เพชรพระอุมา ภาค 6 มหาสมบัติพุกาม 

    เริ่มกันต่อเลยนะครับ

    ความเดิมตอนที่แล้ว....จำไม่ใคร่ได้ ขอโพสต์ก่อนละกัน.....................................
     

    สิ้นเสียงหัวเราะของพะตองยี มันก็โบกมือให้ทหารเลว พวกเหล่านั้นก็โถมถาเข้าใส่สองร่างที่ยืนหลังชิดผนัง เงื้อดาบในท่าเตรียมพร้อม ทหารเลวคนแรกที่ถลาเข้าไป-คงเป็นคนที่เพื่อน
    ๆไม่ใคร่ชอบหน้าที่สุด เพราะว่ามันเหินเข้าไปด้วยลักษณาการของการที่ถูกแรงส่งจากบาทาใครเข้าสักคนที่กลางหลัง-ถูกดาบในมือจิตรางคนางค์เข้าที่คอ เลือดกระฉูดกระเด็น
    ชักสามสี่กระตุกแล้วก็ล้มคว่ำลง แม้กระนั้นทหารเลวพวกนี้ก็เหมือนลิ่วล้อในเรื่องอื่น ๆ ที่ต่อมกลัวตายไม่มี หรืออาจะถูกตัดทิ้งตอนที่เข้าฝึกทหารใหม่ ๆ ต่างพากันหนุนเนื่องไปล้อมกรอบ
    ฟาดฟัน จ้วงแทงทั้งสองคนอยู่เป็นโกลี 

    ข้างคู่รักนั้นเล่าก็ผจญกับทหารเหล่านั้นด้วยความองอาจเยี่ยงขัตติยะ ทั้งฟันและจ้วงแทงทหารถึงแก่ชีวิตในคราวเดียวกันหลาย ๆคน มะกะโท ฟันดาบไปทางซ้าย
    ทหารที่อยู่ซ้ายและขวาก็ร้องโอดโอยและล้มลงตาย เมื่อจิตรางคนางค์แทงข้างหน้าทหารสามสี่คนที่อยู่บริเวณนั้นก็กระโดดปล่อยดาบลงไปดิ้นอยู่กับพื้น
    นี่เป็นฉากที่ซามูไรพ่อลูกอ่อนเลียนแบบไปใช้อย่างแน่นอน 

    แต่อนิจจา แม้ทั้งสองจะสู้อย่างแข็งขัน น้ำน้อยก็ย่อมแพ้ไฟ จิตรางคนางค์และมะกะโทถูกฟันเข้าหลายแผลและเมื่อยล้านัก
    ดาบในมือจิตรางคนางค์คาอยู่ในร่างของทหารเลวคนหนึ่งหนีบไว้ดึงไม่ออก เมื่อของมันล้ม ดาบจึงหลุดมือไปด้วย เหล่าทหารเลวจึงพากันกลุ้มรุมจับนางเอาไว้ 

    “หยุดเดี๋ยวนี้นะ มะกะทะ” พะตองยีตวาดเสียงดัง “เจ้าเห็นอะไรนี่ไหม” มันวางดาบพาดไว้ที่คอพระธิดาเมืองพุกาม ร่างนั้นชุ่มโชกแดงฉานไปด้วยเลือดทหารที่ตายและจากบาดแผลของตัวเอง 

    มะกะทะชะงักดาบทันที หันกายกลับไป “จิตรางคนางค์” ทหารเลวที่อยู่ข้างหลังฟันเข้ากลางหลังอย่างจัง มะกะทะทรุดลงทันที พระธิดากรีดร้องเรียกด้วยความเป็นกังวลสุดแสน
    “มะกะทะเป็นอะไรหรือเปล่า” นางพยายามจะดิ้นรนไปหา คมดาบบาดคอเลือดเป็นสายไหลริน

    ทหารเลวกลุ้มรุมปลดอาวุธชายหนุ่ม พร้อมทั้งหิ้วปีกสองข้าง เอาขายันให้ขุกเค่าอยู่กับพื้น นัยน์ตาของมะกะทะวาววามด้วยความแค้นสุดขีด ขณะจับจ้องพะตองยี “ปล่อยนาง
    ปล่อยนางเดี๋ยวนี้…” 
    พะตองยีกดดาบลงไปที่คอนางลึกขึ้น “ทำไมข้าจะต้องปล่อย หึหึ เจ้ามีอะไรมาสั่งข้า เจ้าทั้งสองก็เหมือนแม้นลูกไก่ในกำมือข้าแล้วจะบีบก็ตายจะคลายก็รอด ว่าแต่ว่าข้าจะบอกอะไรให้อย่างหนึ่ง
    แม้ที่ผ่าน ๆมาข้าจะดูเหมือนผู้ร้ายทั่ว ๆไปไปหน่อย ชอบพูดอธิบายให้เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานให้พระเอกเอาตัวรอดได้ แต่วันนี้ไม่แล้วว่ะ ข้าขอออกนอกสูตรสักวันหนึ่งเถอะ”
    ว่าแล้วมันก็กระชากดาบเข้ากับของนาง ถ้าจะบรรยายแบบแพคกินพ่าห์ผสมทารันติโน่ก็จะเห็นภาพดาบค่อย ๆเคลื่อนไปช้า คมเฉือนเข้ากับคอของนาง
    เนื้อปริแยกลึกแลเห็นเส้นหลอดคอที่ขาดเผยอขึ้น เลือดแดงสด ๆทะลักไหลหลั่ง ร่างค่อย ๆโงนเงนไปข้างหน้า นัยน์ตานางยังเหลือกค้างด้วยไม่เชื่อว่าพะตองยีจะเลือกวิธีการนี้
     

    “จิตรางคนางค์” มะกะทะร้องก้อง ดิ้นรนจนให้พ้นพันธนาการของทหารเลวทั้งหลาย หัวใจของเขาเจ็บแปลบเหมือนถูกคมดาบเข้าทะลวงเมื่อเห็นร่างนางอันเป็นที่รักล้มคว่ำลงกับพื้นฝุ่น
    โลหิตสด ๆ ไหลออกจากร่างนางปรี่นองไปทั่วพื้นรอบ ๆกาย 

    มะกะทะสบัดเต็มแรงอีกครั้ง คราวนี้การเกาะกุมหลุดไปโดยง่าย เขาผุดลุกขึ้นวิ่งไปร่างของจิตรางคนางค์ แต่วิ่งไปได้สามก้าว อาการเจ็บแปลบที่ใจมันก็เพิ่มขึ้น ก้มลงดูที่หน้าอก
    โลหะคมโผล่ออกมาจากตำแหน่งหัวใจ ลิ่มโลหิตทะลักออกมาจากปาก
    ที่แท้ทหารเลวคนหนึ่งได้เสียบดาบจากข้างหลังทะลุอกมะกะทะในเสี้ยววินาทีเดียวกับที่พระธิดาถูกบั่นคอด้วยน้ำมือพะตองยี

    ร่างสันทัดของมะกะทะร่วงผลอยลงเหมือนหุ่นกระบอกที่ถูกตัดออกจากเชือกแห่งชีวิตกระทันหัน ฟุบแน่นิ่งและไม่ไหวติง
    พะตองยีก้าวมาใช้เท้าถีบร่างให้หงายขึ้นจะดูหน้ามันเพื่อความสะใจเป็นครั้งสุดท้าย แต่ไม่สำเร็จเพราะด้ามดาบที่เสียบอยู่ที่หลังยันอยู่ “ลากศพทั้งสองนี่ไป ข้าจะไปเข้าเฝ้า….”
     

    พศ. 544
    อโนรธานอนซมอยู่ที่พระที่ เค้าหน้าที่ดูเหี้ยมหาญนั้นอิดโรยนัก เนตรที่เคยคมวาวทรงอำนาจบัดนี้ดูอ่อนล้าและมัวมน
    เจ้าแห่งชีวิตที่คนทุกผู้เคยหวาดหวั่นซบหน้าติดดินวิงวอนเพื่อขอชีวิตบัดนี้ก็เป็นเพียงแค่ชายป่วยที่กำลังนอนรอพระยม 

    หลังจากจิตรางคนางค์ พระธิดาองค์เดียว ตายไปด้วยเงื้อมมือของมะกะทะตามคำทูลของพะตองยี อโนรธาก็ล้มป่วยลงจนไม่อาจว่าราชการได้ พะตองยีได้เป็นที่ผู้สำเร็จราชการ
    ดูแลงานเมืองทุกอย่างต่างพระเนตรพระกรรณ หมอหลวงได้เปลี่ยนหน้าเปลี่ยนยาเข้ามารักษาแต่ก็ไม่ทำให้อาการดีขึ้นแต่อย่างใด มีแต่จะทรุดลงทรุดลงทุกวัน

    วันนี้อโนรธารู้สึกว่าจะเหนื่อยล้ากว่าทุกวัน เหนื่อยล้าเสียจนไม่อยากจะหายใจ นี่กระมังที่เขาเรียกว่าวาระสุดท้ายจะมาถึงแล้ว เสียงประตูห้องบรรทมเปิดออก ฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ ..ใครกันนะ
    ข้าสั่งแล้วว่าไม่ให้ใครเข้ามานี่นา อโนรธาตะแคงหน้าไปมอง ..พะตองยี เจ้าอสรพิษนี่เองหรือ ข้าไม่อยากให้มันเห็นข้าวันที่ข้ากำลังจะตาย…

    พะตองยีเขม้นมองร่างที่นอนแซ่ว พลางทรุดลงนั่งข้าง ๆพระที่ เอ่ยด้วยเสียงต่ำ ๆแผ่วเบา “ถวายบังคม…” แล้วมันก็เปลี่ยนเสียง เปลี่ยนท่าทีโดยสิ้นเชิง
    “ท่านคงตายตาไม่หลับแน่ถ้าไม่รู้ว่าตัวเองป่วยเป็นโรคอะไร หึหึ ข้ามาวันนี้ก็เพื่อคุยกับเล่าอะไรให้ฟังเล็กน้อย ไม่อยากให้ท่านพกความสงสัยไปยังนรก…”

    อโนรธาพยายามดิ้นรนลุกขึ้น แต่สังขารนั้นไม่อำนวยเสียแล้ว เสียงที่เคยแผดสีหนาทก็เป็นเพียงเสียงคร่อก ๆในลำคอ อาการดิ้นรนนั้นทำให้พะตองยียิ่งขบขัน
    “ทำไมหนอหมอหลวงถึงรักษาอาการของท่านไม่ได้ ก็เพราะว่าพวกเขาไม่ได้รักษา ทุกๆวันจะหมอคนใดคนหนึ่งจะเอาตัวยาที่ผสมดินถนำให้ท่านกิน อาการจึงได้ทรุดอย่างนี้เรื่อยมา…” 

    “ท่านทำหน้าเป็นคำถาม ความจริงท่านก็รู้อยู่ว่าข้าทำทำไม ก็เพราะบัลลังก์ยูงทองแห่งนี้น่ะซิ ความจริงระหว่างเราสองคนก็ต้องจบลงด้วยแบบนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ ท่านไม่เคยวางใจข้าแม้แต่น้อย
    ดังนั้นข้าก็ชิงลงมือก่อนก็ย่อมชอบแล้ว…”

    พะตองยีพูดไปเรื่อย ๆ มือก็เอื้อมไปหยิบหมอนใบโตขึ้นมา มันยืดกายขึ้น “หะแรก ข้าก็คิดว่าข้าจะสืบทอดแทนท่านโดยวิวาห์กับลูกสาวท่าน แต่นางกลับปันใจให้มอญต่ำต้อย
    ดังนั้นข้าก็ช่วยไม่ได้ที่ต้องกำจัดนางให้พ้นทางก่อน ข้ารู้สึกซึมเศร้าไปหลายวันเหมือนกันตอนที่บั่นคอนาง…” มันค่อย ๆกดหมอนลงช้า ๆใบยังหน้าของอโนรธาที่พยายามเบี่ยงหนี 

    พะตองยีเพิ่มแรงลงไปอีกทีละนิด “วันที่ข้าบอกว่านางตายด้วยน้ำมือมะกะทะ แล้วข้าก็เอาศพมะกะทะมาให้ท่านดู ท่านกินน้ำจันท์แล้วโบยศพมันอย่างบ้าคลั่ง
    ในน้ำจันท์นั้นก็มีพิษร้ายแรงผสมอยู่ เพื่อให้ท่านป่วยกระทันหัน อันเป็นการแผ้วทางถางสู่อำนาจของข้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป นับจากนี้อีกสองเดือนข้าจะแทนตำแหน่งท่าน
    เสียดายที่ท่านและลูกสาวไม่ได้อยู่เห็น มันจะเป็นงานฉลองที่ยิ่งใหญ่ทีเดียว…” ร่างที่ใต้หมอนดิ้นทุรนทุรายอยู่ไม่นอนก็สิ่งสนิทไป…

    อีกสองเดือนต่อมา

    พะตองยีอยู่ในชุดเครื่องทองใหญ่นั่งอยู่บนบัลลังก์ยูงทอง พราหมณ์กำลังลั่นฆ้องชัย จู่ ๆท้องพระโรงก็สั่นไหวอย่างแรง กระชากพะตองยีตกลงมา
    ผู้คนทั้งหมดในที่นั้นต่างล้มกลิ้งไปคนละทิศละทาง เสียงผู้คนร้องหวีดดังก้องระงม

    แรงกระแทกนั้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ “พระธรณีพิโรธ …”พราหมณ์เฒ่าปล่อยทุกสิ่งที่เตรียมในพิธี ลงคุกเข่า “โอ พระแม่โปรดหยุดยั้งความพิโรธด้วยเถิด” ท้องพระโรงเริ่มปริแยกออกเป็นสองส่วน
    ดินข้างหนึ่งถูกดันโก่งขึ้นมา ไอน้ำร้อนพวยพุ่งขึ้นมาจากรอยแตก นางสนมและเสนาอำมาตย์หลายคนที่หนีไม่พ้นล้มลงโครมกลายเป็นเนื้อต้มสุกไปในพริบตา

    พะตองยีตะโกนเหมือนคนบ้า “ท่านจะเอาบัลลังก์พุกามไปจากข้าไม่ได้ ข้าได้มันโดยสิทธิอันชอบ” ว่าแล้วมันก็วิ่งขึ้นไปนั่งยังบนบัลลังก์ “พระแม่ธรณีจงเป็นพยาน
    แม้ข้ามิได้ครองพุกามแม้สักวัน แต่เมืองนี้ สมบัติในเมืองนี้ก็เป็นของข้า ใครก็ตามที่มาแย่งไปจากข้าไม่ว่าอีกกี่ร้อยพันปีข้างหน้า มันจะต้องหายนะด้วยน้ำมือข้า….”

    เสียงดังครืน พื้นท้องพระโรงแยกออกจากกันเหมือนถูกมือยักษ์ฉีกให้ขาด บัลลังก์ยูงทองที่นี่พะตองยีนั่งอยู่หล่นลงไปในช่องว่าง ข้างของผู้คนอื่น
    ๆถูกเทจากแผ่นดินที่ยกขึ้นลงไปในช่องที่แยกออก ภายนอกพระราชวัง
    อาคารสิ่งก่อสร้างอื่นพังทลายจากแรงสั่นสะเทือนและแผ่นดินที่ยุบตัวและยกโก่งขึ้นในพริบตาได้กลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปในท้องอันมโหฬาร
    อีกครึ่งชั่วยามต่อมาพุกามอันรุ่งเรืองก็เหลือเพียงเศษซากปรักหักพัง และควันฝุ่นที่คละคลุ้งไปทั่วบริเวณเริ่มจางหายไปทีละน้อย พร้อมกับเสียงโอดโอย กรีดร้องของผู้คนก็เงียบลงไปด้วย

    แผ่นดินไหวใหญ่ครั้งนั้นได้กลบฝังพุกามและพลเมืองของมันไปเสียสิ้น แต่ความรักความแค้นความอยากแลความโลภของมนุษย์มิได้หยุดเพียงนั้น
    ชาติแล้วชาติเล่าของการเวียนว่ายในทะเลทุกข์ของหลายชีวิตที่ผูกพันกันด้วยกระแสแห่งกรรมนั้นในวันหนึ่งจะต้องถูกชักนำเข้ามาให้บรรจบและล้างเวราที่มีต่อกันเสียให้สิ้นตามกฏแห่งสังสาระ
    และเมื่อนั้นก็ได้มาถึงแล้ววววว 
     

    จากคุณ : รพินทร์ ไพรวัลย์ - [24 มี.ค. 00:50:06] 

    จากคุณ : หนานอิน - [28 มี.ค. 11:56:27] แจ้งลบกระทู้Bookmarkส่งกระทู้ให้เพื่อน

 
 


1