ความคิดเห็นที่
2
วังมังกร ไพรวัลย์ได้ถูกจับเป็นเชลยอยู่ในคุกของวังมังกรและได้พบกับเด็กสาวนามว่าดักแด้ผู้อ้างตัวเป็นบุตรสาวคนเล็กแห่งพญามังกร
ในขณะนี้สาวน้อยดักแด้กำลังจะพาไพรวัลย์หนี
และมาติดดูการร่ายรำเพลงดาบของพี่ชายพี่สาวของเธอจนกระทั่งเหล่าขุนศึกมาพบเข้า
เหล่าขุนศึกกรูกันเข้ามาล้อมกรอบไว้
“ท่านหญิงน้อย! ทำไมถึงมาวิ่งเล่นซุกซนบริเวณนี้
แห่งนี้ล้วนเป็นเขตต้องห้าม และนั่น
โอ้…ทหาร!…จับตัวเชลยผู้นั้นเอาไว้
มันต้องจี้ท่านหญิงน้อยเป็นตัวประกันแน่ๆ” ทหารหาญขุนศึกแห่งพญามังกรปราดเข้ามาจะคว้าตัวไพรวัลย์ซึ่งยืนตะลึงหน้าซีดอยู่
ดักแด้ยกมือขึ้น
ห้ามแค่นั้นเองเหล่าทหารก็ถึงกับชะงักถอยหลังกรูด “ท่านหญิงน้อย
อย่า!…”
เสียงขุนศึกของเธอร้องเสียงหลงพากันถอยออกห่าง
ไพรวัลย์ขมวดคิ้วอย่างพิศวง
ฤาเด็กน้อยผู้นี้จะมีอิทธิฤทธิ์เกรียงไกรจนเหล่าขุนศึกตัวใหญ่ยักษ์เหล่านั้นถึงกับกลัวลนลาน
สาวน้อยดักแด้หันมาอมยิ้มให้กับไพรวัลย์ “เธอไม่ต้องกลัวไปหรอก
ตอนนี้เธอมีแต่ต้องทำตัวเป็นเชลยหนีคุกเท่านั้น
เพื่อความปลอดภัยของเธอเอง” ว่าแล้วสาวน้อยก็รั้งผ้าแถบในมือที่มัดข้อมือของไพรวัลย์ไว้แน่น
ก่อนจะหันไปกล่าวเสียงเข้มกับแม่ทัพนายกอง
“เรากำลังจะไปหาท่านพ่อ
แต่เผอิญเจอะเจ้านี่ลอบหนีออกมาจากคุกจึงจับกุมไว้ได้โดยละม่อม
พวกท่านจงนำตัวมันไปขังคุกต่อเถิด
ก่อนที่เราจะโมโหและจับมันโยนให้ตะกวดในสระนั่นกิน” “ท่านหญิงน้อย…โปรดสงบสติอารมณ์เถิดขอรับ”
เสียงขุนศึกสั่นๆเหมือนเกรงกลัว “ฮึ”
ดักแด้สะบัดหน้า “พวกเจ้าพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง
พวกเจ้าดูหมิ่นเราเช่นนี้…ไม่เคยตายรึ”
เหล่าทหารหาญหันมามองหน้ากันอย่างเหงื่อตก
พลันกระซิบกระซาบกันเบาๆ “ท่านหญิงน้อยนั้นนึกน้อยใจที่พญามังกรไม่เคยอนุญาตให้เธอฝึกฝนอะไรได้เหมือนกับท่านหญิงใหญ่ก้อเลยชักจะมีอาการทางประสาทแบบอ่อนๆ
พญามังกรเคยกล่าวกับข้าเอาไว้ให้คอยเป็นหูเป็นตาเฝ้าดูอาการเธออย่างต่อเนื่องและอย่าพูดหรือทำอะไรขัดใจเธอเป็นอันขาด
พวกเจ้าค่อยๆเชิญเธอกลับไปยังห้องบรรทมเถิด
ระวังเธอจะอาละวาดวิ่งหกล้มหัวแตกเหมือนเมื่อวานล่ะ
ไม่เช่นนั้นพวกเราจะมีความผิดมหันต์…ไปได้แล้ว”
พลทหารขุนศึกรีบปราดเข้าไปคุกเข่าตรงหน้าดักแด้ “เชิญท่านหญิงน้อยกลับห้องเถิดขอรับ” ดักแด้ทำฮึดฮัด
“พวกเจ้าบังอาจมาก
กล้าดียังไงมาสั่งเรา…อยากเจอสิบแปดฝ่ามือพิชิตกะปอมรึ…เดี๊ยะ” “ธ่อ…ท่านหญิงน้อยโปรดอย่าฟุ้งซ่านเลยขอรับ
ไปพักผ่อนก่อนเถิด” “เอ๊ะ นี่เจ้าหาว่าเราบ้างั้นเรอะ”
ดักแด้เสียงเขียว พลทหารกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบากยากเย็น “ง่า…ตามสถิติแล้วคนบ้าไม่เคยมีใครยอมรับว่าตัวเองบ้าหรอกขอรับ” “แน้…”
เสียงดักแด้ร้องลั่น “พวกเจ้ามาหาว่าเราบ้า
เราไม่ได้บ้า ๆ ๆ …น้า
พวกเจ้าอยากลองดีใช่ม้ายยยยย!”
เธอแผดเสียงลั่นระเบียง
ทหารรีบถอยกลับไปยังแม่ทัพ “เอาไงดีท่าน…” แม่ทัพขุนศึกเอียงหน้าเข้ามากระซิบ “เจ้าไปบอกให้หมอหลวงเตรียมยาระงับประสาทไว้
ทางนี้ข้าจะพยายามกล่อมท่านหญิงน้อยเอง” “ระวังตัวด้วยนะท่าน
เมื่อวานเพื่อนของกระผมเพิ่งโดนท่านหญิงน้อยกระโดดกัดหูไปหยกๆ
โทษฐานไม่ยอมให้เธอลงไปขี่ตะกวดในสระ” แม่ทัพตาเหลือก
“ขี่ตะกวด!…ตะกวดฝูงใหญ่ในสระนั้นเป็นตะกวดศึก
หนึ่งในสิบสุดยอดองครักษ์พิทักษ์มังกรนอกจากที่เปิดเผยตัวออกมาแล้วคือ
แรดเผือกขนพอง, ผึ้งยักษ์, กระทิงแดง, เสือสิบเอ็ดตัว,
ลิงถือลูกท้อและอูฐบิน
เหลืออีกสามเดี๋ยวพวกเจ้าก็จะค่อยๆรู้จักกันไปเอง
แค่ตะกวดศึกนี่ก็นับว่าร้ายกาจมากพอแล้ว
ข้ายังนึกไม่ออกเลยว่าท่านพญามังกรจะเลี้ยงอะไรไว้อีกเห็นว่าน่าเกรงขามกว่านี้มากมายนัก…แล้วท่านหญิงน้อยให้เหตุผลว่าอย่างไรในการขอลงสระไปขี่ตะกวด” “เอ่อ
ท่านหญิงน้อยบอกว่าตะกวดมันร้องเรียกให้ลงไปว่ายน้ำเล่นด้วยกัน
เธอว่าจะขี่มันบินข้ามหุบเขาข้างหน้านั่นไปดาวดวงไหนก็ไม่ทราบข้าฟังไม่ถนัด
ข้าเลยถามว่าตะกวดมันจะบินได้อย่างไร
เธอบอกว่าถ้าบินไม่ได้เธอก็จะหาไม้มาเฆี่ยนมันโทษฐานเกิดมาเป็นตะกวดแล้วบินไม่เป็น…แค่นี้เองขอรับข้าก็เลยช่วยกันกับเพื่อนคว้าตัวท่านหญิงน้อยไว้ได้ทันก่อนที่เธอจะปีนข้ามรั้วไฟฟ้าแรงสูงโดดลงสระซะก่อน
เพื่อนของข้าก็เลยถูกท่านหญิงน้อยกัดหู”
“งั้นเจ้ารีบไปจัดหมอหลวงตามที่ข้าสั่ง
ไม่ต้องห่วงทางนี้ข้าคิดว่าข้าคุมสถานการณ์ได้” เสียงท่านแม่ทัพขุนศึกเฉียบขาดกร้าวแกร่งดุจบัญชาการรบในสมรภูมิ
แต่ไม่วายยกหลังมือปาดเหงื่อที่ขมับ
เหล่าทหารพยายามกล่อมและตะล่อมทุกรูปแบบแต่ท่านหญิงน้อยก็ไม่เลิกอาละวาดและเพิ่มทวีฤทธิ์แห่งการอาละวาดคลุ้มคลั่งมากขึ้นเรื่อยๆ
แม่ทัพขุนศึกเห็นท่าไม่ได้การจึงตัดสินใจสั่งลูกน้องขุนศึก 5-6
คนช่วยกันอุ้มตัวดักแด้ซึ่งดิ้นรนสุดฤทธิ์ลงบันไดไป เหลือแต่ไพรวัลย์ยืนนิ่งตาเหลือกลานมองตามดักแด้ไปอย่างไม่น่าเชื่อ…โธ่
แม่สาวน้อย
“แล้วแกจะมายืนหาสวรรค์วิมานอะไรที่นี่
กลับเข้าคุกไป!”
เสียงขุนศึกชี้หน้าไพรวัลย์ตวาดลั่น เจ้าไพรน้อยหันมาทำหน้าแบบกวนๆ
ตอนนี้ออกมาอยู่ข้างนอกแล้วมีหรือจะกลับไปเข้าคุกให้บื้อ
ในเมื่อก็ถือดีว่ากร้าวแกร่งในเชิงยุทธไม่แพ้ใคร
เมื่อนั้นเจ้าไพรจึงเอ่ยด้วยวาจาสามหาว “หากเจ้ากล้าก็เข้ามาสิ
มัวแต่ยืนเก้ๆกังๆอยู่ทำไม”
ประโยคเดียวเท่านั้น
ห้าในสิบของขุนศึกก็ปราดเข้ามาหาตามคำเรียกร้อง
หนึ่งในนั้นเข้ามาทางด้านหลังล็อคท่อนแขนกำยำเข้ากับซอกคอไพรวัลย์จนเจ้าตัวตาเหลือก
คิดอยู่ในใจว่าไม่น่าพูดแรงขนาดนั้นเลย
หรือนี่จะเป็นวาระสุดท้ายของเขาแล้วหนอจึงทำให้ปากมันพูดไปอย่างนั้น…
จากคุณ : ไชยยันต์ อนันตรัย - [17 มี.ค.
14:15:17]
| |
|