรานใหญ่ร้องไห้กระซิกๆ
    " โธ่ รพินทร์ น้อยอุตส่าห์ตามมาตั้งหลายกระทู้จนจะจบอยู่แล้ว  นึกว่าจะแฮปปี้เอนดิ้ง  คุณจะไปเป็นจานเด็ดซะแล้วเหรอคะ…น้อยไม่ยอม..ยังไงก็ไม่ยอม   ตัวขนาดคุณผอมกะติ๊ดจะพออิ่มได้งัย   มันกินคุณเสร็จตะนี้ก็ถึงคิวพี่ใหญ่ ไชยยันต์แล้วก็น้อย  แล้วจะเหลือซากอะไร เสียแรงเป็นนางเอกเพชรพระอุมา"
    เมื่อเชื่อว่าจะไม่รอดจากเป็นจานเด็ดในตอนจบ  ทำให้ดารินบ้าดีเดือดขึ้นมาทันที  หล่อนกระชากไนโตรเอกซเปรสจากไชยยันต์  ซึ่งตามปกติหล่อนก็ไม่แน่ใจว่าจะแบกมันไหวหรือเปล่า  แต่ในยามฉุกเฉินจะเอาชีวิตรอด  มันก็เบาเหมือนปืนพลาสติคเท่านั้นเองในมือหล่อน
    หล่อนยิงกราดผีดิบที่เดินกางมือเข้ามาขาดเป็นสองท่อน กระเด็นไปปะทะตัวที่สองสามสี่จนสิบล้มรวดเดียวระเนระนาดเหมือนพินโบว์ลิ่ง      อาการบ้าดีเดือดของหล่อนส่งผลระบาดติดต่อรวดเร็วเหมือนโรคฉี่หนู   ทำให้ชาวคณะเพชรพระอุมาที่ทำท่าจะตกเป็นเชลยฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง 
    ต่างคนต่างก็ถลันเข้าไป ฟาดได้ฟาด ยิงได้ยิง  กังฟูได้ก็กังฟู  แม้แต่หนานอินเองก็ลืมสังขารใช้แม่ไม้มวยไทยเข้าอัดผีดิบรายตัว   ทุกคนเริ่มพบว่าเจ้าผีดิบผอมโซพวกนั้นมันอดมาเป็นพันปี   เมื่อบุกประชิดใช้แรงตัวต่อตัว  มนุษย์ที่เพิ่งกินเลี้ยงกับเจ้าเกาะมาอิ่มๆ ก็ได้เปรียบ ย่อยอาหารไปด้วยในตัว
    ทุกคนต่างยิง..ยิง..ยิง  แงซายเองก็แทงฉมวกซ้ำแล้วซ้ำเล่าขนาดลูกเดียวนี่หละก็ใช้ได้ต่อไปเรื่อยเหมือนวีดีโอฉายภาพซ้ำๆๆๆๆ     การต่อสู้อย่างดุเดือดดำเนินต่อไปอีก…เท่าไรไม่รู้ขี้เกียจนับ 
    เอาเป็นว่าในที่สุดผีดิบก็แพ้ไปตามฟอร์มละกันพิมพ์มามากแล้ว   ถูกจับโยนออกจากเรือเป็นเหยื่อฉลาม      ไม่มีใครสนใจเสียงด่าอึงของฉลามที่โวยเข้ามาว่าเนื้อเหนียวเคี้ยวลำบาก
    เรือค่อยๆลอยลำขึ้น สู่ผิวน้ำ   เหมือน The Flying Dutchman  เชษฐาระดมลูกหาบมาเก็บกวาดข้าวของและซากผีดิบโยนออกไปให้หมด     แล้วก็มาชุมนุมกันบนดาดฟ้า
    " ขอบใจนะกลาง" เขาตบบ่าน้องชาย " ไม้เด็ดของนายที่ให้ยัยน้อยคลั่งขึ้นมา เด็ดขาดมาก น้องเชยมันไม่มีวอเตอร์เมดิซีนเท่าไหร่หรอก    ก็ไม่ใช่เพราะน้องสาวเราบ้าดีเดือดยังงี้เหรอถึงเกิดเพชรพระอุมาตั้งสามภาค  อ้าว ทำไมนายไม่พูดปล่อยให้ฉันพล่ามอยู่ได้"
    อนุชาส่ายหน้าเศร้าๆ  ชี้ไปที่ขอบฟ้า  มองเห็นชายหาดสมุย(โผล่มาได้งัยช่างมันเถอะ)ทอดตัวอยู่
    " พี่ใหญ่ที่รัก  อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเราจะไปถึงเกาะสมุย     ผมจะต้องอำลาทุกคนขึ้นฝั่งแล้ว  ไปตามหน้าที่นอกเน็ตของผมไม่มีทางเหนี่ยวรั้งได้     ขอพี่ใหญ่ช่วยส่งผมก่อนถึงฝั่งหน่อยนะ    ผมขอลาทุกคนไว้ ณ ที่นี้     หมดภาระเมื่อไรค่อยเจอกัน"
    ไชยยันต์อ้าปากค้างไม่เชื่อหูตัวเอง     เขาคิดว่าอนุชาลาไปก่อนหน้านี้แล้วซะอีก     จะท้วงว่าขอให้ลาจริงอย่าให้ผิดหวังเหมือนครั้งที่แล้วๆมาก็นึกได้ว่าอย่าพูดเป็นลาง  เดี๋ยวชายกลางเปลี่ยนใจไม่ยอมไป
    " เออ  ขอให้ไปดีนะนาย   ฉันจะเร่งสปีดเรือไปส่งนายเร็วๆให้ถึงฝั่งไม่ทันมืด"
    อนุชายื่นมือส่งให้จับ  แล้วหันไปจับมือลาแงซาย
    "ขอบใจนะไชยยันต์    ฉันรู้สึกเสียดายมากที่จะไม่ได้อยู่ให้แกเผาต่อไปอีก     แต่เกมโอเวอร์แล้ว ทำงัยได้ ขอลาแงซาย เมยานี  หนานอิน คะหยิ่น ลูกหาบและทหารยามทุกคน   ฝากลาพลับพลึง และฝากพลับพลึงลาแม่ลั่นทมอีกต่อหนึ่ง  ส่วนจะฝากแม่ลั่นทมลาใครยังนึกไม่ออก  อ้อ รพินทร์ ไม่ต้องลาเพราะเราคงจะเจอกันอีกนอกเรื่องนี้  อ้อ คนสุดท้ายคือเจ้าไพรวัลย์ อนันตรัยลูกชายของแกที่หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้  ยังคิดถึงเสมอ ไปละนะ   ฉันจะไปสมัครงานเข้าฉากบ้านทรายทองเล่นครั้งที่สองพัน รับบทพระเอก"
    ทุกคนมองอย่างตกตะลึงไปตามๆกัน เมื่ออนุชาโดดลงจากเรือ   ( ไม่หัวทิ่มง่ะ) ก้าวลงลุยน้ำตื้นๆที่ชายหาด  เดินขึ้นสู่เกาะสมุย  แล้วหันมาโบกไม้โบกมือลา  ก่อนจะหันกลับไปโบกมือทักสาวๆบนเกาะนั้นต่อไป
    จบลงอย่างสวยงามสำหรับคุณชายกลาง   เขาได้ป้องกันการถูกเผาไว้แล้วทุกกรณี
    แต่เขาก็อดสังหรณ์ไม่ได้ว่า   เมื่อเปิดเว็บใหม่ เขากับพรรคพวกชุดนี้น่าจะได้เจอกันอีก   อย่าลืมใช้ชื่ออย่างที่ใช้ในนี้ด้วยนะคร้าบจะได้จำกันได้
     
     
     
     

    จากคุณ : อนุชา วราฤทธิ์ - [10 ก.ย. 14:09:56] 


 

 


    ความคิดเห็นที่ 21

          ผมตกตะลึงจริงๆ ที่เหตุการณ์มันเป็นไปได้ถึงเพียงนี้  หันไปมองดูรอบๆ ตัวทุกคนก็ดูเหมือนกับจะตกตะลึงเหมือนๆ กันกับผม  ว่าเรามาถึงเกาะสมุยจิงๆ เหรอเนี่ย   หาดเฉวงขาวยาวเบื้องหน้ากับโรงแรมเซ็นทรัลสมุยยืนตระหง่านท้าสายตาให้ลงมาพิสูจน์  แล้วที่น่าตะลึงที่สุด  ก็คือคุณชายกลางไม่ตีลังกาลงไปขาสั้นอยู่บนหาดได้ยังไง  ก็จากบนเรือ(ลำใหญ่)นี้มันไม่ใช่เตี้ยๆ นะครับ
         ผมขยี้ตาตัวเองสองครั้ง ภาพนั้นก็ไม่เปลี่ยนแปลงไป  นายกลางเดินไปเห็นลิบๆ อยู่ท่ามกลางหมู่สาวๆ และเด็กให้เช่าเจ็ทสกู๊ตเตอร์  เจ็ทสกี  บานาน่า ร่ม เก้าอี้  รวมทั้งพวกขายไก่ย่าง ไข่ปิ้ง  ผ้านุ่ง กางเกงขาก๊วย ก็เข้ารุมทึ้งนายกลางดูดำมืดยังกับปลาปิรันย่ารุมเหยื่อ
        ผู้กองถอนใจเฮือกใหญ่  ดีใจที่ไม่ได้โดดลงไปด้วย   ต่างพากันสงสัยว่าเราข้ามด้ามขวานทองของไทยมาฝั่งนี้ได้งัย    นายทหารตอบความสงสัยของทุกคนได้ด้วยการโวยวายลั่น 
       “อนุชาอย่าเพิ่งไป๊   โธ่ จะไปก็ไม่บอกด้วย ว่าสมบัติส่วนของนายที่จะหาได้นี่จะยกให้ใครหา”   แต่นายทหารคิดช้าไปแล้ว  เรือถอยหลังออกจากฝั่งมาเรื่อยๆ ไม่รู้จะไปไหนกัน
        มีสมุดบันทึกเก่าๆ เล่มหนึ่งอยู่ที่ห้องกัปตัน  ที่นายทหารสงสัยว่าใครขับเรือลำนี้จึงโผล่เข้าไปดู   เจอสมุดปกแดงกระดาษเหลืองเขียนด้วยปากกาหมึกสีเขียวเรืองๆ  ดูรูปแบบขลังๆ คุ้นๆ ตาจึงเอามาเปิดดู 
        ในนั้นเขียนว่า
         “ขอแสดงความยินดีกับผู้กล้า ที่ใช้ความบ้าพิชิตเหล่าผีดิบที่คุ้มครองเรือลำนี้ได้   ฮิ ฮิ  ฮ่า ฮ่า เอิ๊ก…   บัดนี้ท่านทั้งหลายได้เป็นเจ้าของเรืออาถรรพ์พิสดารลำนี้แล้ว  ฮี่ ฮี่  ข้าคือเจ้าของผู้สร้างเรือลำนี้  ไว้เพื่อแสวงหาสมบัติโจรสลัด และไม่สลัด  น้ำข้น น้ำใส น้ำทะเล  น้ำจืด ทั่วทั้งพิภพ  สมบัติอยู่ที่ไหน  เรือลำนี้ไปที่นั่น   อิ๊  อิ๊  ท่านทั้งหลาย  จงตั้งใจอ่านให้ดี   คนที่มีบุญเท่านั้นที่ได้ขึ้นมา  และคนที่มีบุญกว่า จะได้ไปยังถิ่นที่เขาปรารถนา   เพียงแค่จินตนาการไว้ในใจเท่านั้น  โฮ่ โฮ่  ไม่ว่าจะข้ามน้ำ ฟ้า ผ่าเขากี่ลูก  เก๊าะไปถึงได้ราวปาฏิหาริย์  หุ หุ  ซานต้าเทรเชอร์โบ๊ท จะทำตามความหวังในใจของท่าน  เหอ  เหอ   แต่ว่า…”
        หน้ากระดาษขาดไปตรงนี้พอดีเลย   ผู้ชำนาญการอ่านลายแทงทั้งหลายสุมหัวกันเข้ามาพิจารณาอย่างใกล้ชิด 
        ผมว่าคนเขียนบันทึกนี่คงบ้าไปแล้วละครับ  แต่เจ้านายทั้งหลายไม่ฟังผมกันเลย   ต่างใช้กรณีนายกลางที่เห็นเป็นตัวอย่าง เชื่อกันอย่างเป็นตุเป็นตะ  แล้วเริ่มนั่งล้อมวงตั้งสมาธิเพื่อหาขุมทรัพย์ของยายวาชิกาให้เจอให้จงได้ 
        อาจจะเป็นเพราะความคิดแตกแยกของผม ที่ไม่ทำให้ความหวังของทุกคนรวมเป็นหนึ่งเหมือนๆ กัน  หรือว่า  เรือลำนี้จะทำตามความคิดของคนที่แปลกประหลาดไปจากกลุ่มก็ไม่รู้ได้   ผมมัวแต่คิดถึงและเป็นห่วงสมบัติ เอ๊ย  ประชาชนในมรกตนครที่ทิ้งห่างมานานไม่มีใครดูแล  สุสานราชวงศ์ที่เต็มด้วยทอง  เอ๊ย  ทุ่งนาที่คงเต็มด้วยพืชผลของชาวประชา   ผมจะมามัวตามหาสมบัติอยู่ทำไมในเมื่อที่ ‘บ้าน’ ของผม  ผมมีทุกสิ่งทุกอย่างอยู่แล้ว   รอให้ผมกลับไปทำนุบำรุงดูแล   ผมนึกถึงหน้าฝนที่คงกระหน่ำหนัก แล้วงบสร้างระบบระบายน้ำปีที่แล้วผมก้อ…  เอ้อ  ผมหมายถึงว่าผมควรจะรีบวางแผนพัฒนามรกตนครฉบับใหม่เพื่อแก้ไขปัญหาที่ยังมีอยู่ให้หมดสิ้นไปก่อนที่จะมัวแต่คิดหาประโยชน์ใส่ตัวอย่างนักการเมืองที่ดี  เพราะผมไม่ต้องมีพรรค ใหญ่อยู่คนเดียว  แล้วตอนนี้ผมรวยพอที่จะเอาเงินในขุมทรัพย์ส่วนตัวมาแจกหมู่บ้านละล้านเพื่อพลิกชีวิตของเขาก็ได้แล้วนี่ครับ    หลังจากโกยมานานผมควรจะคืนกำไรให้ประชาชนพร้อมกับหาชื่อเสียงเกียรติยศให้ตัวเองไปพร้อมกัน
          เอ๊ะผมชักตกใจตัวเองที่คิดเหมือนคนนอกมรกตนครเข้าไปทุกที   ผมคงจากมานานเกินไป…   ผมจมอยู่กับความคิดเหล่านี้จนเสียงโห่ร้องของทุกคนปลุกผมขึ้นมาจักภวังค์    ฟังๆ ดูแล้วไม่ใช่เสียงโห่ร้องดีใจ  แต่สาปแช่งใครบางคนที่โผล่เข้ามาป่วนคณะอย่างไม่ได้รับเชิญอยู่ตลอดเวลา 
       ตรงหน้าของผมปรากฏถนนสายใหญ่ กว้างเรียบ ยาวตรงหายเข้าไปในหมู่เมฆหมอก ดุจดั่งหนทางสู่สรวงสวรรค์    เส้นทางซึ่งเคยเป็นเส้นทางแห่งความหวังของผมปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว   มีเสียงหัวเราะอย่างดีใจดังมาจากใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ ผม   เมยานีนั่นเอง  สงสัยเธอจะคิดถึงเตียงนุ่มๆ  เสื้อผ้าสะอาดๆ  อาหารอร่อยๆ  เต็มทีแล้วเหมือนกัน
       เฮ้อ  ไม่เข้าใจเหมือนกันน้า  ว่าผมต้องมนต์อะไรถึงต้องลากสังขารมาทรมานทรกรรมกลางทะเลกับทุกคนด้วย  แต่ผมก็ไปด้วยความเต็มใจ  และตลอดทางก็มีความสุขยิ่ง
      เสียงหัวเราะ  ด้วยความสุข  หรือเย้ยหยันใครบางคน  หรือสะใจที่ได้แกล้งคน …
      น้ำตา..  แห่งความเสียใจที่ไม่โดนยำ  หรือยามคิดมุขไม่ออก  (แฮ่ๆ พูดเล่นนะครับ) 
       ตลอดทางจากภาคหนึ่งมายังภาคอินฟินิตี้ในห้องสมุดและถนนนักเขียนนี้  เป็นคราวที่แงซายคนนี้จะไม่มีวันลืม
       ก่อนที่ผมจะตั้งท่ากระโดดลงจากเรือลำงามนี้ไป  ก็ร่ำลาทุกคนแบบภาคหนึ่ง  ลาลุงหนานอิน  ลุงบุญคำ  คะหยิ่น  ลูกหาบทุกคน   ยามกระทู้หนูพลับพลึง  (ฝากลาแม่ลั่นทมด้วยนะจ๊ะ)  คุณแสงโสมแสนสวย   นายทหารที่ยอดเยี่ยมของผม   นายใหญ่และไพรวัลย์ผู้หายต๋อม   นายกลางขวัญใจ(ลืมไปนายกลางโดดลงไปแล้ว)   นายหญิงดาริน   จับมือทำซึ้งอย่างลูกผู้ชายกับผู้กอง รพินทร์ และรพินทร์ ไพรวัลย์   แล้วก้อกับทุกๆ คนที่เคยเข้ามาร่วมสนุกในเพชรพระอุมาภาคพิสดารนี้ด้วย
       ก่อนที่ผมกับเมยานีจะค่อยๆ ปีนลงเรือประหลาดลำนี้ไป  นายหญิงเดินเข้ามาใกล้แล้วแบมือยื่นมาตรงหน้าผม    ผมงงอยู่พักหนึ่งนายหญิงก็เตือนสติให้นึกได้ว่า
       คราวนี้ไม่มีแหวนสำหรับฉันแล้วหรือแงซาย
       ผมเลยตกตะลึงหงายหลังลงไปบนถนนดังพลั่ก    แต่ไม่จุกแฮะ   อ้าว พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เห็นแต่เมยานียืนหัวเราะอยู่ใกล้ๆ   เรือประหลาดลำนั้นหายไปจากสายตาซะแล้ว
       ผมลุกขึ้นยืนเหม่อมองยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะกั้นขอบฟ้าและกาลเวลาตรงหน้าอยู่อีกนาน
          แงซายคงคิดถึงทุกคนมากจริงๆ ครับ…
     

    จากคุณ : แงซาย - [10 ก.ย. 18:01:18] 


 

 


    ความคิดเห็นที่ 22

    สารในขวดแก้วที่ลอยตุ๊บป่องตามเรือไป
    " ขอโทษที่ครับคุณแสงโสม  ลืมลาคุณ   แต่ไม่ลืมคุณ"
    ชายกลาง 

    จากคุณ : อนุชา วราฤทธิ์ - [10 ก.ย. 20:02:12] 


 

 


    ความคิดเห็นที่ 23

    ผมตื่นจากภวังค์ก็ได้พบว่าแงซายหายไปแล้ว  หายไปจากเรือพร้อมๆกับเมยานีและกองทหารองครักษ์หลังจากที่พวกเราส่งอนุชาขึ้นฝั่งเกาะสมุยไป  เรือยอร์ชลำใหญ่ยังคงเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆด้วยอานุภาพของอำนาจอะไรสักอย่างที่ผมเองก็ยังงงๆอยู่  แต่ช่างมันเถอะ ในเมื่อมันพาแงซายไปส่งถึงมรกตนครซึ่งอยู่กลางป่ากลางเขาได้ ผมก็จะไม่แปลกใจเลยหากมันจะพาพวกเราออกนอกโลกไปยังดาวอังคารได้
    แต่จุดมุ่งหมายของพวกเราไม่ใช่ที่นั่นมิใช่หรือ เราต้องการไปยังเกาะดาหาชาดาซึ่งเป็นแหล่งซ่อนทรัพย์สมบัติของป้ามดวาชิกาต่างหาก

    ความคิดคำนึงและความต้องการของพวกเราที่เหลือคงจะตรงกันและแรงกล้าพอดูเนื่องจากเรือวิเศษลำนี้วิ่งฉิวโดยไม่ต้องมีคนขับ หลบซ้ายป่ายขวาลัดเลาะไปตามแนวหินโสโครกแต่ไม่ยักชน
    ผมดูแผนที่ตลอดควบคู่ไปกับมองหาดพิมเดือน แหลมเพชร อ่าวศรีจิตรา ผ่านพื้นที่สองทะเลจนเฉียดเข้าใกล้เทือกเขา G.W. อย่างใจหายใจคว่ำว่าจะชน  จนในที่สุดเรือลำใหญ่ที่บรรทุกขบวนนักผจญภัยและนักแสวงโชคนี้ก็ได้มาหยุดนิ่งสนิทไม่เคลื่อนที่อยู่กลางทะเล  ทุกคนต่างงุนงงที่จู่ๆเรือที่เคยวิ่งฉิวก็กลับมาหยุดเอาซะดื้อๆโดยที่ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะมีหมู่เกาะดาหาชาดาซึ่งเป็นเป้าหมายของพวกเราเลยสักนิด มีแต่ทะเลเวิ้งว้าง

    ผมมองดูแผนที่เปรียบเทียบกับเทือกเขา G.W. และสองทะเลหรือทะเลทั้งสองที่เห็นแยกสีกันเด่นชัด  แล้วก็ต้องตาลุกโพลง เมื่อพบว่าพื้นที่ที่พวกเรามาลอยลำแน่นิ่งอยู่นี่ก็คือจุดที่แผนที่ระบุว่าเป็นหมู่เกาะดาหาชาดานั่นเอง

    “หมู่เกาะทั้งหมดหายไปได้อย่างไรกัน  หรือว่าจะจมลงสู่ก้นทะเลไปแล้ว”
    ผมพึมพำอย่างผิดหวัง  หันไปสบตากับรพินทร์ ไพรวัลย์ซึ่งมองผมอยู่ก่อนแล้ว  จอมพรานยิ้มเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ทำให้ใบหน้ากร้านโลกดูดีขึ้นเท่าไรนัก  ไม่มีความเห็นจากคนชื่อรพินทร์ แม้ว่าพวกเราจะอยู่ในสภาพที่งุนงงและต้องการคำตอบที่แน่ชัด

    “หรือว่าแม่มดวาชิกาหลอกเรา  พวกเราถูกหลอกแหง๋ๆ”   เสียงเจ้าคะหยิ่นโวยวายเพราะชวดสมบัติที่จะเอากลับไปพัฒนาหมู่บ้านหล่มช้างของตน
    “อาจเป็นไปได้…”   เชษฐารีบให้ความเห็นเนื่องจากจะจบอยู่แล้วยังไม่ได้แสดงเต็มๆสักฉาก
    “ยายแม่มดจะต้องตระหนักดีว่าอยู่ในป่าทำอะไรพวกเราไม่ได้เพราะว่าพวกเรารอดจากภัยในป่ามาตลอดตั้งแต่ภาคแรกแล้ว หากเอาเรามาออกทะเลพวกเราอาจจะถึงคราวไปไม่รอดบ้างก็ได้…ยายแม่มดเจ้าเล่ห์นัก”

    พวกเราต่างยังคาดเดาไปต่างๆนานา  แต่สรุปสุดท้ายก็คือไม่มีหมู่เกาะดาหาชาดา  ไม่มีทรัพย์สมบัติ มีแต่ท้องทะเลว่างเปล่า
    ความคิดคำนึงของผมมาสะดุดก็เมื่อคุณแสงโสมมายืนอยู่ตรงหน้า

    “คิดอะไรอยู่หรือคะคุณไชยยันต์  เสียดายทรัพย์สมบัติหรือ…ไม่ต้องเสียดายไปหรอกค่ะ สมบัติเป็นของนอกกาย  แสงเองยังมีทรัพย์สินเก็บไว้ที่บ้านอีกเป็นโกดัง  เดี๋ยวแสงเอามาแบ่งแจกจ่ายให้พวกเราทุกคนแทนก็ได้ อย่าเสียใจไปเลย”
    คุณแสงโสมยังคงมีน้ำใจกับพวกเราแม้ว่าจะเคยเป็นศัตรูกันมาก่อน  ผมนิ่งไปครู่หนึ่งก็ยิ้มเล็กน้อย
    “อ่า…เปล่าหรอกครับคุณแสง…ผมเสียดายที่ว่าพวกเราคงจะต้องถึงเวลาแยกทางจากกันแล้ว”

    แสงโสมเหม่อมองผมนิ่งไป  ในขณะที่ผมก็มองดูเธอ

    “คุณไชยยันต์จะไปไหนคะ”
    “ผมจะไปตามทางของผม…เส้นทางเงียบเหงาของคนโดดเดี่ยว…”  ผมหยุดแล้วยิ้มนิดนึง
    “แต่ไม่ต้องห่วงครับ ถึงแม้ว่าเราจะต้องจากกัน…แต่ในคืนที่อ้างว้างผมจะนึกถึงทุกคน”

    ความเงียบปกคลุมไปทั่ว  ผมเงยหน้ามองดูดวงดาวน้อยใหญ่พร่างพราวบนท้องฟ้าที่ค่อยๆจางหายไป  แสงประหลาดค่อยๆไล่ดวงดาวหายไปทีละดวง
     

    จากคุณ : ไชยยันต์ อนันตรัย (Leonhart)  - [10 ก.ย. 21:50:05] 


 

 


    ความคิดเห็นที่ 24

    ผมละสายตาจากท้องฟ้าลงมาแล้วก็ต้องตกใจแทบหงายหลังเมื่อแลเห็นหอไอเฟ่ลอยู่ตรงหน้า  เรือของพวกเรามาลอยลำอยู่ในสวนสาธารณะใจกลางกรุงปารีส ที่ซึ่งมีแสงสว่างเจิดจ้ายามค่ำคืน  นี่มันมาได้อย่างไร  ต้องมีความคิดคำนึงอันแรงกล้าของใครสักคนที่ผลักดันให้เรือวิเศษลำนี้มาถึงนี่เป็นแน่ แต่ใครกันล่ะที่ต้องการจะมาที่นี่ และมาด้วยเหตุผลอะไร

    “ดาลิ้งค์…ไฮ…สบายดีหรือคะไชยยันต์”

    เสียงคุ้นๆหูดังกระเทือนเข้ามาในโสตประสาท  ผมหันขวับไปมอง  ร่างของหญิงสาวลูกครึ่งเยอรมันฝรั่งเศสยืนโบกมือไหวๆร้องเรียกอยู่ข้างๆเรือ  ใบหน้างามนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก

    “เมย์!…เฮ้ย…เมย์จริงๆด้วย!”

    ผมไม่รู้ว่าร้องอุทานอะไรออกไปบ้าง แต่ที่แน่ๆก็คือรู้สึกตัวว่ากระโดดผลึงจากดาดฟ้าเรือลงไปบนพื้นหญ้าอ่อนนุ่มของสวนสาธารณะแล้วม้วนหน้าไป 2-3 ตลบเพื่อลดแรงกระแทก  ลุกขึ้นมาพอจับทิศทางได้แล้วก็พบว่ามาเรีย อนันตรัย ภรรยาของผมเองวิ่งเข้ามาประคอง
    “ดาหลิง…เป็นยังไงบ้างคะ”

    ผมรู้สึกตื้นตันจริงๆ  จากกันไปนานแสนนานจนผมจำไม่ได้แล้วว่ากี่ปี จำได้แต่เพียงว่าตอนนั้นเธอหนีหายไปพร้อมลูกและผมเสียใจมากจนต้องออกเร่ร่อนไปเป็นไก๊ด์นำฝรั่งเที่ยวไหหลำอยู่พักนึงเพราะไม่มีตังค์เนื่องจากยกให้มาเรียไปหมดแล้ว ก่อนที่ผมจะมาร่วมขบวนนักผจญภัยกลุ่มนี้เพื่อล่าสมบัติหวังที่จะเอาไปสร้างฐานะของตัวเองขึ้นมา
    แต่มาบัดนี้เมย์กลับมาหาผมแล้ว  กลับมาพร้อมๆกับลูกชายสุดที่รัก  เจ้าหนูไพรวัลย์ อนันตรัยซึ่งยังแบเบาะอยู่ในรถเข็นเด็ก ทำให้ผมงุนงงยิ่งนัก แล้วเจ้าหนุ่มไพรวัลย์ที่เดินทางมากับพวกเราล่ะ นั่นก็ลูกชายผมไม่ใช่หรือ ผมรีบหันกลับไปมองบนเรือก็ปรากฏว่าเรือยอร์ชหายสาบสูญไปแล้ว  ผมได้มายืนอยู่ในสวนสาธารณะกลางกรุงปารีสกับภรรยาแสนสวยและลูกชายแสนน่ารัก 

    หลังจากลำดับความคิดอยู่ครู่หนึ่งผมก็เริ่มเข้าใจ  จริงสินะ เจ้าหนุ่มไพรวัลย์ ที่เดินทางร่วมผจญภัยกับพวกเรามาโดยตลอดนั้นเคยบอกกับผมว่าเขามาจากอนาคต  นั่นหมายความว่าปัจจุบันไพรวัลย์ยังเป็นเด็ก และเจ้าหนุ่มนั่นเป็นไพรวัลย์ในโลกอนาคตที่เดินทางกลับมายังปัจจุบัน  ผมรีบพยักหน้าเข้าใจตัวเองก่อนที่จะงงไปมากกว่านี้

    และที่ผมมาถึงยังที่นี่ได้ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก  ลึกๆในจิตใจของผมหวนคิดคำนึงถึงเมย์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และเรือประหลาดนั่นก็คงจะจับความคิดความต้องการที่แรงกล้าของผมได้จึงนำพาพวกเรามาถึงที่นี่ มายังที่ที่เมย์กำลังพาลูกออกมาเดินเล่นพอดี  เรือประหลาดลำนั้นส่งผมและหายลับไป คงจะเดินทางไปส่งคนอื่นๆต่อเป็นแน่  ขอให้ทุกคนโชคดีเถิด ผมมีความสุขมากที่ได้ร่วมผจญภัยกินอยู่หลับนอนท่ามกลางเพื่อนพ้องนักผจญภัยทั้งหลายมาเนิ่นนาน  และผมจะไม่มีวันลืมรพินทร์ ไพรวัลย์ผู้นำขบวนผจญภัยที่มีฝีมือและฝีปากกล้า  อนุชาผู้น่ารักและสนุกสนานแถมยังยอมให้แกล้งแต่โดยดี  คุณแสงโสมผู้สวยงามและเป็นแรงผลักดันให้ผมมาโดยตลอด  หนูพลับพลึงผู้น่ารักและอดทนร่วมทางกันมาไม่ยอมเลิก แงซายคนเก่งผู้มีโวหารคมคายและรับมุขเป็นเลิศ  คุณนางไม้ลั่นทมผู้กล้าได้กล้าเสียและยึดมั่นในอนุชามาโดยตลอด  น้อยหรือหมอดารินผู้น่ารักและมีความพยายามในการปลุกน้องมุขจนหยดสุดท้าย  หนานอินผู้จัดคนเก่งและใจดี  คะหยิ่นผู้น่ารักและมีอารมณ์ขันเสียดายที่ได้ร่วมงานกันน้อยไปหน่อย  คุณสวีตตี้หรือน้องหมูหวานผู้เก่งกล้าวาจาฉะฉานกล้าได้กล้าเสียแถมยังปลอมตัวมาเชียร์บ่อยๆ  น้องปลารอน้ำที่มาเฝ้าเป็นกำลังใจให้ตลอด  เจ้าไพรน้อยหรือไพรวัลย์ผู้มีฝีมือสะท้านบู๊ลิ้มแต่ไปมาไร้ร่องรอย  และที่ลืมมิได้ก็คือผู้อ่านทุกท่านทั้งที่ติดตามมาโดยตลอดและที่ติดตามมาสักพักแล้วเลิกติดตาม ผมจะไม่มีวันลืมทุกๆท่าน  หวังว่าสักวันเราคงได้กลับมาร่วมทางกันอีกครั้ง ลาก่อนครับ  ขอพลังจงอยู่คู่กับท่าน

    ผมหันมาทางภรรยาที่รักของผม
    เคยคิดว่าเราจะต้องพรากจากกันไปตลอดชั่วฟ้าดินสลาย แต่แล้วโชคชะตาก็พลิกผันจนเรากลับมาพบกันอีกจนได้ เธอกล่าวขอโทษขอโพยถึงเรื่องราวที่ผ่านมากับเหตุผลอีกสารพัด แต่ช่างมันเถอะแค่ผมได้พบเธออีกครั้งและเราจะได้อยู่ร่วมกันอีกผมก็พอใจแล้ว

    ผมเข็นรถของเจ้าหนูไพรวัลย์เคียงคู่กับเมย์ไปตามถนนในสวนสาธารณะซึ่งมีแสงไฟริมทางสว่างงาม  คงเหลือแต่เพียงเงาของเราสองคนที่ทอดยาวมาเคียงคู่กัน
     

    จากคุณ : ไชยยันต์ อนันตรัย (Leonhart)  - [10 ก.ย. 21:51:08] 


 

 


    ความคิดเห็นที่ 25

    หลังจากไปส่งไชยยันต์ที่ใจกลางกรุงปารีสเรียบร้อยแล้ว   เรือยอร์ชลำงาม ยังคงมาลอยลำอยู่ ณ ตำแหน่งเดิม บริเวณหมู่เกาะดาหาชาดา ที่แม้แต่ขณะนี้ทุกคนก็ยังมองไม่เห็นหมู่เกาะเช่นเดิม  เหมือนกับเกาะทั้งเกาะจมหายอยู่ก้นทะเลไปแล้ว   ทั้ง ๆ ที่ในขณะนี้กระแสลมและคลื่นค่อนข้างแรง แต่เรือยังคงหยุดนิ่งสนิทอยู่กับที่อย่างนั้นไม่เคลื่อนไปไหนอีกราวกับถูกทอดสมอไว้อย่างดี  มองออกไปนอกเรือเห็นแต่ผืนน้ำทะเลสีครามเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา ไปจรดขอบฟ้า  ปลาบิน (ชื่อปลาอะไรจำไม่ได้นะคะ เคยเห็นสวยดี) โดดแผล็ว ๆ อยู่เหนือน้ำ  ในขณะที่ปลาโลมาสองตัวว่ายเคียงคู่หยอกล้อกันมาอยู่ใกล้ ๆ เรือ  นกนางนวลบินฉวัดเฉวียนอยู่บนท้องฟ้า

    บัดนี้บนเรือมีชาวคณะเหลืออยู่เพียง 9 คน (เลขสวยมาก)  รพินทร์   ดาริน  เชษฐา  แสงโสม  พลับพลึง  ไพรวัลย์  สวีทตี้   หนานอิน  และคะหยิ่น   ทุกคนบนเรือมองหน้ากันอย่างสับสนและงุนงง  คะหยิ่นยังคงโวยวายต่อ

    "นายใหญ่  เอาอีกแล้ว เรือมาหยุดอยู่ที่นี่อีกแล้ว  ยายแม่มดวาชิกาจะเอายังไงกับเราแน่  ให้ไปไหนก็ไม่ไปมาหยุดอยู่ที่นี่ทำไม  หรือจะให้เราอดตายกันกลางทะเลหรือไงนาย"

    หนานอินเอื้อมมือไปตบไหล่คะหยิ่นหนัก ๆ ให้สงบปากสงบคำ  ในขณะที่เชษฐา  พี่ใหญ่ผู้ซึ่งขรึมเฉยและสงบนิ่งมาโดยตลอดหันหน้าไปทางรพินทร์พร้อมกับเอ่ยถามเสียงเบาต่ำ

    "รพินทร์  คุณมีความเห็นยังไงบ้าง ตอนนี้เราควรจะทำยังไงดี หรือว่าแม่มดวาชิกาหลอกให้เรามาตายที่นี่กันจริง ๆ" 

    รพินทร์ยืนกอดอกไม่ตอบแต่อมยิ้มเล็ก ๆ พิมพ์เดียวกับรอยยิ้มของโมนาลิซ่าด้วยมาด (ที่คิดว่า) เท่ ซึ่งขัดกับสีหน้าอันตายด้านเป็นอย่างยิ่ง พร้อมกับโคลงศีรษะไปมาเล็กน้อยเหมือนตัวแสดงขุนนางในหนังจีน ส่งผลให้ดารินที่ยืนมองดูอยู่เกิดความหมั่นไส้ ผลักอย่างแรงจนเซไป

    "นี่ อย่ามาทำเก๊กท่ามากนักเลยน่ะ นายพราน  คุณรู้อะไรดี ๆ อยู่ก็บอกคนอื่นเค้าไปซิ มีอะไรจะได้รีบแก้ไขกันทัน  ฉันจำได้นะ ตอนที่เราอยู่บนหาดเดอะวกน่ะหนูพลับพลึงมาเล่าให้ฟังว่าลุงแก่คนที่เล่าตำนานหมู่เกาะดาหาชาดาให้ฟังบอกว่าคุณรู้ความลับเกี่ยวกับเกาะนี้ไม่ใช่เหรอ  เฉลยออกมาซะทีซิ ทำนิ่งเฉยอยู่ได้"

    รพินทร์สุดที่จะเก๊กท่าต่อไปได้  แต่ยังคงวางมาดพระเอกกวาดสายตาไปยังทุกใบหน้าที่จ้องมองตนเองอยู่ ดวงตาที่มีแววยิ้ม ๆ ของรพินทร์ไปหยุดนิ่งอยู่ที่แสงโสมที่ยืนอยู่เคียงข้างเชษฐาเนิ่นนานเหมือนจะมีอะไรบางอย่างจนดารินเริ่มจะไม่พอใจ  หลังจากนั้น รพินทร์ก็ถอนสายตากลับ พร้อมกับกล่าวตอบด้วยท่าทีและแววตาแจ่มใสผิดปกติ 

    จากคุณ : แสงโสม - [11 ก.ย. 18:43:42] 


 

 


    ความคิดเห็นที่ 26

    "คุณหญิงและทุกท่านครับ  ผมยอมรับว่าผมรู้ความลับของเกาะดาหาชาดานี้จริง  และบัดนี้ ก็ถึงเวลาอันควรแล้วที่ผมจะเปิดเผยความลับนั้นให้ทุกท่านได้ทราบพร้อม ๆ กัน  ทุกท่านกำลังสงสัยใช่ไหมครับ ว่าทำไมเรือถึงมาหยุดนิ่งอยู่ตรงนี้ ไม่ขยับไปไหน   แต่ก่อนที่จะสงสัยตรงนี้ ผมขอให้ทุกท่านหวนกลับไปนึกทบทวนถึงสมุดบันทึกเก่า ๆ ที่แงซายเป็นคนนำมาอ่านให้ทุกท่านฟังนะครับ  ข้อความตรงที่ว่า ….บัดนี้ ท่านทั้งหลายได้เป็นเจ้าของเรืออาถรรพ์พิสดารลำนี้แล้ว…..คนที่มีบุญเท่านั้นที่ได้ขึ้นมา และคนที่มีบุญกว่า จะได้ไปยังถิ่นที่เขาปรารถนา …..และข้อความไปขาดหายตรง แต่ว่า…. ทุกท่านคงจำกันได้นะครับข้อความพวกนี้"

    "จำได้ซิคะ ลุงรพินทร์  แล้วลุงจะมาเล่าซ้ำซากให้ฟังอยู่ทำไมอีกล่ะคะ"  พลับพลึงเอ่ยตอบเสียงใสออกมา ในขณะที่สวีทตี้ก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย

    "หนูพลับพลึง ลุงจะบอกต่อให้ฟังนะ คือว่าขณะนี้ ถิ่นที่พวกเราปรารถนาก็คือขุมสมบัติที่อยู่บนเกาะดาหาชาดานี้ใช่มั๊ยล่ะ  เพราะฉะนั้น เมื่อเราปรารถนาสมบัติเราก็ได้มาอยู่ ณ แหล่งที่สมบัติตั้งอยู่แล้วนะซิ  ทุกท่านโปรดทราบไว้ด้วยนะครับ บัดนี้ เรามาอยู่ในตำแหน่งที่มีสมบัติของหมู่เกาะดาหาชาดากันแล้ว"

    "รพินทร์  ผมสงสัยนะว่า เรามาอยู่ตรงแหล่งที่สมบัติตั้งอยู่ได้ยังไง ในเมื่อตรงนี้เป็นทะเล  หรือจะให้พวกเราดำน้ำลงไปงมสมบัติกันหรือไง  ไม่น่าจะใช่นะ ทะเลลึกขนาดนี้ ดำลงไปเราคงตายก่อนที่จะได้สมบัติขึ้นมาแน่ ๆ  แล้วอีกอย่างแม่มดวาชิกาบอกว่าสมบัติอยู่บนเกาะนี่นา  แล้วตอนนี้เกาะที่ว่าเราก็ยังมองไม่เห็นกันเลยมีแต่ทะเลกับท้องฟ้าเท่านั้นที่เราเห็นอยู่ตอนนี้น่ะ"

    เชษฐาเอ่ยถามอย่างคลางแคลงใจในคำตอบของรพินทร์   ทุกคนมองรพินทร์เป็นตาเดียวด้วยความฉงนว่ารพินทร์กำลังหลอกชาวคณะเล่นหรือเปล่า
    รพินทร์หัวเราะพร้อมกับโคลงศีรษะไปมาด้วยมาดเท่  และเอ่ยคำยืนยันอย่างหนักแน่นออกมาเพื่อให้ทุกคนสบายใจ

    "คุณชายใหญ่และทุกท่านครับ  การเดินทางที่ผ่าน ๆ มาโดยตลอดนั้น  ผมอาจจะเดาผิดบ้าง  มั่วถูกบ้าง  ทุกท่านคงทราบว่าไม่มีครั้งไหนที่ผมจะเดินทางไปด้วยความมั่นใจเลยซักครั้ง  อาศัยการคาดเดาแล้วก็มีผู้ช่วยมาตลอด   ยกเว้น…ยกเว้นก็แต่เพียงครั้งนี้เท่านั้นครับที่ผมมั่นใจพันเปอร์เซ็นต์ว่าไม่มีการผิดพลาดแน่นอน  ผมคือคนที่รู้ความลับของหมู่เกาะดาหาชาดาแต่เพียงผู้เดียวครับ"
     

    "ลุงรพินทร์คร้าบ  แล้วความลับของหมู่เกาะที่ว่าน่ะ คืออะไรละครับลุง เฉลยซะทีซิครับ" 

    ไพรวัลย์ หนุ่มน้อยในอนาคต   ผู้นิ่งเงียบมานานอดรนทนไม่ไหวถามแทรกขึ้นมาทันที  สวีทตี้  คะหยิ่น  และหนานอิน       พากันตบมือเกรียวกราวช่วยลุ้นคำถามของไพรวัลย์   ในขณะที่ดารินที่ยืนมองด้วยความหมั่นไส้มานานทุบไหล่ของนายพรานอย่างแรง จนรพินทร์ครางอู้  เชษฐาหันไปดุน้องสาวเบา ๆ
    รพินทร์หลังจากโดนดารินทุบก็ค่อยลดมาดเท่ลง และหันมาอธิบายเรื่องให้ทุกคนฟังอย่างจริงจัง

    "คือยังงี้ครับ ขณะนี้ เราได้มาอยู่ ณ บริเวณหมู่เกาะดาหาชาดากันแล้ว  แต่เนื่องจากสาเหตุที่พวกเรายังมองไม่เห็นหมู่เกาะนี้ ก็เป็นเพราะว่า ข้อความที่ขาดหายไปในสมุดบันทึกข้อความเก่า ๆ  ที่เจ้าแงซายเอามาอ่านให้พวกเราฟัง แล้วข้อความขาดหายไปตรงคำว่า  แต่ว่า…..นั่นน่ะครับ  ข้อความตรงนั้นแหละครับคือคำตอบว่าหมู่เกาะนี้หายไปได้ยังไง  แต่ทุกท่านโปรดอย่าห่วง ผมจะเฉลยว่าผมรู้ความลับว่าข้อความที่ต่อจาก แต่ว่า..นั้นคืออะไรนะครับ  ทุกท่านโปรดฟังผม 

    …….แต่ว่า  เรือลำนี้มีอาถรรพ์ สมบัติอยู่ที่ไหน เรือลำนี้ไปที่นั่น  คนมีบุญเท่านั้นที่ได้ขึ้นมา  คนมีบุญกว่า จะได้ไปยังถิ่นที่เขาปรารถนา  และคนมีบุญที่สุดคือหญิงชายคู่หนึ่งที่มีใจตรงกัน  จะได้พบกับสมบัติของจริงที่ตนเองปรารถนา เพียงแต่จับมือประสานกันไว้และฝ่ายชายจุมพิตที่แก้มของฝ่ายหญิงเท่านั้น  สมบัติก็จะปรากฎให้เห็นทันที และหญิงชายคู่นั้นจะได้เป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติทั้งหมด โดยไม่มีผู้ใดมาแย่งไปได้ ยกเว้นทั้งคู่จะเป็นผู้มอบให้เอง และหลังจากนั้นหญิงชายคู่นั้นจะต้องแต่งงานกัน มิเช่นนั้น สมบัติจะสูญสลายไปทันที….

    ทุกท่านครับผมขอเฉลยว่า ขณะนี้ เราจะสามารถมองเห็นเกาะดาหาชาดาได้ ก็ต่อเมื่อ หญิงชายที่มีบุญที่สุดหนึ่งคู่บนเรือลำนี้ กระทำการดังข้อความที่ผมเฉลยไป สมบัติก็จะปรากฎให้เห็นทันทีครับ  และในขณะนี้ ผมคิดว่า ผมกับคุณหญิงน่าจะเป็นหญิงชายคู่ที่ว่านะครับ ฮ่า ๆๆ"

    ทุกคนเข้าใจถึงบางอ้อกันทันที ว่าทำไมรพินทร์ถึงได้วางท่าอยู่ตั้งนาน และเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งว่ารพินทร์และดารินจะเป็นผู้ที่ทำให้ทุกคนได้สมบัติกันซะที  พลับพลึงร้องบอกออกมา

    "ลุงรพินทร์ขา  งั้นลุงกับป้าดารินก็รีบ ๆ ทำพิธีเข้าซิคะ พวกเราจะได้เห็นสมบัติกันซะที"

    รพินทร์ยิ้มอย่างพระเอกผู้ชนะ  เดินไปด้านหน้าของเรือตำแหน่งที่ดารินยืนอยู่  ทุกคนรีบมายืนล้อมรอบ คอยดูปรากฎการณ์ที่จะบังเกิดขึ้น  รพินทร์เดินเข้าไปใกล้ดาริน ทั้งสองจับมือกันไว้   ดารินยิ้มแย้มให้รพินทร์อย่างอ่อนหวาน  ในขณะเดียวกันรพินทร์ก็ก้มหน้าลงไปจุมพิตที่แก้มของดารินอย่างแสนรัก…ทุกคนยืนปรบมือเกรียวกราว…นาน…. หลังจากปรบมือจนเจ็บแล้ว ทุกคนหันมองไปรอบ ๆ อย่างเลิ่กลั่ก  ก็ได้เห็นว่า…..สภาพท้องทะเล และ ท้องฟ้า….ไม่เปลี่ยนไปเลย….ทุกอย่างเป็นอยู่อย่างไรก่อนที่รพินทร์จุมพิตดาริน  ก็ยังคงสภาพเดิมอยู่อย่างนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง……เฮ้อ!!….หนานอินครางออกมาอย่างอ่อนใจที่อุตส่าห์ลุ้น อยู่ตั้งนาน  แสงโสมที่ยืนเงียบมองดูอยู่ก็เอ่ยแนะนำขึ้นมา

    "รพินทร์คะ  แสงว่าคุณทำผิดพลาดขั้นตอนไหนซักอย่างหรือเปล่าคะ  อย่างเช่น ตอนจับมือประสานกันเนี่ย  น่าจะจับทั้งสองข้างนะคะ แต่คุณจับมือคุณหญิงดารินข้างเดียวเอง อาจจะทำให้ผิดไปจากตำราก็ได้นะคะ  แล้วอีกอย่าง จุมพิตที่แก้มนี่ข้างซ้ายหรือข้างขวากันแน่คะ  ยังไงคุณทดลองดูทั้งสองข้างเลยจะดีกว่าหรือเปล่า"

    รพินทร์และดาริน รวมทั้งคนอื่น ๆ มีท่าทีเห็นด้วย ว่าทั้งสองอาจจะทำผิดขั้นตอนตรงไหนซักอย่าง   รพินทร์เลยเริ่มต้นจับมือและหอมแก้มดารินใหม่อีกครั้ง หอมแก้มข้างซ้าย……..ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเงียบสงบ   รพินทร์เปลี่ยนไปหอมแก้มข้างขวาของดารินแทน อนิจจา เสียงคลื่นในทะเลก็ยังคงเหมือนเดิม 
    กองเชียร์ที่ลุ้นอยู่รอบ ๆ ชักจะหงุดหงิด  พลับพลึง  ไพรวัลย์ และสวีทตี้ เริ่มฮือฮาด้วยความเบื่อหน่ายตามประสาวัยรุ่น   เชษฐายืนนิ่งเงียบมองดูสถานการณ์ ในขณะที่แสงโสมยังคงร้องบอก แนะนำให้รพินทร์และดารินสลับข้างหอมแก้มซ้ายขวาไปมา  ระหว่างนั้น พลับพลึงเห็นเป็นโอกาสเหมาะที่จะช่วยให้น้าสาวได้ใกล้ชิดกับคนที่หมายปองอยู่ รีบร้องบอกออกมาทันที

    "น้าแสงโสมขา อย่ามัวแต่ไปบอกลุงรพินทร์อยู่เลยค่ะ  บอกยังไงลุงรพินทร์ก็ทำไม่ถูกหรอก  เอาอย่างนี้แล้วกันนะคะ ลุงเชษฐาขา ลุงช่วยมาตรงน้าแสงโสมแล้วทำตัวอย่างให้ลุงรพินทร์ดูหน่อยได้มั๊ยคะ  นะคะลุงเชษฐา  เพราะถ้าลุงรพินทร์ได้เห็นตัวอย่างที่ถูกต้องแล้วทำตาม พวกเราก็จะได้เห็นสมบัติกันซะทีน่ะค่ะ" 

    หลังจากพูดจบพลับพลึงก็หันไปลอบยิ้มหวานให้กับแสงโสม  ในขณะที่แสงโสมก็ทันเกมไม่แพ้กัน  แอบยิ้มตอบขอบคุณพลับพลึงพร้อมกับนึกในใจตามประสานางร้ายที่ยังไม่ทิ้งลายว่าจะแกล้งทำให้ผิดท่าหลาย ๆ ครั้งเลยเชียว 
    เชษฐายืนอมยิ้มมองดูแสงโสมอยู่อย่างขำ ๆ และรู้เท่าทัน  และแล้วเชษฐาก็เดินตรงเข้ามาหาแสงโสม ท่ามกลางเสียงกองเชียร์ที่หันมาลุ้นคู่ขวัญคู่ใหม่แทน

    "ขอโทษนะ คุณแสงโสม ผมคงต้องขออนุญาตทำตัวอย่างให้รพินทร์กับน้อยดูแล้วละ คุณคงไม่รังเกียจผมนะ"

    แสงโสมยิ้มตอบโดยไม่มีความเก้อเขินเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่านางเอกควรจะวางมาดบ้าง  แสงโสมจึงมีท่าทีเอียงอายเล็กน้อย พร้อมกับตอบด้วยสไตล์ของนางเอกทั่วไป

    "คุณชายขา แสงไม่เคยรังเกียจคุณชายเลยนะคะ  ถ้าเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมแล้ว แสงยินดีทำทุกอย่างค่ะคุณชาย…เอ้อ.. แต่ถ้าผิดพลาดยังไงเทคใหม่หลาย ๆ รอบก็ได้นะคะ แสงไม่ถือค่ะ"

    เชษฐาแทบจะหัวเราะก๊ากออกมาด้วยความขำในท่าทีของแสงโสม แต่แล้วก็รีบสะกดใจไว้ พร้อมกับยกมือทั้งสองขึ้นมาจับมือประสานกับแสงโสม  ทั้งสองสบตากันนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ จนแสงโสมเกิดรู้สึกเขินอายขึ้นมาอย่างแท้จริง ใบหน้าเริ่มเป็นสีชมพูระเรื่อ เชษฐามองเห็นใบหน้าของแสงโสมในขณะนั้นเป็นหญิงสาวที่สวยที่สุดในสายตาของเขา  อย่างอดใจไม่ไหว เชษฐาเอียงหน้าเข้าไปจุมพิตที่แก้มของแสงโสมอย่างแผ่วเบา โดยไม่ได้สนใจว่าจะทำเป็นตัวอย่างให้ใครดู  โดยไม่สนใจว่าขณะนี้จะมีใครดูอยู่บ้าง  กองเชียร์ที่ดูอยู่รอบ ๆ ตกตะลึงไปกับภาพที่งดงามโดยไม่ได้เจตนานี้ ทุกคนนิ่งเงียบสนิทมองดูอยู่โดยปราศจากเสียงตบมือเชียร์เหมือนคู่ของรพินทร์กับดารินที่บัดนี้ก็จ้องมองดูอยู่โดยลืมไปว่าจะต้องทำท่าตาม

    ทันใดนั้น เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังขึ้นด้านขวาของเรือ ทุกคนตกใจหันไปมองดู แล้วก็ได้เห็นความประหลาดมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า เกาะขนาดย่อมแห่งหนึ่งค่อย ๆ โผล่พ้นน้ำขึ้นมาให้เห็น คล้าย ๆ กับเรือดำน้ำค่อย ๆ โผล่ขึ้นมาจากท้องทะเล สภาพบนเกาะนั้นเหมือนเกาะทั่ว ๆ ไปทุกอย่างไม่มีผิด จนทุกคนบนเรือแปลกใจว่าเกาะนั้นไปอยู่ใต้น้ำได้อย่างไร และเมื่ออยู่ใต้น้ำแล้วทำไมเวลาโผล่จากน้ำขึ้นมาไม่เห็นมีอะไรที่บ่งชี้ให้เห็นว่าเคยอยู่ใต้น้ำมาก่อนเลย  ขณะที่ทุกคนกำลังงุนงง รพินทร์ก็เอ่ยขึ้นมา

    "ทุกท่านโปรดอย่าแปลกใจครับ นี่คือปาฎิหาริย์ที่เกิดขึ้นของเกาะแห่งนี้ และนี่คือความลับของเกาะที่ผมปิดบังทุกท่านมานาน  ในที่สุดบัดนี้เราก็ได้รู้แล้วว่าบุคคลที่มีบุญที่สุดหนึ่งคู่นั่นก็คือ คุณชายเชษฐาและคุณแสงโสมนี่เอง ผมขอแสดงความยินดีด้วยนะครับทั้งสองท่าน เอาละครับ เดี๋ยวอีกสักพัก เจ้าแม่ดาหาชาดาก็คงจะส่งชาวเกาะออกมาต้อนรับเรา พร้อมกับมอบทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้กับคุณชายใหญ่และคุณแสงโสม  คืนนี้คงจะมีงานเลี้ยงฉลองใหญ่กันละครับ และฉลองแต่งงานให้กับคุณชายเชษฐาและคุณแสงโสมด้วย  เราจะพักอยู่บนเกาะสองคืน แล้วหลังจากนี้พวกเราจะเดินทางกลับบ้านกันซะทีละครับ"

    แสงโสมและเชษฐาที่ยังคงจับมือกันอยู่ตกตะลึงไปด้วยกันทั้งคู่  ดาริน  พลับพลึง  ไพรวัลย์  สวีทตี้  หนานอิน และคะหยิ่น ต่างตบมือโห่ร้องกันด้วยความยินดี  แสงโสมยังตกตะลึงไม่หายที่เรื่องช่างสรุปได้อย่างง่ายดายเกินคาด  หันมาถามรพินทร์ตะกุกตะกัก

    "รพินทร์ขา  แสงต้องแต่งงานคืนนี้เลยเหรอคะเนี่ย ไม่รอกลับไปกรุงเทพก่อนเหรอคะ"

    "คุณแสง  อย่าลืมซิว่าเจ้าของขุมทรัพย์มีเงื่อนไขว่า ผู้มีบุญทั้งสองจะต้องแต่งงานกัน มิเช่นนั้น สมบัติจะสูญสลายไปทันที พวกเราอุตส่าห์ฝ่าฟันมาตั้งนานกว่าจะมาถึงที่นี่ได้ คุณจะมาทิ้งสมบัติพวกนี้ไปง่าย ๆ ได้ยังไง"

    แสงโสมยังคงขัดเขิน เพราะเห็นว่าตัวเองออกจะรวบรัดกับคุณชายเชษฐามากไปหน่อย  เกรงว่าใจจริงของคุณชายใหญ่อาจจะไม่พอใจตนเองนักก็เป็นได้  แต่แล้วด้วยความฉลาดรู้เท่าทันคนของบุรุษผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะแต่ดั้งเดิม  เชษฐาเดินตรงเข้ามาหาแสงโสม

    "คุณแสงโสมครับ  คุณจะรังเกียจไหม ถ้าผมจะขอคุณแต่งงานด้วย  ผมแอบสนใจคุณมาตั้งนานแล้วแต่ไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดมาก่อน เพราะเราไม่ได้เดินทางมาด้วยกัน มาถึงขณะนี้ ผมไม่อยากให้ตัวเองต้องพลาดโอกาสนี้ไป ผมขอยืนยันว่า ผมต้องการแต่งงานกับคุณจริง ๆ โดยไม่ได้หวังสมบัติใด ๆ ทั้งสิ้น  สมบัติที่เราได้มาทั้งหมด ผมคิดว่า เราจะแบ่งออกเป็นเก้าส่วนเท่า ๆ กัน  และแจกจ่ายให้กับพวกเราที่อยู่บนเรือในขณะนี้ เพื่อความสบายใจของคุณ ผมรู้ว่าคุณคงไม่สนใจสมบัติพวกนี้เท่าไหร่ เพราะตัวคุณเองก็มีสมบัติเดิมมากมายมหาศาลอยู่แล้ว ในขณะที่ตัวผมเองขณะนี้ก็ไม่ได้สนใจกับสมบัติเป็นพิเศษอะไรเลย  พวกที่สนใจสมบัติจริง ๆ เค้าลงจากเรือกันไปหมดแล้ว  คุณแสงโสมครับ ที่ผมพูดมาทั้งหมด พอจะเป็นข้อมูลให้คุณตัดสินใจแต่งงานกับผมได้ไหมครับ"

    แสงโสมตาเป็นประกาย สบตากับเชษฐาอย่างซาบซึ้งใจ  พร้อมกับกล่าวตอบอย่างอ่อนโยน

    "แสงตกลงแต่งงานกับคุณชายค่ะ"

    พลับพลึง  ไพรวัลย์  สวีทตี้  คะหยิ่น  หนานอิน พากันตบมือโห่ร้องอย่างยินดี ในขณะที่รพินทร์และดารินจับมือกัน ยืนยิ้มมองดูเชษฐาและแสงโสมด้วยความปลื้มปิติ

    *********************************************** 

    จากคุณ : แสงโสม - [11 ก.ย. 18:46:12] 


 

 


    ความคิดเห็นที่ 27

    ...
    ค่ำคืนนั้นเจ้าแม่ดาหาชาดา ก็ได้มาเป็นประธานในพิธีแต่งงานระหว่างเชษฐา และแสงโสม   ท่ามกลางความปลื้มปิติ ของคนที่เข้าร่วมพิธี  ซึ่งต่างก็เห็นว่าทั้งคู่เหมาะสมกันยิ่งนัก

    รุ่งเช้าเจ้าแม่ดาหาชาดา นำทางอาคันตุกะ ไปยังถ้ำที่เก็บขุมทรัพย์ ที่นั่นทุกคนก็ได้เห็นตู้เซพขนาดตู้เย็น  10 คิว  เจ้าแม่ดาหาชาดาบอกว่าทรัพย์สมบัติทั้งหมด เก็บไว้ในตู้เย็นเอ๊ย ตู้เซฟใบนั้น และเธอตั้งใจจะมอบตู้เซฟใบนี้ให้กับผู้มีวาสนาที่มาเยือนเกาะแห่งนี้   แต่ตู้เซพใบนี้จะสามารถเปิดได้ก็ต่อเมื่อได้เดินทางพ้นจากเกาะแห่งนี้ไปเท่านั้น  แต่ไพรวัลย์ก็ไม่ยินยอมที่จะเชื่อ จึงขอลองเปิดดู เจ้าแม่ ยิ้มพราย บอกรหัสเซฟให้ แต่ไม่ว่าจะหมุนตามรหัสซักกี่ครั้งตู้เซฟ ก็ไม่เปิดออกซักที จนยอมยกเลิกความตั้งใจ เจ้าแม่ดาหาชาดา จึงสั่งให้ให้บริวารนำตู้เซฟใบนี้ไปส่งให้บนเรือยอร์ชลึกลับ

    เช้าอีกวัน อาคันตุกะทั้งหมดก็ร่ำลาเจ้าแม่ดาหาชาเพื่อเดินทางกลับ  เจ้าแม่ก็อวยชัยอวยพร ขอให้เดินทางโดยปลอดภัย  เมื่อทุกคนขึ้นไปบนเรือยอร์ชอาถรรพ์ครบทุกคน ภาพของเกาะดาหาชาค่อย ๆ เลือนหายไปจากสายตาจนกระทั่งเห็นแต่ความเวิ้งว้างของท้องทะเล ราวกับภาพที่ทุกคนได้เห็นนั้นคือภาพลวงตาก็ไม่ปาน 

    หลังจากที่เกาะดาหาชาดา ลับหายไปจากสายตา ทุกคนก็หันมารุมล้อมตู้เซพเก็บสมบัติ และเปิดรหัสตามที่เจ้าแม่ดาหาชาดาบอกไว้  ตู้เซฟได้เปิดออกมาอย่างง่ายดาย เมื่อทุกคนได้เห็นสิ่งที่อยู่ภายใน ก็ต้องตะลึง ตึง ๆ กันอีกครั้ง  เพราะสิ่งที่อยู่ในตู้เซฟนอกจากทองแท่งจำนวนหนึ่ง แล้วก็มีกระดาษเป็นม้วน ๆ จำนวนมาก ต่างช่วยกันคลี่ม้วนกระดาษออกอ่านดู ก็ล้วนแล้วแต่เป็นใบหุ้นทั้งสิ้น เชษฐาเริ่มหน้าซีด เพราะตอนนี้ราคาหุ้นแต่ละตัวในตลาดหุ้นราคาตก แล้วตกอีกจนน่าใจหาย เชษฐาขอดูชื่อบริษัทในใบหุ้นแต่ละใบ ปรากฎว่าล้วนแต่บริษัทที่ล้มละลายไปแล้วทั้งสิ้น.... หากเชษฐาจะบอกว่าการเดินทางในครั้งนี้ ไม่มุ่งหวังสมบัติเลยก็ไม่สามารถบอกได้เต็มปากเต็มคำนัก เพราะไหนจะวังวราฤทธิ์เอย โรลส์รอยเอย ยังติดไฟแนนซ์อยู่ทั้งนั้น แล้วขุมสมบัติที่ได้มาเป็นใบหุ้นซะอีก  สุดท้าย เชษฐา ล้มตึงไปบนดาดฟ้าเรือนั่นเอง ต้องเดือดร้อนถึงหมอดาริน และแสงโสมต้องรีบมาปฐมพยาบาล จนกระทั่งฟื้นขึ้นมา   ก็ยังหน้าซีดเผือดเหมือนเดิม แต่ด้วยความสุขุมนุ่มลึกอันเป็นคุณสมบัติดั้งเดิม ก็พยายามทำใจ และที่ทำให้ทำใจได้เร็วขึ้นเพราะอดีตม่ายสาว พราวเสน่ห์ ร่ำรวยทรัพย์สินคณานับข้างกายนั่นเอง 

    จากนั้นแสงโสมก็อาสาเป็นผู้แบ่งทองแท่งให้กับทุกคน ๆละเท่า ๆ กัน สวีตตี้ขอรับแค่แท่งเดียว ไว้สำหรับเป็นที่ระลึกถึงเพื่อน ๆ ทุกคนยามที่เธอกับสู่โลกอนาคต แต่ไพรวัลย์ก็แย้งว่างั้นยกให้กับเขาก็แล้วกัน แสงโสมค้อนขวับบอกว่าหากใครปฎิเสธ สิทธิ์อันนั้นก็จะต้องกลับเป็นของ บุคคลที่ควรจะได้เหมือนเดิมนั่นคือเธอและเชษฐานั่นเอง
    หนานอิน และคะหยิ่น ก็ปฎิเสธขอยกส่วนนี้ให้ เป็นของขวัญสำหรับคู่แต่งงานใหม่ แสงโสมยั้งคำพูดที่จะคะยั้นคะยอขอให้รับไว้ได้ทัน เพราะกลัวหนานอินและคะหยิ่นจะเปลี่ยนใจกลับมารับส่วนแบ่งเหมือนเดิม ส่วนแบ่งของรพินทร์นั้นดารินขอเป็นผู้เก็บไว้เอง ส่วนแบ่งของพลับพลึง พลับพลึงขอรับมาส่วนหนึ่ง ที่เหลือก็คืนสู่เจ้าของเดิม
     

    จากคุณ : พลับพลึงสีชมพู (Login)  - [12 ก.ย. 13:34:31] 


 

 


    ความคิดเห็นที่ 28

    ...
    เมื่อแบ่งสมบัติกันเสร็จสิ้น สวีตตี้ ได้อาศัยเรือยอร์ชลึกลับนำเธอและไพรวัลย์ เดินทางกลับสู่โลกอนาคต  เรือลึกลับได้นำทั้งสวีตตี้ และไพรวัลย์ ไปส่งยังปีค.ศ. 3000  หลังจากสวีตตี้และไพรวัลย์ ร่ำลาคนบนเรือเสร็จสิ้น สวีตตี้ก็ลากไพรวัลย์ลงไปจากเรือ ไปยืนยังหน้าบ้านของเธอ ภาพสุดท้ายที่พลับพลึงได้เห็นคือ สีหน้าอันงง งันของไพรวัลย์  จะเป็นเพราะจากบ้านมานานเกินไป หรือจะเป็นเพราะหน้าตาของไพรวัลย์ในโลกอนาคตอีกพันปี และอีกยี่สิบกว่าปีข้างหน้าเหมือนกัน จนทำให้สวีตตี้ซึ่งจำอาของเธอได้อย่างแม่นยำ ยังเข้าใจผิดได้ หากเป็นกรณีหลังเข้าก็หวังว่าไพรวัลย์คงจะหาวิธีกลับบ้านได้โดยไม่ลำบากนัก

    รพินทร์ หนานอิน คะหยิ่น  ใจตรงกัน คิดจะไปยังหนองน้ำแห้งเหมือนกัน ดารินตามติดไปด้วยไม่ยอมให้ห่างจากรพินทร์ เพราะหากปล่อยให้อยู่ตามลำพัง ก็คงต้องติดตามพ่อพรานไพรใจฉกาจไปอีก ตามติดมาตั้งสามภาคยังไม่พอต้องตามติดมาถึงภาคอลเวงเข้าอีกเหนื่อยเหลือกำลัง  หนานอินนั้น ตัดสินใจไปหาที่พักตั้งหลักแหล่งอยู่ที่หนองน้ำแห้งนั่นเอง ส่วนคะหยิ่น ใช้ที่นั่นเป็นจุดเริ่มต้น เดินทาง ไปยังหล่มช้างรีสอร์ท กลับไปเลี้ยงหลานให้กับเจ้ามุและนางฮั๊ว  แต่ก่อนเดินทางก็บอกกับรพินทร์ว่า หากจะไปหาขุมทรัพย์ที่ไหนกันอีกก็ขอให้ไปตามมาร่วมขบวนการด้วยก็แล้วกัน

    สถานที่ พลับพลึงสีชมพู เลือกไปคือ ดงไม้กว้างใหญ่ชายดง ใจกลางดงไม้แห่งนั้นมีต้นไม้ใหญ่ยืนต้นเดียวดาย ต้นไม้ต้นนั้นมีดอกเป็นสีชมพู กลิ่นหอมหวาน คือต้นลั่นทมสีชมพูนั่นเอง....

    และคู่สุดท้ายบนเรือคือ แสงโสมและเชษฐา ก็อาศัยเรือลำนั้นกลับไปยังวังวราฤทธิ์...

    พลับพลึงกลับมาพำนักยังกระท่อมกลางดงไม้  ที่บริวารของลั่นทมสีชมพูช่วยกันสร้างให้ไม่นาน แสงโสมก็ส่งข่าวมาบอกว่า...
    ==========

    จากคุณ : พลับพลึงสีชมพู (Login)  - [12 ก.ย. 13:37:08] 


 

 


    ความคิดเห็นที่ 30

    จดหมายด่วนจากปารีส
     

    คุณแสงหนีไปแต่งงานแล้วหรือครับ! 
    โธ่...ทำไมถึงด่วนเลือกเชษฐาล่ะครับ  ผมแค่กลับไปเคลียร์ทรัพย์สินกับมาเรียเท่านั้นเอง 
    ที่บอกว่าจะกลับไปอยู่ด้วยกันกับมาเรียนั้นก็เพื่อให้ทุกคนสบายใจว่าผมไม่ได้ไปตกระกำลำบากที่ไหน 
    ผมขอเวลาสักระยะหนึ่ง  หากแบ่งสมบัติเสร็จเมื่อไรผมก็จะขอแยกทางจากเธอทันที 
    แล้วผมจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง...ด้วยความหวัง

    คุณแสงโปรดรอผมนะครับ... 
     

    พ.ต. ไชยยันต์  อนันตรัย 

    จากคุณ : ไชยยันต์ อนันตรัย - [12 ก.ย. 14:52:41] 


 

 


    ความคิดเห็นที่ 31

    ปารีส
    16 กันยายน 2543

    คุณแสงโสม

    ผมเฝ้ารอแล้วรออีก ก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นจดหมายตอบรับจากคุณแสงโสมผู้สวยงาม
    ทั้งๆที่ระบบการสื่อสารปัจจุบันออกจะรวดเร็ว ผมก็เลยทึกทักเอาเองว่าคุณแสงคงเห็นด้วย
    กับคำขอของผมจึงไม่ปฏิเสธไป  ตกลงว่าคุณแสงจะรอผมใช่มั้ยครับ และคุณแสงจะแยกทาง
    จากเชษฐาเพื่อนรักของผมในไม่ช้านี้ใช่ไหม

    ผมรู้ว่าคุณแสงย่อมตัดสินใจอะไรด้วยเหตุผลถึงแม้ว่าบางครั้งจะใช้อารมณ์มากกว่าสักหน่อยก็ตาม
    ตัวอย่างเช่นการตัดสินใจแต่งงานกับเชษฐานั้นผมรู้ว่าคุณแสงทำไปด้วยความโกรธชั่ววูบที่เห็นผมกลับไปหาเมย์
    เป็นความเข้าใจผิดแท้ๆเลยเชียวครับ ผมมีเหตุผลทุกอย่างที่กระทำไปอย่างนั้น
    และพร้อมจะอธิบายให้คุณแสงได้ทราบอย่างกระจ่าง หากคุณแสงจะให้โอกาสผมได้อธิบาย
    ผมรู้ว่าคุณแสงยังคงติดต่ออยู่กับพวกเราคนอื่นๆ  และคุณแสงคงจะได้รับฟังทัศนะความเห็นจากหลายๆคนที่ไม่เห็นด้วย
    แต่คุณแสงครับ ได้โปรดตัดสินใจให้ดีอีกครั้ง
    โปรดอย่าเชื่อยายพลับพลึงที่อาจจะไม่เข้าใจสถานภาพและความสัมพันธ์ส่วนตัวของเรา
    เธออาจจะ(แค่อาจนะครับ)หวังดีต่อคุณแสงและแนะนำให้อย่ายุ่งกับผม แต่นั่นก็เป็นการเข้าใจผิดต่อผมเป็นอย่างมาก
    หรือแม้กระทั่งจอมพรานรพินทร์ ไพรวัลย์ก็ตาม หากเขาจะเคยให้คำแนะนำอะไรคุณแสงว่าให้เลิกยุ่งกับผม
    คุณแสงก็โปรดเก็บไปพิจารณาเถิดครับว่าในเมื่อเขาเองก็เคยมีอดีตที่ฝังใจและคับแค้นใจกับคุณแสงมาก่อน
    ควรหรือครับที่คุณแสงจะเชื่อคำแนะนำของเขา  ความเป็นสุภาพบุรุษไพรของเขานั้นผมยอมรับ
    แต่ ณ เวลานี้เป็นเรื่องของหัวใจมิใช่ป่าดงพงไพร  เขาจะมารู้แท้จริงไปกว่าผมได้อย่างไรกัน
    รวมทั้งคนอื่นๆนั้นก็อาจจะมีทั้งคนที่เข้าใจผมดีและคนที่ยังไม่เข้าใจผมเช่นกัน
    คนอื่นเข้าใจผิดผมไม่สนใจ ที่สำคัญผมอยากให้คุณแสงเข้าใจผมให้ถูกต้องเพียงคนเดียวเท่านั้น

    ผมจะนั่งรอคำตอบของคุณแสงต่อไป
    แต่หากคุณแสงไม่ยอมตอบผมก็จะนั่งรออยู่อย่างนี้ไม่ลุกไปไหนเด็ดขาดตั้งแต่หลังสี่ทุ่มจนถึงเวลานอน
    ลืมบอกไปว่าผมนอนสี่ทุ่มครึ่ง
     

    รอคำตอบจากคุณแสงอยู่นะครับ เปล่ารอคำตอบจากคนอื่น

    ไชยยันต์  อนันตรัย
     

    ป.ล. บทเพลง You'll be in my heart  นั้นคุณแสงแอบเขียนให้ผมใช่มั้ยครับ
    ผมเข้าใจว่าอย่างนั้นก็เลยตัดเก็บเอาไว้แล้ว 

    จากคุณ : ไชยยันต์ อนันตรัย - [16 ก.ย. 13:25:08] 


 

 


    ความคิดเห็นที่ 32

    เดียร์ไชยยันต์

    ขอบอกให้เธอรู้ว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
    เธอจะต้องทำทุกวิธี ตามข้อตกลงที่เราเคยคุยกันไว้
    หาทางแย่งสมบัติของแสงโสมมาให้ได้นะ
    เราจะได้รวยกันซักที
    เธอนี่ไม่ได้ความเลย  ครั้งที่แล้วก็ทำงานพลาด
    ชั้นอุตส่าห์ส่งให้เดินทางไปหาขุมสมบัติกับเค้า
    เผื่อจะได้สมบัติติดไม้ติดมือกลับมาปารีสมั่ง
    ไม่ได้เรื่องเล้ย  คว้าน้ำเหลวกลับมาซะนี่
    คราวนี้อย่าให้พลาดอีกนะยะ
    ถ้าเธอยังขืนกลับมามือเปล่าอีก 
    ชั้นไม่ปล่อยเธอต่อไปแล้ว
    งวดนี้เธอจะโดนชั้นซ้อมยับเยินไม่ไว้หน้าแน่ 
     

    ชั้นเอง

    มาเรีย ฮอฟมันน์ อนันตรัย
     

    จากคุณ : มาเรีย - [16 ก.ย. 18:33:36] 


 

 


    ความคิดเห็นที่ 35

    เมย์ที่รัก ผมจำได้ว่าแผนการต่างๆที่เราเคยคุยกันนั้นเป็นสิ่งที่คุณเสนอให้ผมพิจารณา แต่ว่าเรายังไม่ทันได้
    ตกลงอะไรกันคุณก็หนีหายจากผมไปซะก่อน แค่เพียงผมตัดสินใจยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้เป็นชื่อคุณดูแลแค่นั้นเอง
    ผมไม่เคยตามหาคุณเจออีกเลย จวบจนผมต้องระหกระเหินเข้าป่ากับพรรคพวกชุดเดิม
    คุณก็ไม่เคยไยดีที่จะออกตามหาผมเลยทั้งๆที่คุณก็เป็นอดีตพรานมือฉกาจคนหนึ่ง

    ที่ผมกลับมาหาคุณในวันนี้ก็เพื่อที่เราจะได้ตกลงกันให้เรียบร้อยนะจ๊ะว่าเราจะหย่ากันเป็นทางการซะที
    และผมจะได้ขอสมบัติส่วนของผมคืนมาเพื่อที่จะได้นำไปตั้งตัวต่อไป ส่วนลูกนั้นเราค่อยมาเปิดประมูล
    กันภายหลังนะจ๊ะว่าใครจะได้ไป 

    จากคุณ : ไชยยันต์ - [17 ก.ย. 21:36:57] 


 

 


    ความคิดเห็นที่ 36

    ขอจบเอาดื้อๆเพียงเท่านี้ก่อนนะครับ

    โปรดติดตามตอนต่อไปในโอกาสหน้า
    ขอได้รับความขอบคุณจากทีมงานเพชรพระอุมาภาคห้องสมุด 

    จากคุณ : ไชยยันต์ อนันตรัย - [18 ก.ย. 23:19:41] 


 

 



 

 

1