A Brief History of My Phone

8 June 2014 virusfowl

ทีแรกตั้งใจจะตั้งชื่อโพสต์นี้ว่า "ครั้งแรก ... กับน้อง G" ..... ซึ่งมาจากชื่อ เต็มๆ ว่า "ครั้งแรกกับระบบปฏิบัติการ Android กับน้อง Moto G" อีกที แต่พอ เขียนไปเขียนมา (ใช้เวลาเขียนยาวนานกว่าหนึ่งเดือน 55) มันก็ดูจะหลุดจากชื่อที่ตั้งใจไว้ไปไกล พอสมควร เลยตัดสินใจว่าเปลี่ยนชื่อโพสต์ให้เหมาะสมกับตัวเนื้อหาทั้งหมดน่าจะดีกว่า Blum 3

โดยที่โพสต์นี้ก็สืบเนื่องมาจากที่ได้เป็นเจ้าของสมาร์ตโฟนในระบบปฏิบัติการ Android กับเขา เป็นครั้งแรก และใช้งานมาได้ระยะนึง (ประมาณสองเดือน) จึงอยากจะมาเขียนอะไรๆ เก็บไว้สัก หน่อย (เห็นวันที่โพสต์บล็อกล่าสุดแล้วแอบต๊กกะใจ :O ดังนั้นบล็อกนี้ก็จะไม่ใช่บล็อกรีวิว แกะกล่อง หรือโฆษณาสินค้าแต่อย่างใด เป็นเพียงประสบการณ์การใช้งานจากผู้ใช้มือใหม่เท่านั้น

เนื่องจากเขียนๆ แล้วมันยาวมาก เลยคิดว่าคงต้องทำสารบัญไว้ให้กดข้ามไปอ่านเฉพาะส่วนที่น่า สนใจกันได้ง่ายๆ หน่อยคงดี...

ที่ไป...ที่มา

ก่อนอื่นเลยก็คงต้องเท้าความย้อนหลังกันคร่าวๆ ? สำหรับประวัติศาสตร์? การใช้งานโทรศัพท์ มือถือของข้าพเจ้า ซึ่งเริ่มมาได้สักประมาณ 10 ปี ย้อนหลังเท่านั้น อาจจะถือว่าไม่นาน ถ้าเทียบว่า มีมือถือเป็นของตัวเองเครื่องแรกก็ตอนมัธยมปลายเข้าไปแล้ว ในขณะที่เด็กๆ สมัยนี้ หลายคนก็มีมือ ถือกันตั้งแต่อยู่อนุบาลกันแล้วด้วยซ้ำ Smile

PCT นี่แหละเครื่องแรกที่ซื้อเอง

ใช่ว่าจะไม่เคยมีมือถือใช้เป็นของตัวเองมาก่อน ก่อนจะได้ตัดสินใจซื้อ PCT มาเป็นของตัวเอง และซื้อด้วยตัวเองตามที่บอกนี้ ก็เคยได้เจ้า Nokia 2128 ซึ่งเป็นระบบ CDMA จาก Hutch ซึ่งพ่อ ให้มาใช้ เนื่องจากต้องใช้ให้หมดสัญญาก่อนจะยกเลิกได้ ซึ่งเจ้ามือถือเครื่องนี้แหละ ก็เป็นตัวนำพา เครื่องอื่นๆ ให้อยากมีตามมาภายหลัง

พอมีมือถือใช้กับเขา ก็แน่นอนว่าเราก็ต้องใช้ให้มันคุ้ม (?) โดยการใช้มันเล่นไลน์ (ไลน์ สมัย ก่อนนี่เป็น telephone chat room นะฮ้าฟ ไม่ใช่แอปสนทนาแบบที่คนรู้จักกันทุกวันนี้) แล้วก็เป็น เหตุที่ทำให้ได้รู้จักกับ @[itsbobolive](https://twitter.com/itsbobolive) ซึ่งก็เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้อีกครึ่งปีถัดมา คิดว่าต้องหามือถือมาใช้ (แอบคุย) ? กับเขาบ้างแล้วล่ะ

และด้วยความสามารถ (ทางการเงิน) บวกกับการพิจารณาจากลักษณะการใช้งานแล้ว สิ่งที่จะ พอเป็นไปได้สำหรับนักเรียนมัธยมปลาย รายได้น้อยอย่างข้าพเจ้า ณ ตอนนั้น ก็คงจะหนีไม่พ้น PCT (ซึ่งแน่นอนว่ามือสองอีกต่างหาก) เพราะตอนนั้น คุณโบเธอเองก็ใช้ PCT อยู่เหมือนกัน ดังนั้นการ ซื้อมาเพื่อใช้ติดต่อคุยกันสองคนกระหนุงกระหนิง จึงเป็นอะไรที่ดูจะคุ้มค่าและลงตัวที่สุดแล้ว

ซึ่ง PCT เครื่องแรก ที่ตัดสินใจ (ผิด) ซื้อมาก็เป็นรุ่น X3 (ถ้าใครจะจำได้ รุ่นที่เป็นตัว X นี่ คือเป็นรุ่นที่ True สั่งทำเองมั้ง เพราะจะมีตั้งแต่ X 1 ไปยัน X เท่าไหร่ไม่รู้ ก่อนที่จะเลิกให้ บริการไป) เพราะด้วยความที่ว่าการจะซื้อ PCT มาใช้งานนั้น สิ่งแรกที่ควรพิจารณาก็คือคุณภาพของ สัญญาณ ซึ่งก่อนหน้านั้น เราได้แอบยืมเครื่อง X3 ของเพื่อนมาลองทดสอบในสถานที่จริงมาแล้ว ว่า มันก็พอใช้ได้นี่นา ก็เลยตัดสินใจถอยตัวนี้มา แต่ผลกลายเป็นว่า เอาเข้าจริง การจะใช้รุ่นนี้คุยให้ได้ สัญญาณ ดีๆ ได้นั้น เป็นเรื่องที่ลำบากมาก (เพราะต้อง แอบๆ คุย อย่างที่บอก) ผลคือ จำใจต้อง ขายคืน แล้วถอยรุ่นใหม่ที่ดีกว่ามาใช้ ซึ่งก็คงหนีไม่พ้นเจ้า Sanyo รุ่นที่ดึงเสาได้ แถมมีปุ่มบูตสัญญาณ (?) ซึ่งเป็นรุ่นที่ (เขาว่า) สัญญาณดีที่สุดในตลาดแล้วก็ว่าได้ คือถ้ารุ่นนี้ยังใช้ไม่ได้ มรึงก็ไม่ต้องใช้ PCT แล้วแหละ ว่างนั้น ซึ่งผลก็ออกมาเป็นที่น่าพอใจ เพราะสามารถหาที่ (แอบ) คุยได้หลายจุด มากขึ้น และก็ใช้เจ้า Sanyo นี่จนเข้ามหาลัย แถมซื้อเครื่องใหม่อีกเครื่อง ก็ยังสอย Sanyo นี้จาก เพื่อนมาอีกเครื่องอีกต่างหาก

ต่อจากนั้น ประมาณปี 2 ก็ได้เปลี่ยนมาใช้เจ้า DS590I เครื่องนี้ชอบตรงที่ได้เลขเครื่องค่อนข้างสวย (เราสามารถโทรหา PCT โดยการกดเข้าเลขเครื่อง ตรงๆ ได้ด้วย นอกจากกดเข้าเบอร์ 02 -* แล้วกดหมายเลข ต่อ) ซึ่งเครื่องนี้ก็มีประโยชน์นอกจากใช้คุยโทรศัพท์ได้แล้ว มันยังเป็น PCT ที่สามารถใช้เป็นโมเด็ม เพื่อเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ด้วย ตอนนั้นมีโปรคือสามารถเชื่อมต่อได้ฟรีครั้งละ 30 นาที ในยามยาก เน็ต 56 KbPS นี่ก็ช่วยชีวิตได้เหมือนกันนะ Biggrin และอีกหนึ่งความสามารถของมัน ก็คือมันยัง (น่า จะ) เป็น PCT รุ่นแรกที่สามารถใส่ริงโทนเข้าไปเองได้ ซึ่งวิธีก็แสนจะยุ่งยาก ทั้งซอฟต์แวร์ ทั้ง ฮาร์ดแวร์ แต่ด้วยความที่ซื้อมาแล้ว ก็อุตส่าห์ขวนขวายทำมันจนได้ ไหนจะต้องพยายามใช้ซอฟต์แวร์ที่ โปรแกรมอ่านจอภาพก็ไม่ค่อยจะอยากเข้าถึง ไหนจะต้องไปซื้อสาย USB สำหรับเชื่อมต่อกับ คอมพิวเตอร์ ซึ่งหัวก็เป็นหัว Mini USB ธรรมดาแท้ๆ แต่ดันต้องใช้สายพิเศษ ที่มีวงจรอะไรไม่รู้อยู่ ตรงหัวใหญ่ ฝั่งที่ต่อเข้าคอม ไม่งั้นคอมมันก็จะมองไม่เห็นตัวเครื่อง ถึงแม้จะลงซอฟต์แวร์ไว้แล้วก็ ตาม แต่ข้อดีอย่างของการพยายามไปจนถึงศูนย์ใหญ่ของ PCT (ที่ตึก True ตรงฟอจูน) ก็คือมัน สามารถใช้ต่อเน็ตเล่นได้นี่แหละ เท่ากับว่าซื้อมาก็ได้ใช้ประโยชน์สองต่อ (แหมแหละ สายเส้นนึงตั้ง 450 T_T)

และ... PCT เครื่องสุดท้ายในชีวิตของข้าพเจ้า ก็เป็นรุ่น Plus Phone (DS770G) ซื้อมาเพราะมีโปรโมชันว่าซื้อเครื่องแล้วได้ใช้บริการฟรี 1 ปี นี่แหละ แถมเครื่อง นี้ยังเป็นรุ่นที่สามารถใส่ซิมโทรศัพท์ในระบบ GSM แบบปกติได้อีกด้วย เท่ากับว่า ซื้อ 1 ได้ถึง 2 ซึ่ง ก็ใช้มันมาจนหมดโปรโมชันที่ว่า แล้วพบว่าการจะใช้งานต่อไปนั้น ไม่คุ้มค่าอีกแล้ว เนื่องจากทาง True ได้เปลี่ยนแปลงเงื่อนไข ไม่สามารถโทรฟรีได้คุ้มๆ เหมือนแต่ก่อน ซึ่งถ้าจะพิจารณาดูย้อนหลัง ก็จะพบว่า นั่นอาจเป็นกุสโลบายจากทาง True ที่เป็นการไล่ลูกค้าออกจากระบบแบบเนียนๆ ก็เป็น ได้ เพราะไม่นานต่อมา ทาง True ก็ได้ประกาศยกเลิกการให้บริการโทรศัพท์ในระบบ PCT ทั้ง หมด ถือว่าเป็นการปิดตำนานของโทรศัพท์พกพาไร้สาย ที่ใช้ได้เฉพาะกรุงเทพฯ และปริมณฑล อย่าง เป็นทางการ

ป.ล. จะบอกว่าโทรไปฟัง "เพชรพระอุมา" ทั้งสองภาคจบ ก็จากเจ้า Sanyo นี่ แหละ >.<

Nokia มือถือที่ (ใครๆ) ก็ใช้

พอถึงจุดหนึ่ง ซึ่งก็คือจุดที่ PCT มัน สัญญาณ เน่ามากๆ (ในหอพักมหาลัย) นอกจากจะเป็นปัญหา ต่อการสื่อสารแล้ว ยังพาลมาเป็นปัญหากับชีวิต (คู่) อีกต่างหาก เลยคิดว่า อืมแหละ คงถึงเวลา ต้องมีมือถือปกติกับเขาใช้บ้างแล้ว ซึ่งมือถือเครื่องแรกก็เป็นการซื้อต่อมาจากเพื่อน (อีกแล้ว) เป็น เจ้า Nokia 6270 ซึ่งจุดเด่นของรุ่นนี้ก็คือมันหนักมาก เอ้ยไม่ใช่ละ คือวัสดุซึ่งเป็นโลหะทั้งตัว (นั่นแหละมันถึงหนัก) แล้วก็มีลำโพงคู่ ซึ่งก็ถือว่าเป็นมือถือตัวนึงซึ่งเสียดีเลยทีเดียว (นับเฉพาะลำโพงอะนะ)

แล้วก็ใช้งานมาได้อีกประมาณไม่ถึง 2 ปี ก็เกิดกิเลส (ยังไงไม่รู้) ว่าอยากได้เครื่องใหม่ ก็ เลยจำใจต้องขายเจ้า 6270 ทิ้งไป ซึ่งก็เป็นอะไรที่ตลกมาก เพราะซื้อเจ้า 6270 ต่อมาจากเพื่อน ในราคา 2000 บาท และก็ผ่านการซ่อมใหญ่ไปหนึ่งครั้ง ถ้าจำไม่ผิดคือเปลี่ยนสายแพ ในราคา 400 บาท และเรื่องที่ตลกก็คือ ร้านที่เอาไปซ่อม กับร้านที่ขายต่อเจ้า 6270 ออกไป เป็นร้านเดียวกัน แถมยังขายได้ราคาพอๆ กับตอนที่ซื้อมาอีกต่างหาก เรียกว่าคุ้ม ฝุดๆ 555

และ Nokia เครื่องถัดมาของข้าพเจ้าก็คือ Nokia 5220 XpressMusic ซึ่งจุดเด่น ? ของตัวนี้ก็คือมีลำโพงคู่เหมือนกัน แต่เป็นลำโพงคู่ที่ทำมุม 90 องศาต่อกัน และอยู่ใกล้กันมากกก (แล้วมันจะเสียงดีไหม) แต่ดีกว่า 6270 ก็คือ มันบางและ เบากว่ากันแยะ ก็นะ เครื่องก็เป็นพลาสติกทั้งตัว แถมมีฝาหลังเป็นยางๆ หยักๆ อย่างกับรองเท้า แตะอย่างนั้นแหละ 555 เลยเรียกชื่อเล่นของรุ่นนี้ว่า Nokia รุ่นรองเท้าแตะมันซะเลย Blum 3

และด้วยระยะเวลาพอๆ กัน คือไม่ถึงสองปี ข้าพเจ้าก็ได้ถอย Nokia เครื่องใหม่อีกจนได้ และ เครื่องเก่า 5220 ก็โดนขายต่อไปอีกเช่นเคย ซึ่งอันที่จริงก็ไม่อยากขายแหละ แต่ตอนนั้นอยู่ใน สถานการณ์ที่ว่า แม่จะซื้อของให้ แต่มีเงื่อนไขว่าถ้าซื้ออะไรก็ต้องขายของเก่า และตอนนั้นก็ตัดสินใจ อยู่นานมาก ว่าระหว่างซื้อมือถือใหม่ Nokia 5220 -> ... กับ เปลี่ยน iPod ใหม่ iPod Video gen.5.5 -> iPod touch gen.4 จะเอาอย่างไหนดี และด้วยความที่อ่านเจอจาก หลายแหล่งว่า เจ้า iPod gen..5.5 ที่ใช้อยู่นั้น ถือเป็น iPod รุ่นนึงที่เสียงดีที่สุดอยู่แล้ว และไป ลองๆ กด ๆ เล่นๆ iPod Touch ดู ก็ยังไม่ประทับใจอะไรกับ iOS 4 ตอนนั้นเท่าไหร่ (ไม่ชอบ เสียงเจ๊นาริสาด้วยแหละ) ก็เลยรู้สึกว่า ซื้อมือถือใหม่ น่าจะดีกว่า

และผลที่ออกก็คือ .... Nokia X5-01 ซึ่ง ต้องถือว่าเป็นรุ่นที่ค่อนข้างมาแบบไม่ได้ตั้งใจมากๆ เพราะก่อนหน้านั้น จากโพสต์ แรกสัมผัสกับ Touchscreen (Symbian นะ) ซึ่งก็ถือเป็นการชิมลางสำหรับระบบปฏิบัติการ Symbian ซึ่ง ก็รู้อยู่แล้วว่าคนตาบอดสามารถใช้งานได้ แต่ก็ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าอยากใช้รุ่นไหน

จริงๆ คือเล็งไว้หลายตัวมาก อิ_อิ ไม่ว่าจะเป็น Nokia E52, Nokia E72, Nokia E75), Nokia 5320 XpressMusic << สังเกตว่าส่วนมากที่เล็งไว้ จะเป็นตัวที่มี QWERTY Keyboard เพราะรู้สึกว่ามันน่าจะเอามาใช้พิมพ์ๆ ได้สะดวกดี

แต่เหตุที่กลายมาเป็น X5-01 (ได้ไง) นี่ คงเป็นเพราะหน้าตาของมันซึ่งค่อนข้างไม่เหมือนใคร (ชอบของแปลกว่างั้น) เพราะจริงๆ ก็รู้จักเจ้ารุ่นนี้มาคร่าวๆ จากข่าว จากรายการแบไต๋ มาสักพัก นึงแล้ว ว่า Nokia ออกมือถือ ทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส แถมมี QWERTY Keyboard แบบสไลด์ติดมาด้วย อีกต่างหาก ตอนรู้ข่าวก็อืม... ก็แปลกดีนะ แต่พอวันนึงแม่พาไปจับตัวจริงในห้าง (เพราะแม่ก็เห็น ว่ามันแปลกดี เลยเล่าให้ฟัง ตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเอามาขายในบ้านเราแล้ว) ก็เฮ้ยยย! เจ๋งอะ พอเจอมือถือทรงนี้ พวกที่เป็น QWERTY Keyboard แบบสไลด์ข้างนี่ตกกระป๋องไปหมดเลย มันต้อง สไลด์ข้างล่างแบบนี้เซ่ๆ แถมตัวเครื่องวัสดุก็ดี เป็นโลหะทั้งตัว เหมือนกับตัว 6270 เลย แน่นอน ว่านอกจากน้ำหนักที่ค่อนข้างหนักแล้ว มันก็มีความหนาที่ไม่แพ้ 6270 เช่นกัน (เป็นสไลด์เหมือนกัน ด้วยนิ) แต่เมื่อเอาความสั้นของมันมาหักลบกลบหนี้กันไปแล้ว ก็ถือเป็นโทรศัพท์รุ่นนึงที่ขนาดกำลังพอดี มือเลยทีเดียว

ดูเหมือนจะดีทุกอย่าง เพราะสเปคในขณะนั้น รุ่นนี้ก็ถือว่าใช้ CPU ตัวแรง (แล้ว) ของ Nokia กล้องก็ 5 MP + flash ซึ่งจุดนี้ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก ถือว่ามันดีกว่าตัวเก่าๆ 6270 -> 5220 กล้อง = 2MP มี Wi-Fi 3G (900+2100) ซึ่งตอนนี้มันก็ยังมีประโยชน์ในฐานะ Mi-Fi เอาไว้ปล่อย wi-Fi ใช้ในยามยากได้อยู่เลย - แต่สิ่งที่เคืองมากก็คือ ลำโพง เพราะมันดันมีรูลำโพงมาสองรู ทำเหมือนว่าจะเป็นลำโพง stereo (ซึ่งถ้าใช่คงจะเสียงดีมาก) แต่ไหงได้ เสียงมันดันออกแค่รูเดียวนี่นา.... #คุณหลอกดาว และพอใช้มาเรื่อยๆ ไม่แน่ใจว่า เป็นปัญหาที่ ฮาร์ดแวร์หรือเพราะซอฟต์แวร์บางตัวที่ใช้ ทำให้ไมโครโฟนที่ตัวเครื่องเสียงสนทนาที่อีก ฝั่งได้ยินเบามาก ถึงมากที่สุด จึงเป็นภาระต้องให้ไปหา smalltalk มาใช้ และที่ทำให้ยุ่งยากขึ้น ไปอีกก็ด้วยความเรื่องมากส่วนตัว ที่ถ้าจะหา smalltalk มาใช้ ก็อยากได้แบบที่สามารถต่อหูฟัง แยกได้เอง (เผื่อไว้ฟังเพลงเสียงดีๆ หน่อย ได้ด้วย) ก็ยังดีที่หาอยู่ไม่กี่ร้าน (ในพันทิพงาม) ก็ยัง เจอ

คิดว่าอยู่ตัวกับ Symbian แล้วนะ

จากที่ซื้อเจ้า x5-01 ตอนปลายปี 2010 ก็คิดว่า คงไม่ได้ซื้อมือถือใหม่ไปอีกนานแน่ๆ เพราะ เท่าที่ใช้งาน ก็ถือว่าการใช้งานทั่วๆ ไป ก็ครบท่วนพอสมควรเลยทีเดียว สามารถเล่นได้ (บ้าง) มี TweetS60 ให้ใช้งานได้ชิลๆ Symbian ก็น่าจะยังไปได้เรื่อยๆ ชีวิตสำหรับโทรศัพท์เครื่องนึง ก็คง แค่นี้แหละมั้ง จะเอาอะไรมาก....

ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าในขณะนั้น Symbian ก็เริ่มเข้าสู่ขาลง และใกล้จุดวิกฤติขึ้นเรื่อยๆ หลังจาก การเข้ามาของ iPhone + Android phone มากมาย จน Nokia ประกาศยุติการสนับสนุน symbian ในที่สุด และแอปที่ถือว่าจำเป็น (สำหรับข้าพเจ้า) มากๆ อย่าง TweetS60 เอง ก็ประกาศเลิก พัฒนาด้วยเช่นกัน ก็ทำให้มือถือ symbian ที่เคยคิดว่าจะใช้ได้อีกยาวๆ มีวี่แววว่าอาจจะต้องถูกปรด ประจำการในเร็ววันนี้

จนมาถึงต้นปีนี้เอง น่าจะปลายๆ มกราได้ ด้วยอายุการใช้งาน 3 ปีหน่อยๆ X5-01 ของ ข้าพเจ้า ก็ได้จากลาไปด้วยอาการขาอ่านซิมหัก ซึ่งก็มีสาเหตุสุดฮิตอย่างการใส่กรอบ+ micro sim (ไม่ได้ใช้ตัวแปลงซิม) ลงไป พอตอนถอดถ้าไม่ระวัง มันก็จะไปงัดขาอ่านซิมให้หักได้ ซึ่งทีแรกก็ยัง ใจชื้นว่า อืม คงหาร้านซ่อมได้แหละมั้ง หาในเน็ตแล้วก็มีคนเป็นอาการนี้นี่นา แถมค่าซ่อมก็ไม่กี่บาท แต่พอเอาเข้าจริง ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองที่ปิดถนนอยู่หน้าสยามและยาวไปจนถึงมาบุญครอง ก็ ทำให้ตัวเลือกการจะไปหาร้านซ่อมในมาบุญครองต้องถูกเลื่อนไปก่อน แถมร้านในมาบุญครองเอง ที่ สามารถติดต่อได้ผ่านเฟซบุ๊ก ซึ่งลองสอบถามดูสองร้าน ก็ให้คำตอบไปในเชิงที่จะซ่อมไม่ได้หรือไม่รับ ซ่อมกันมากกว่า (เดี๋ยวนี้เขารับซ่อมกันแต่ touch screen กันแล้วชิมิ?) แต่ก็ยังโอเค เพราะว่า หาเจออยู่ร้านนึงที่เซ็นรัตนาฯ โทรไปสอบถามแล้วก็ได้ความว่าน่าจะซ่อมได้ แต่พอเอาของไปถึงหน้า ร้านจริงๆ กลับต้องรอเช็กอะไหล่ก่อน แล้วผลสรุปก็คือ ร้านไม่สามารถหาอะไหล่ให้ได้ ไอ้เราก็เริ่ม ตัดใจละ

แต่ก็ยังรู้ว่านอกจากเปลี่ยนอะไหล่ไปเลยแล้ว ส่วนมากที่เขาซ่อมอาการนี้กันก็คือ การเชื่อมขา อ่านซิมลงไปใหม่ ซึ่งจากที่เดินถามในเซ็นรัตนาฯ ดู ไม่มีร้านไหนรับทำเลย แต่เราก็ยังมีความหวัง กับพันทิพงามฯ อีกห้าง ซึ่งก็โชคดี? ที่เจอร้านนึงช่างบอกว่าโอเคซ่อมได้ เราก็คิดว่าโอละ กับราคา 300 ซึ่งก็ถือว่าโหดเหมือนกัน เทียบกับราคาที่เคยอ่านเจอมา ถ้าซ่อมด้วยวิธีนี้ราคาไม่น่าแพงมาก เท่านี้ แต่ก็ดีกว่าซ่อมไม่ได้..... เดินดูของรอเวลาไปเรื่อยๆ กลับไปรับเครื่อง ผลคือ มันก็ยังไม่ สามารถอ่านซิมได้.... แถมยังรู้สึกว่าเครื่องรวนๆ อีกต่างหาก แต่ก็ยังดี ที่ช่างเขาก็ยังรับผิดชอบ ถือว่าซ่อมแล้วใช้ไม่ได้ เขาก็ไม่ได้คิดค่าใช้จ่ายอะไร นอกจากเวลากับความรู้สึก (หวัง) ก็ไม่ได้ เสียอะไร เพราะยังไงก็นึกว่า ถ้าเครื่องมันรวน เอามา flash rom ลงไปใหม่ ก็คงกลับมานิ่ง เหมือนเดิมเอง

กระโดดข้ามกันไปนิดนึง ... และแล้ว วันเวลาผ่านไป เครื่องใหม่ก็ได้มาใช้งานแล้ว และแล้ว เราก็ได้ไป มา บุญ ครอง mobile store ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย 555 ด้วยความหวังว่า ห้าง นี้แหละที่เคยอ่านเจอว่าเขามาเดินหาร้านซ่อมอาการขาอ่านซิมหักได้ เดินๆ ไป คือแม่เราก็จะเน้น ถามแต่เฉพาะร้านที่ดูแล้วมีช่างนั่งอยู่ คือไม่ชอบร้านที่แบบว่าถามปุ๊บ เดินเอาของเราหายไปร้านไหน ก็ไม่รู้ แล้วกลับมาบอก ถ้าถามแล้วก็ควรได้ซ่อมตรงนั้นเลย คุยกับช่างเลย ร้านแรก ช่างก็บอกว่าน่า จะซ่อมได้ ก็คือเขาจั๊มขาลงไปใหม่ให้ได้นั่นแหละ แต่พี่ท่านเปิดราคามา 500 บาทไทยแบบนิ่งๆ เลย โหย 300 ก็แพงแล้วนะเพ่ นี่เปิดมา 500 ไม่ไหวอะคร้าบ ก็เลยเดินต่อ แล้วก็โชคดี ไปเจอร้านนึง รู้ตอนหลังว่าชื่อร้าน หน่อยโมไบล์ อยู่ตรงข้ามช็อปของ iMobile อะไรแถวๆ นั้น มีช่างอยู่ ถาม แล้วบอกว่าทำได้ เปิดราคามา "100 บาท" อะๆ โอเค จัดไปสิคร้าบ ได้ไม่ได้ก็ลอง ดูแหละราคานี้ XD

และระหว่างรอซ่อมเครื่อง เราก็ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ I-m so happy โดยการลากแม่ไปรับเครื่อง แจกฟรีจาก True (เล่าได้เพราะเกี่ยวกับมือถือเหมือนกัน 55) ทีแรกเห็นสเปคตัว Gold Live ว่าปล่อย Wi-Fi ได้ ก็อยากให้แม่เอาตัวนั้นนะ แต่พอไปที่ศูนย์ True ลองจับตัว Nokia 208 ดู เออ มัน ก็หน้าตาใช้ได้นะ วัสดุก็ดูดี (ตอนที่จับตอนนั้นรู้สึกว่าฝาหลังมันเป็นโลหะจริงๆ นะ แต่พอมาแกะ เครื่องจริง ทำไมเป็นพลาสติกอย่างนี้ล่ะเพ่?) ประกอบกับเขาบอกว่ามีเครื่องรุ่นนี้ให้รับได้พอดี ก็ เลยเอานี่แหละ ให้แม่รับเจ้า Nokia 208 กลับบ้าน เอามาไว้เป็นเครื่องสำรองอีกตัว ซึ่งเมื่อเอา กลับมาลองเปิดๆ เล่นๆ ดู ก็พบว่า มันก็ใช้ได้นะ ลำโพงก็เสียงใสดีทีเดียว คุณภาพเสียงในการฟัง เพลงผ่านหูฟัง ก็ถือว่าไปวัดไปวาได้ ถือว่าเป็นเครื่องสำรองที่ไม่กระจอกเลยทีเดียว Smile

และแล้วก็กลับไปรับเครื่อง X5-01 ที่ซ่อมไว้ เย้ๆ ^ มันกลับมาใช้ได้ปกติแล้วคร้า บเพ่น้อง ซึ่งด้วยความซวย ทีแรกกะจะเอาซิม AIS ซึ่งไปขอเปลี่ยนเป็น Micro sim มาไว้แล้ว มาลองใช้ เพราะว่ามันยังไม่ได้แกะออกจากกรอบ ก็คือยังใช้เป็น mini sim ได้อยู่นั่นแหละนะ แต่ ตอนแกะออกจากกรอบใหญ่ ดันพลาด หลุดมาแต่ micro sim ซวยแระ แต่ยังดีที่ขอให้พี่ที่ร้านเขาใช้ ซิมเขา ทดลองว่าโอเคนะ มันกลับมาอ่านซิมได้แล้ว ก็เป็นอันเรียบร้อย สรุปก็มีมือถือใช้สองเครื่อง ใส่ซิมได้ครบ 3 ค่ายพอดี 55

ด้วยเหตุการณ์เหล่านี้แหละ เป็นที่มาว่าเราคงต้องหาโทรศัพท์เครื่องใหม่ที่จะเอามาใช้เป็น เครื่องหลัก แบบจริงจังสักทีซึ่งจะได้เล่าให้อ่านกันต่อไป....

กว่าจะได้น้อง G

ก่อนอื่นก็คงต้องอธิบายก่อนว่าทำไมถึงเป็น Android ทั้งที่โทรศัพท์สมาร์ตโฟนที่คนตาบอดเข้าถึง ได้มากที่สุด ก็คงไม่พ้น iPhone

ทำไมไม่เป็น Iphone

โดยความรู้สึกส่วนตัว (นอกจากจะไม่มีตังซื้อแล้ว) การเสียเงินสองหมื่นกว่า แลกกับโทรศัพท์จอ เล็กๆ เครื่องนึง มันดูไม่คุ้มเอาเสียเลย ยอมรับว่าผลิตภัณฑ์จากค่ายผลไม้ ก็ทำเราเกิดกิเลส ถูกตา ต้องใจ มาแล้วหลายชิ้น แต่ไม่ใช่กับ iPhone เลยจริงๆ ตั้งแต่ iPhone รุ่นแรก ที่เคยได้จับ จน มาถึง 3GS ที่ได้ลองฟังเสียงเจ๊นาริสาใน VoiceOver เป็นครั้งแรก ลองแล้วไม่เคยรู้สึกอยากได้ เลย ต่างจากตระกูล iPod ซึ่งรายนั้นเป็นอุปกรณ์ฟังเพลง ซึ่งชอบตระกูล iPod nano เป็นพิเศษ ตั้งแต่ Nano gen.4 5 6 นี่ อยากได้มาตลอดๆ 55 แต่ด้วยความที่ยังไงการใช้งาน และที่สำคัญ คุณภาพเสียง มันก็สู้เจ้า iPod video gen. 5.5 ที่มีอยู่แล้วไม่ได้ ก็เลยไม่รู้จะซื้อเครื่องเล่น เพลงมาเพิ่มอีกทำไม

หรือแม้แต่ตระกูล iPad อันนี้ก็แอบสนใจมาตั้งแต่ gen. 2 แล้ว ด้วยความที่มันหน้าจอใหญ่ เลย คิดว่ามันน่าจะใช้งานอะไรได้หลากหลายกว่าโทรศัพท์หน้าจอเล็กๆ อย่าง iPhone เพราะโดยส่วน ตัว มีความคิดว่า อยากลองเล่นแอปดนตรีบน iDevice ดูแฮะ (เห็นคนอื่นเขาเล่นกันแล้วรู้สึกว่ามัน เจ๋งดี) แต่ก็ยังแอบเรื่องมากนิดนึงว่า แต่ขนาด 9.7 นิ้ว นี่มันก็ใหญ่ไปหน่อยแฮะ เคยลองจับตัว Samsung tab 7.7 แล้วรู้สึกว่า เฮ้ย ขนาดนี้แหละกำลังดี ก็เลยตั้งหน้าตั้งตารอ iPad mini .... จนวันที่ Apple ออก iPad mini ตัวเป็นๆ ออกมาจริงๆ พอได้ลองจับ ความรู้สึกแรกก็ยัง "มันก็ยังใหญ่ไปนิดนึงอะ" แต่ถ้าจะไม่อะไรมาก มันก็ถือเป็นขนาดที่พอรับได้แล้ว แต่ ด้วยความ "กั๊กสเปค" ของ Apple ทำให้รู้สึกว่า มันก็ยังดูไม่คุ้มที่จะซื้อ iPad mini ที่สเปคไม่ได้ดีเท่า iPad ตัวใหญ่ ก็เลยเป็นสาเหตุว่าจนถึงทุกวันนี้ ข้าพเจ้าก็ยังไม่มี iOS Device เป็นของตัวเองสักที และสาเหตุอีกอย่างลึกๆ ก็คือ "ไม่ชอบใช้ของโหล" ลองคิดว่า เราอยู่ในสังคมเมือง ที่ไปที่ไหนก็เจอแต่คนใช้ iPhone ทำไมเราไม่มีตัวเลือกที่แตกต่างบ้างเลย เหรอ ทำไมต้อง iPhone เหมือนชาวบ้านเขาด้วย Blum 3

ไม่ใช่ iPhone ก็ต้อง Android แล้วล่ะ

เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าชีวิตนี้คงไม่เอาตัวเองไปถูกขังอยู่ในคุกกระจก (ฮาาา) ตัวเลือกที่เหลือ อยู่ ก็คงจะหนี Android ไปไม่พ้น เนื่องจากระบบปฏิบัติการเจ้าใหญ่ๆ ที่ยังพอกินส่วนแบ่งตลาดได้ บ้าง นอกจาก iOS + Android แล้ว ล้วนรองรับการเข้าถึง (accessibility) สำหรับคน ตาบอดได้แย่มากๆ BlackBerry เอง ก็ออก screen reader มาให้แบบขอไปที WindowsPhone เอง ก็เพิ่งจะ ใส่ Narrator มาเป็นเรื่องเป็นราวใน update 8.1 ซึ่ง ณ ขณะนี้เครื่องส่วนมากก็ยังไม่ได้ใช้กัน ด้วยซ้ำ แปลว่าความน่าจะเป็นในการใช้งานระบบปฏิบัติการที่ว่า ก็ต่ำอยู่แล้ว และข้อสำคัญที่สุด ระบบปฏิบัติการเหล่านั้น ไม่มี "TTS ภาษาไทย" ซึ่งถือเป็นจุดตายที่ยังไงก็คงไม่ใช้ แน่ๆ

ในขณะที่ฝั่งของ Android นั้น ก็ได้ข่าวการพัฒนาตัวระบบปฏิบัติการ และตัวโปรแกรมอ่านจอ ภาพที่ชื่อว่า TalkBack มาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับข่าวดีที่ว่า NECTEC เปิดให้ทดลอง Vaja Thai TTS for Android ได้ตอนปลายปี 2012 ซึ่งนั่นแปลว่า เราก็มั่นใจได้ว่าอย่างน้อยๆ เราก็ จะมีเสียงวาจานี่แหละ เป็น TTS ภาษาไทยบน Android ให้เราได้แน่นอนแล้วหนึ่งเสียง ดังนัน การใช้งานโทรศัพท์สมาร์ตโฟนบนระบบปฏิบัติการ Android ก็คงจะไม่แย่มาก (คงไม่แย่ไปกว่า Symbian ไปได้ 55)

มือถือ Android เครื่อง (เกือบ) แรก

ถ้าจะว่าไป โทรศัพท์มือถือ Android ในตลาดก็มีให้เลือกมากมาย และเอาจริงๆ น้อง G นี่ก็ ไม่ใช่ Android เครื่องแรก แบบแรกจริงๆ แต่ต้องถือว่าเป็นเครื่องแรกก็เพราะ เครื่องก่อนหน้า นั้น ไม่อยากจะเรียกว่าได้ใช้ เรียกว่าได้ลองใช้จะตรงกว่า เหอๆ

เรื่องมันเริ่มมาจาก... ตอนวันหยุดปีใหม่ 2014 เรากับแม่ ก็มีแพลนว่าจะซื้อโทรศัพท์ใหม่ คือ แม่อะมีแพลนจริงจัง แต่เรานี่ก็เฉยๆ แค่ดูๆ อยู่ กะว่าแค่อยากได้มาใช้ใส่ซิมได้ครบๆ จะได้ไม่ต้อง เปลี่ยนซิมเข้า เปลี่ยนซิมออก (ซึ่งก็เป็นสาเหตุนึงที่ทำให้ X5-01 เจ๊งก่อนวัยอันสมควร) ที่ดูไว้ ก็ คือเห็นสเปคตัว Lenovo A369i ว่า มันก็คุ้มดี กับราคาไม่ถึง 3,000 บาท เอามาใช้เล่นๆ ก็น่าจะไม่เสียหายอะไร แต่พอได้ไปลองจับ ตัวจริงแล้ว กลายเป็นว่า ทาง Lenovo ตัดเอา TalkBack ออกจากรอม แถมลองเอาไฟล์ติดตั้ง ไปลงเองผ่าน SD Card ก็ใช้ไม่ได้อีกต่างหาก ก็เลยเซ็งละ ว่าเห็นทีจะไม่มีบุญกับรุ่นนี้ ประกอบกับ คนขายก็เชียร์ตัวOppo Find Muse ซึ่งราคาเพิ่มขึ้นมาอีกพันนึง แต่ได้กล้องหน้า ได้ 3g 2 sim รอมที่ลื่นกว่า (เขาว่างั้น) และข้อสำคัญคือ พอลองเปิด talkBack ดู มันสามารถใช้งานได้เลย ไม่ต้องไปวุ่นวายอะไรเองอีก ด้วยความที่ก็ไม่ได้ศึกษาอะไรไปมากมาย เล็งแต่รุ่นที่ราคาไม่แพง กะว่าจะใช้โทรเข้าโทรออกเป็น หลัก ก็เลยอืมแฮะ หน้าตาก็ถือว่าผ่าน สเปคก็โอ ราคาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ก็เลยตัดสินใจถอยเจ้า Find Muse กลับบ้านมาโดยพลัน คือกลายเป็นว่าได้ซื้อโทรศัพท์ก่อนแม่อีก 555

อะไรที่ได้มาง่ายๆ มันก็มักจะไปได้ง่ายๆ ด้วยเช่นกัน (ไม่มีอุปสรรค บารมีไม่เกิด ว่างั้น) ใช้ มันได้ไม่ถึงสัปดาห์ ก็มีเหตุให้ต้องคืนเครื่อง (และรับเงินคืน) เนื่องจากสาเหตุที่งี่เง่ามากๆ อย่าง การที่ Oppo ออกแบบวงจรมามีปัญหากับชิปเสียง กล่าวคือ ถ้าหากเราต่อลำโพง (โดยเฉพาะ ลำโพงพกพาแบบที่มีแบตในตัว) หรือจะเป็นพวก headphone amp ก็เช่นกัน คืออะไรที่มีแบตในตัว มีระบบไฟฟ้าว่างั้นเหอะ เข้าไปปุ๊บ มันจะมีเสียงหึ่งๆ เป็นความถี่ที่มารบกวน ทำให้ถึงขั้นที่ว่าฟัง เสียงที่ต่อออกมาไม่รู้เรื่องเลยทีเดียว คือไม่ใช่เสียงไม่ออกนะ แต่ออกมาพร้อมกับเสียงรบกวนแบบ หนักหน่วง เอาจริงๆ คือแอบเจอตั้งแต่ตอนซื้อมาแล้วลองเล่นบนรถตู้ตอนกลับบ้านแล้วแหละ เพราะ ลองเอา headphone amp มาต่อดู แต่ก็คิดว่า เอ๊ะ มันอาจจะเป็นปัญหาเฉพาะตัวนี้หรือเปล่า หรือ มันอาจจะหายหรือเปล่า แต่พอเอากลับไปบ้าน ทดสอบกับลำโพงพกพาหลายๆ ตัวในบ้านแล้ว headphone amp หลายตัว ก็แล้ว เปลี่ยนสายอะไรๆ ก็แล้ว อาการก็เป็นเหมือนเดิม ก็เริ่มคิดว่า คงไม่ใช่กรณีปกติแล้วแหละ แต่ก็ยังใจชื้นว่า โอเค เครื่องอยู่ในประกัน 7 วัน ยังน่าจะกลับไป เปลี่ยนสินค้าได้ ถ้ามีปัญหาจริงๆ ก็ไม่น่าเป็นอะไร

แต่.... ความจริง ก็ไม่เคยสวยงามเหมือนความหวัง เมื่อพอไปเครมแล้ว พบว่าทางร้านกับ ทางศูนย์บริการของ Oppo ที่โทรไปถามก่อนหน้านี้ ว่าสามารถเปลี่ยนเครื่องได้นั้น มีนโยบายการให้ บริการที่ไม่เหมือนกัน พอไปถึงร้านจริงๆ ทางร้านกลับบอกว่า สามารถให้เปลี่ยนเครื่องใหม่ (แกะ กล่องใหม่ได้) แต่แค่เครื่องเดียวเท่านั้น ถ้าเจอว่ามีปัญหาอีก ก็คือต้องเลือกเอาเครื่องใดเครื่อง หนึ่ง (คุ้นๆ เนาะ เหมือนเคยอ่านเจอตามกระทู้ในพันทิป เคสที่คนซื้อ โทรศัพท์ยี่ห้อดังเครื่องละ หลายหมื่นเจอกันเบย) หรือไม่ทางร้านก็จะคืนเงินให้ หรือเปลี่ยนเป็นรุ่นอื่นที่ราคาเท่ากัน หรือเพิ่ม ส่วนต่างหากอยากได้รุ่นที่แพงกว่าเดิม ซึ่งอย่างที่บอกว่าที่จริงคือไม่ได้อยากได้เครื่องแพงๆ อะไรอยู่ แล้ว แล้วตัวอื่นๆ ก็ไม่เคยอยู่ในตัวเลือกอีกต่างหาก (ไม่เคยดูสเปคตัวอื่นๆ ไว้เลยอะนะ) ก็เลยไม่ ได้คิดจะเปลี่ยน อยากใช้ตัวนี้แหละ แต่เปลี่ยนเครื่องที่ไม่มีปัญหามาได้ไหม แต่ความหวังก็ต้องมลาย เนื่องจาก พอฟังเงื่อนไขของทางร้านแล้ว และก่อนหน้านั้นก็ได้ลองเทสกับเครื่องที่ร้านแล้วอีกต่าง หาก ว่าเครื่องที่ร้านเอง ก็เจอปัญหาแบบนี้เหมือนกัน แถมไม่ใช่แค่ Find Muse ที่เป็น ดูเหมือน Oppo รุ่นถูกๆ ทุกรุ่น ก็จะเจอปัญหาแบบนี้เหมือนกันหมด ก็เลยเริ่มเอะใจละ หรือว่ามันจะเป็นปัญหา ทั้งล็อตฟระ ก็เลยทดสอบด้วยการ ไปลองเทสเครื่อง Oppo อีกหลายๆ ร้าน ในห้างนั้น แล้วก็พบว่า เครื่องส่วนใหญ่ (เอาจริงๆ ก็คือทุกเครื่อง) ในรุ่น Find Muse มีปัญหาแบบที่ว่านี้ทั้งหมด แถมให้ เราเปลี่ยนเครื่องได้เครื่องเดียว แล้วคงจะดวงดีเจอเครื่องที่ไม่มีปัญหาได้หรอกนะ.....

แต่ในที่สุดก็กลับไปลองขอแกะเครื่องใหม่ดู เพราะไม่ว่ายังไงมันก็เป็นสิทธิ์ของเรา ถ้าแกะแล้ว ไม่พอใจ ก็แค่เอาเครื่องเดิมเป็นหลัก หรือจะเลือกตัวเลือกอื่นที่ทางร้านเสนอให้ก็ยังได้ และแล้วผล ก็เป็นไปตามคาด เครื่องใหม่ที่แกะออกมา ก็เจอปัญหาแบบเดิมไม่ต่างกัน....

ด้วยความท้อใจ เลยออกมานั่งตั้งสติ แล้วก็โทรไปเล่าเคสให้ศูนย์บริการของ Oppo Thai ฟัง อีกครั้ง ซึ่งพนักงานก็แนะนำว่า ถ้ายังไงเข้าไปที่ศูนย์ใหญ่ (อยู่ตั้งบางกระบือแน่ะ) ก็จะสามารถ เปลี่ยนเครื่องใหม่ได้เลยทันที แล้วก็เปลี่ยนจนกว่าจะเจอเครื่องที่ไม่มีปัญหาได้ด้วย เราก็อืม... แต่ ตอนนั้นคือมันเป็นวันที่ 6 ที่ซื้อมาจากร้านแรกแล้ว เราก็กลัวว่ามันจะทันเงื่อนไขการเปลี่ยนสินค้าภาย ใน 7 วันไหม พนักงานก็บอกว่าถ้ายังไงก็คือให้ส่งเรื่องไปก่อน จะได้เป็นหลักฐานว่าเราติดต่อยื่น เรื่องเข้าไปแล้วภายในระยะเวลา แต่สรุปแล้วพอคุยกันกับแม่ (ซึ่งต้องเป็นคนพาไป) ก็ได้ความว่า ถ้าเข้าไปวันนี้ทัน ก็ไปจัดการให้มันหมดเรื่องหมดราวไปเลยดีฝ่า..... จากเดอะมอลล์ บางแค ก็ มุ่งสู่ บางกระบือ ด้วยเหตุประการฉะนี้

ขึ้นรถ (ไม่ได้ลงเรือ) หลายต่อ กว่าจะถึงศูนย์บริการใหญ่ของ Oppo Thai ในบรรยากาศของ เย็นวันเสาร์ (ราวๆ ห้าโมง) แว่บแรกที่เข้าไปยื่นเรื่อง พนักงานหน้าเค้าท์เตอร์บอกว่า " วันนี้วันหยุด เปลี่ยนเครื่องไม่ได้นะคะ" เวรรร คือผมโทรถาม CC คุณมาแล้ว ทางนั้นบอกว่า เข้ามาแล้วเปลี่ยนได้เลยนะฮ้าฟ ไม่อยากจะเถียงอะไรมาก เราก็เลยเอาบันทึกเสียงการสนทนากับ cc ให้เขาฟัง (ต้องใช้แบบนี้) ก็ดูเหมือนจะได้ผล มีการพยายามเดินเรื่องให้ นั่งรอ (ความหวัง) อยู่พักนึง ก็มีช่างจากด้านในออกมาพยายามบอกว่าเครื่องเราไม่ได้มีปัญหา อ้าวเฮ้ย! คือทางนั้นก็ พยายามโบ้ยว่า แจ็คของเราใช้กับ เครื่องรุ่นนี้ไม่ได้ 2 ขีด 3 ขีด ไม่เหมือนกัน บลาๆๆ แน่นอนว่า เราก็ต้องยืนยัน (นั่งยัน) เต็มที่ว่า มัน .. ไม่ .. ใช่ ... อุปกรณ์ของคุณนั่นแหละที่ไม่ปกติ จน พนักงานที่น่าจะเป็นช่าง ก็เอาลำโพงตัว X-Mini Max II ที่เราพกไปให้เขาเทส ไปลองจิ้มๆ กับ เครื่องอื่นๆ ที่มีโชว์อยู่ เลยได้ข้อสรุปที่ดูจะเป็นเหตุเป็นผลออกมาว่า เครื่องของ Oppo รุ่นต่ำๆ ถึง กลางๆ เอาเป็นว่าทุกตัวที่ใช้ชิปของ MTK (CPU สำหรับโทรศัพท์ ที่ผลิตจากจีน ซึ่งแน่นอนว่าราคา ถูก) มีปัญหาเหมือนกันแบบนี้หมด ไม่ได้เป็นเฉพาะเครื่องเรา หรือเป็นเฉพาะรุ่น Find Muse นี้แต่ อย่างใด เครื่องที่ไม่มีปัญหา คือตัวที่ใช้ชิปของควอคอม ซึ่งแน่นอนว่าราคาก็หมื่นขึ้น ทางนั้นเอา เครื่องใหม่มาให้ลองอีกสองเครื่อง (บอกว่าแกะใหม่ แต่เอามาเฉพาะตัวเครื่อง) ก็ไม่มีอะไรต่าง ผลสุดท้ายก็เลยทำอะไรไม่ได้ ทางนั้นก็เลยยื่นข้อเสนอว่าจะให้คืนเงิน ไอ้เราก็... หมดหวังกับรุ่นนี้ และแบรนด์นี้แล้ว ก็เลยเอาแหละ คืนเงินให้จบๆ กันไปละกัน และนี่ก็เป็นบทสรุปของ โทรศัพท์มือถือ จากแบรนด์ Oppo กับข้าพเจ้า ซึ่งแน่นอนว่าพอเจอประสบการณ์แบบนี้เข้าไป ก็คงไม่มีวันกลับไปแล มือถือยี่ห้อนี้อีก เอาจริงๆ คือเรื่องก็เหมือนจะไม่หมด เพราะการคืนเงิน บอกไว้ว่าภายใน 15 วัน แต่เอาจริงๆ ก็ปาเข้าไปเดือนกว่า กว่าจะได้เงินคืน ติดโน่นติดนี่ ต้องโทรไปถามแล้วถามอีก เหอๆ #พอกันที

อันที่จริงความไม่พอใจสำหรับเจ้า Find Muse นี่ก็ไม่ใช่แค่ปัญหา output อย่างเดียว การใช้ งานในเครื่องเอง Rom ที่ Oppo ปรับปรุง Android โดยครอบด้วย Color UI มา (ที่เขาเรียก เป็นของตัวเองว่า Color OS) นั้น สำหรับการใช้งานร่วมกับ TalkBack ถือว่าค่อนข้างลำบาก ถ้าจะนับแค่การใช้งานพื้นๆ ก็ถือว่าพอใช้ได้ แต่การใช้งานลึกๆ บางอย่าง ก็ยากเย็นแบบคิดไม่ถึงกัน เลยทีเดียว

อย่างเคสง่ายๆ อย่างการ slide to unlock อันนี้ก็งงตึ้บกันมาตั้งแต่ร้านแล้ว เพราะพอเปิด TalkBack เราไม่สามารถ slide to unlock แบบปกติได้ ซึ่งวิธีก็คือ แทนที่จะใช้นิ้วเดียวลาก เพื่อปรดล็อก เราต้องใช้สองนิ้วลากเพื่อปรดล็อกแทน (ใครจะรู้ฟระนั่น) หน้าโทรศัพท์ (dialer) เอง ก็มีปุ่มที่ไม่ระบุ (unlabel) อยู่ทั่วไป แต่อันนี้ก็คิดว่าถ้าใช้ๆ ไป เดี๋ยวก็จะชินไปเอง แต่อีก อย่างที่ทำให้ขัดใจมากก็คือ หาวิธีการกดต่อเลขหมายไม่เจอ คือพอกดโทรออกแล้ว ไม่สามารถกดให้ แป้นโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้งเพื่อกดต่อเลขหมายภายในได้ ซึ่งถือเป็นความลำบากในการใช้งานแน่ๆ

แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่มันเป็น Android เราก็ยังใจชื้นหน่อยว่า โอเค ถ้าซอฟต์แวร์ตรง ไหนไม่พอใจ ใช้งานไม่ได้ ไม่สะดวก เราก็หาแอปมาลงใหม่เองได้แหละมั้ง อย่างหน้าตาหลักๆ เราก็สามารถเปลี่ยน Laungcher เองได้ ตัวหน้าโทรศัพท์ เราก็หา dialer ใหม่มาลงได้แหละ มั้ง แต่ด้วยความที่ไม่ได้ใช้มันจริงๆ ก็เลยไม่ได้สนใจจะลองหาแอปอะไรมาลง เพราะสรุปที่คืน เครื่องไปเสียก่อน แต่ก็เพิ่งมารู้ภายหลังว่า แอปหลายตัวที่เราคิดว่าจะหามาลงเองได้นั้น ส่วนใหญ่ จะติดเงื่อนไขที่ว่าต้องเป็น Android 4.4.x ขึ้นไป (Find Muse = 4.2.2) ดังนั้นข้อแนะนำก็ คือ ถ้าเป็นไปได้ การเลือกซื้อโทรศัพท์ Android ควรเลือกรุ่นที่เป็น Android เวอร์ชันใหม่ที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ แล้วท่านจะใช้ Android ได้อย่างที่ต้องการ Biggrin

แต่เราก็ หากันจนเจอ...

หมายเหตุ: นี่ไม่ใช่นิยายน้ำเน่า แค่เรื่องเล่าของคนเรื่องมากคนนึง ที่กว่าจะได้มือถือเครื่องที่ ถูกใจ (และถูกตัง) มาใช้งานเท่านั้น 55555

หลังจากเจอประสบการณ์เลวร้ายกับ Android ที่ (เกือบจะ) ได้เป็น Android เครื่องแรก ของเรามาแล้ว ต่อมความเรื่องมากที่ยังไม่ทำงาน + ความจำเป็นที่เพิ่มขึ้น เมื่อ X5-01 เจ๊ง เพราะขาอ่านซิมหัก ช่วงนึงที่ไม่มีมือถือใช้เลย ก็ยังดีที่ได้ free trial subscription ของ Skype นี่แหละมาใช้โทรโน่นนี่ไปพรางๆ ก่อน และแน่นอนว่าก็ เป็นช่วงที่ต้องนั่งหาข้อมูลว่ามือถือตัวไหนน้า ที่ดีพอ และพอดีกับฉัน และคนนั้นคือ.... เฮ้ย #ผิด

แน่นอนว่าเอาจริงๆ แล้ว โทรศัพท์ที่ถูกตาต้องใจนั้นก็หายากมาก ยิ่งถ้าต้องใส่เงื่อนไขว่าต้องไม่ แพง และสเปคไม่ห่วยลงไปอีก ไหนจะต้องจับแล้วบอดี้ถูกใจ จอไม่ใหญ่ ... ด้วยความเรื่อง มากระดับนี้ ดูเหมือนจะไม่มีมือถือตัวไหนผ่านเกณฑ์ได้เลย รุ่นที่อยู่ในความสนใจ ณ ขณะนั้นล้วนแล้ว แต่เป็นรุ่นที่เพิ่งออกข่าว ว่าจะเปิดตัว อย่างเช่น

  • Nokia X ซึ่งมี ข่าวว่าจะเป็น Android ตัวแรกจาก Nokia แถมยังพัฒนา base on KitKat (Android 4.4.x) เราก็เอาละ เออตัวนี้แหละ จอไม่ใหญ่ เน้นตลาดล่าง ราคาไม่แพง แถมเป็นของ Nokia ยังไงที่ผ่านมาก็ Nokia มาแล้วทุกเครื่อง ยังไงก็คงไม่นอกใจ Nokia ไปได้แหละงานนี้ แต่พอข่าว จริงออกมา base on Android 4.1.2 โห่ แถมหน้าตาเครื่องหลายคนถึงกับบอกว่า มันคือ "อิฐพลาสติกชัดๆ" แบบนี้ก็ไม่ไหวนะคร้าบพี่ Nokia แถมด้วยการที่ Nokia พยายามโมหน้าตา Android ให้ไปคล้ายกับ windowsPhone อีก ก็ไม่รู้ว่าความ accessible ในการใช้งานร่วมกับ TalkBack จะดีสักแค่ไหน
  • Asus Zenfone 4 ตัวนี้ก็เป็นอีกตัวที่ข่าวออกมาตั้งแต่ต้นปี แถมยังเกริ่นมาไว้ว่าราคาไม่แพง สเปคดี (ดีกว่า Nokia X) แถมมาพร้อมกับ KitKat ค่อนข้างชัวร์ ด้วยความที่ก็มีเพื่อนที่ใช้แท็บเล็ตจาก เจ้านี้อยู่ ก็เลยมั่นใจได้ในระดับนึงว่า มันน่าจะใช้งานได้ไม่มีปัญหาอะไร แต่สาเหตุที่เจ้าตัวนี้ก็ไม่ได้ ถูกเลือกก็เพราะว่า "ผิดที่เราเจอกันช้าไป" เพราะมีข่าวมาตั้งชาติ แต่กว่าเครื่อง จริงจะขายก็ปาเข้าไปอีกเกือบครึ่งปี ใครจะรอล่ะครับ "ออกช้าเกินไปนะเธอ" อันนี้ พูดเลยว่า ถ้าสมมติ X5-01 ไม่ได้พัง ยังไม่ต้องรีบซื้อเครื่องใหม่ ข้าพเจ้าคงต้องมี ไม่ Zenfone 4 ก็ Zenfone 5 มาอยู่ในครอบครองแน่นอน ขนาดมีเป็นตัวเป็นตนแล้ว นี่สเปค Zenfone 4 ยัง ยั่วตายั่วใจ จนอยากจะซื้อมือถือใหม่อีกเครื่องแล้วเนี่ย (ถ้าไม่ติดว่าถ้าซื้ออีกโดนด่าแน่ๆ นะ) 555

Motorola Moto G

ยอมรับครับว่า Moto G เครื่องแรกนี่..... #ผิด

ยอมรับว่า Moto G นี่ อยู่ในสายตา แต่ไม่ได้อยู่ในตัวเลือก เนื่องจากสาเหตุหลักๆ 2 ข้อ คือ ราคา และไม่มีขายอย่างเป็นทางการในบ้านเรา และจะเห็นว่าเครื่องที่เล็งๆ ไว้ที่เล่าไปแล้ว รวม ถึงเครื่องที่ได้ซื้อแล้วด้วย จะอยู่ในเรทราคาราวๆ 4,000 ซึ่งเห็นว่าเพียงพอต่อการใช้งานแล้ว แต่ ด้วยความที่ว่า เออ ไหนๆ ก็จะซื้อใหม่แล้วทั้งที ยอมเพิ่มเงินอีกหน่อย ประกอบกับข่าวที่ว่า Moto G น่าจะเข้าไทย เพราะมีคนเห็นทั้งใบรับประกัน ทั้งคู่มือที่มีภาษาไทย และถ้าเทียบแล้ว ในราคาเดียว กัน ไม่มีมือถือตัวไหน สเปคต่อราคาคุ้มค่าเท่า Moto G ได้อีก จากที่แค่ผ่านตา ก็กลายเป็นอยู่ใน สายตา และก็มาอยู่ในใจในที่สุด ฮิ้ววว

ปัญหาถัดไปคือ เมื่อเฝ้ารอแล้ว รอเล่า สาวเจ้าก็ไม่มา เฮ้ย น้อง G ก็ไม่ยอมมาขายสักที จน สืบข่าวค่อนข้างมั่นใจแล้ว มันคงไม่เข้ามาทำตลาดในบ้านเราตามที่เคยมีข่าวแล้วล่ะ ก็เลยตัดสินใจ แล้วว่างานนี้ต้องข้ามน้ำ ข้ามทะเล ก็ต้องเป็นเจ้าของเธอให้ได้ // ก็เลยเริ่มหาวิธีว่าจะทำยังไง ถึงจะสู่ขอเธอมาได้กันนะ ตัวเลือกก็มีอยู่ไม่กี่ทาง คือ ฝากคนรู้จักของพ่อหิ้วให้ อันนี้ก็จะได้เครื่อง จากฮ่องกง ซึ่งเช็กราคาดูแล้ว ก็จะตกอยู่ราวๆ 8,000 หน่อยๆ แล้วแต่ร้านที่เขาจะไปซื้อมาให้ และก็เป็นตัวเครื่องเปล่าๆ เท่านั้น กับอีกทางก็คือ การสั่งซื้อผ่านร้านบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งก็มีร้านที่ ดังๆ อยู่ไม่กี่เจ้า แต่ด้วยความที่ก็ยังไม่เคยสั่งซื้อของออนไลน์อะไรเป็นเรื่องเป็นราว และมูลค่าสูงๆ แบบนี้ ประกอบกับความหวังว่ามันอาจจะเข้าไทยหรือเปล่า งานมือถือจะมาไหม.... ก็เลยยังลังเล

จนงานมือถือต้นปีมาถึง ไปเดินๆ ก็มีเจ้า Sony Xperia M Dual นี่เข้าตาอยู่เหมือนกัน สเปคดีกว่าพวกตัว 4,000 ขึ้นมาหน่อย ได้แบรนด์เป็น Sony ซึ่ง จะตัดปัญหาสอนแม่ใช้โทรศัพท์ไปได้ประการหนึ่ง เพราะถ้าใช้ยี่ห้อเดียวกัน ก็จะได้บอกแม่ได้ว่าจะกด อะไรตรงไหน เพราะสรุปแล้วเมื่อตอนปีใหม่ แม่ก็ได้ถอย Sony Xperia C มาเป็นที่เรียบร้อย ต่ก็คิดแล้วคิดอีก Android ก็แค่ 4.2.2 ความหวังในการอัพเกรดก็ดูริบหรี่ รอม โมก็ไม่มี แถมข้อสำคัญ ใช้ USB OTG ก็ไม่ได้... จะซื้อมือถือราคาระดับนี้แล้ว เพิ่มอีกนิดเป็นน้อง G จบทีเดียวดีกว่า...

ประสบการณ์การสั่งของผ่านเน็ตครั้งแรก

จนเมื่อสรุปได้แล้วว่าคงต้องสั่งผ่านเว็บนี่แหละ เป็นวิธีที่ดูจะโอที่สุดแล้ว เพราะอย่างน้อยเขาก็ บอกว่ามันก็ยังมีการรับประกัน ถึงจะต้องส่งเครื่องไปๆ มาๆ ข้ามประเทศเพื่อเครมกันเลยก็เถอะ ก็ เลยตัดสินใจที่เว็บที่เป็นชื่ออำเภอแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคใต้ (ใบ้ซะขนาดนี้บอกเลยไหม) พอเข้า ไปดูหน้าสั่งของ ก็เจอว่าช่วงนี้เขากำลังมีโปรโมชัน เป็นราคา deal price ซึ่งถูกกว่าราคาปกติ ไปหลายร้อยบาทอยู่ ก็อืม.... กดออเดอร์ไปก่อน กะว่าถ้าเปลี่ยนใจก็ยังไม่ต้องจ่ายตังแล้วกัน (ตอนนั้นใจจริงยังลุ้นให้มันเข้าไทยอยู่อะนะ)

ซึ่งระบบสั่งสินค้าในเว็บขายของพวกนี้ก็ใช้งานไม่ยาก ไม่จำเป็นต้องสมัครสมาชิกอะไร เพียงแค่ กดปุ่ม "หยิบลงตะกร้า" ซึ่งหากเราไม่ได้ปิดหน้าเว็บทิ้งไป มันก็จะจำค่า section และ IP ของเราไว้ได้ เราสามารถหยิบสินค้าชิ้นอื่นๆ ลงตะกร้าเพิ่มเติมได้อีก จนกว่าจะกดชำระ เงิน ซึ่งรวมๆ แล้วก็โดนค่าเสียหายไป 8,304 บาท ค่าเครื่อง 7,555 + ฟิล์ม 100 (อันนี้เคือง มาก เพราะตอนหลังฟิล์มขายถูกกว่านี้) + flip case ของ Nillkin ซึ่งเป็นแบบ smart active สามารถปลุกเครื่องได้ด้วย อีก 499 (+30 เพราะเลือกสี) + ค่าขนส่งอีก 120 บาท สั่ง ออเดอร์ทิ้งไว้ประมาณวันพุธได้ แล้วก็ยังตัดสินใจไม่ได้ ตกลงจะซื้อไม่ซื้อ ซื้อไม่ซื้อ ... จนวันศุกร์ ตอนบ่ายๆ ไม่รู้ด้วยความเกิดอาการเมาสี (ที่ออฟฟิซทาสีอาคารภายนอก แอร์ก็ดูดกลิ่นเข้ามาเต็มๆ) หรือด้วยอะไรมาดลใจไม่ทราบได้ ก็โอนเงิน ชำระค่าเครื่องไปเรียบร้อย ..... ซึ่งต่อมาพบว่า เป็นการกระทำที่ถูกต้องแบบไม่ได้ตั้งใจ เพราะถ้าไม่กดจ่ายวันนั้นได้มีงานเข้าแน่ๆ :O

เงื่อนไขของราคา deal ก็คือ สินค้าจะส่งช้ากว่าปกตินิดหน่อย คาดว่าเป็นการซื้อแบบกลุ่ม จึง ทำให้ได้ราคาต่ำลง คล้ายๆ พวกเว็บ deal ที่มีกันเกร่อตอนนี้แหละมั้ง โดยล็อตที่สั่งคือโปรของ ปลายเดือน ก.พ. และมีกำหนดส่งของหลังวันที่ 10 มี.ค. แล้วก็มารู้ทีหลังว่า เขามีกำหนดว่าถ้า ใครจ่ายเงินเลยกำหนด (ซึ่งก็คือวันที่ข้าพเจ้าจ่ายนั่นแหละ) ก็จะอดราคา deal นี้ไป (โชคดีไป๊) สิ่งที่ต้องทำถัดมาก็คือ รอออ... .

.

. .

.

.

แต่เมื่อสัปดาห์ของการส่งของมาถึง ก็ยังไม่ได้รับการยืนยันการส่งของ โดยที่เว็บนี้เขาจะส่งเลข EMS มาให้ทาง SMS ในเบอร์ที่กรอกข้อมูลไว้ (ซึ่งเราก็ใส่เบอร์แม่ อิอิ) ก็เลยเริ่มเกิดความสงสัย จนสองวันผ่านไป เห็นว่าเขาทยอยๆ ส่งเนื่องจากคนสั่งเป็นจำนวนมาก ไม่มีคนช่วยแพกของ

เมื่อโทรไปเขาก็บอกว่าคุ้นๆ นะ เหมือนส่งให้ไปแล้ว โดยสิ่งที่แจ้งให้เขาก็คือ ชื่อผู้สั่ง หรือจะ เป็น order ID ก็ได้ ผลคือเขาบอกว่าขอหาแป๊บ เดี๋ยวโทรกลับ.... เอาแหละ ไหงเป็นงี้หว่า ดู จาก status บนเฟซบุ๊กของร้าน ก็บอกว่านี่ก็คือส่งของให้หมดแล้วนี่นา แล้วทำไมของตูยังไม่ได้... เริ่มหลอนไปนิดหน่อย >.< จนเมื่อเขาโทรกลับมา พร้อมกับคำอธิบายว่า ตอนนี้ยังเหลือ เครื่องอีกจำนวนหนึ่ง ที่ยังไม่ได้ของ เนื่องจากของไม่พอหรือการจัดส่งมีปัญหาไม่รู้แหละ ทำให้คนที่ จ่ายเงินกลุ่มท้ายๆ ต้องรอของไปก่อน (จ่ายก่อนได้ก่อนว่างั้น) กลายเป็นว่าของเราก็ต้องรอเป็น สัปดาห์ถัดไป T_T

แต่การที่ได้ของช้านี่ก็ดีไปอย่าง เพราะตอนแรกที่สั่งเคสไปเลือกเป็นสีดำไป เอาชัวร์ว่าสีพื้นๆ แต่พอให้แม่มาดูแล้ว แม่บอกว่าสีฟ้าก็สวย เออ พอเครื่องได้ช้า ก็เลยได้โอกาสขอเปลี่ยนสีเคสด้วย เพราะทีแรกลองติดต่อไปขอเปลี่ยนแล้ว ทางร้านบอกว่าถ้าจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้ แต่ต้องรอ เคสอีกอาทิตย์นึงนะ อืม ก็พอดีกันเลย ไหนๆ ก็จะได้เครื่องช้าไปอีกอาทิตย์นึง ก็เปลี่ยนสีเคสไปด้วย เลยแล้วกัน ข้อเสียของร้านอย่างหนึ่งก็คือ ไม่ค่อย active กับลูกค้าในการตอบอีเมลมากนัก ขนาด เมลฉบับหลัง ย้ำไปแล้วว่าถ้าอ่านแล้ว ยังไงก็ช่วยตอบกลับมาเป็นการยืนยันด้วย แต่ก็ไม่มีใคร ตอบกลับมา อันนี้จะด้วยความไม่ว่าง ไม่มีพนักงานหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่การโต้ตอบกับลูกค้าให้ว่อง ไว และต่อเนื่องนี่ถือเป็นจุดที่ทางร้านควรปรับปรุง (เขาจะได้เข้ามาอ่านไหมนั่น)

แรกสัมผัสกับน้อง G

เมื่อของมาส่ง แต่.... ข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้สัมผัสของหรอกนะ เพราะให้ของไปส่งที่ที่ทำงานแม่ แต่ก็ให้แม่แกะกล่องตรวจความเรียบร้อยให้ทันที (ถ้ามีปัญหาจะได้ส่งกลับให้ว่อง) แล้วก็แน่นอนตาม สูตรของคนตาบอดเวลาจะเทสมือถือ android ก็ให้แม่ลองเปิด TalkBack ให้ลองฟังเป็นการยืน ยันว่าโอเคนะ น้อง Moto G นี่มี talkBack มาให้ไม่ตกหล่น เพราะจริงๆ ก่อนจะซื้อก็ศึกษามาจน มั่นใจแล้วว่าไม่น่ามีปัญหาอะไรกับการใช้งานเจ้า Moto G นี้แน่ๆ เพราะทาง Motorola นั้นปรับ แต่ง rom น้อยถึงน้อยมาก จากตัว pure Android ซึ่งพอได้ลองใช้แล้วก็พบว่าน้อยมากจริงๆ เพราะขนาดแค่แอป file manager ก็ยังไม่มีติดมาให้ เหมือนเครื่องตระกูล Nexus เป๊ะ >< แถมยังยืนยันด้วยการฝากเพื่อนๆ ในทวิตภพที่ใช้ Moto G อยู่แล้ว ให้ช่วยเทสเพื่อเป็น การยืนยันแบบชัวร์ๆ อีกชั้น ว่าโอเคมี TalkBack ใช้งานได้ค่อนข้างดี ไม่มีปัญหาอะไร O

และหลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้มาใช้งานน้อง G กันแบบจริงจังแล้วล่ะ.... แว่บแรกที่ได้จับ ก็รู้สึก ว่าเป็นโทรศัพท์ที่ดูใหญ่และหนาพอสมควร เนื่องจากขุ่นแม่ได้ทำการใส่เคสไว้ให้เรียบร้อย (ได้ข่าว ว่าใส่ไว้ตั้งแต่ที่แกะกล่องออกมาเลย) จากเครื่องที่มีความหนาอยู่แล้ว (11.6 mm) + ความหนา ของเคสที่ปิดทั้งหน้าและหลังไปอีก เลยทำให้รู้สึกว่า เฮ้ยนี่มันหนาระดับน้องๆ เครื่องสไลด์อย่าง X5-01 เลยนะ แต่พอเปิดฝาเคสขึ้นมา ก็เริ่มเก็ตว่าจริงๆ ที่รู้สึกว่ามันหนา (มากไปนิดนึงนั้น) หลักๆ ก็มาจากความหนาของเคสนั่นเอง

ให้แม่เปิด TalkBack ขึ้นมาให้ ลองลูบๆ ปัดๆ ดู เอ๋ ทำไมมันไม่ค่อยอ่านหว่า จะว่าหน้าตาใช้ ไม่ได้ก็ไม่น่าใช่ เอ๊ะอะไรยังไง พอสักพัก เลยสำนึกได้ว่า เออขุ่นแม่เอาอีกแล้ว เพราะแม่เราดัน เปลี่ยนภาษาเครื่องให้เป็นภาษาไทยไว้ (แอบเอาไปใช้เป็นนาฬิกาปลุกก่อนหน้านี้) มันก็เลยไม่อ่าน ถึงอ่านได้น้อยมากๆ ตามระเบียบ แต่พอเปลี่ยนเป็นอังกฤษแล้ว มันก็ยังแปลกๆ อีกอยู่ดีแฮะ แล้วก็ สำนึกได้ (อีกรอบ) ว่าอ๋อ เพื่อนเคยบอกว่าถ้าเปลี่ยนภาษาแล้ว บางที TalkBack มันจะยังอ่าน แปลกๆ อยู่ เราต้อง reboot เครื่องทีนึง ให้มันเปลี่ยนภาษาได้อย่างสมบูรณ์เสียก่อน โอเค... พอเปลี่ยนภาษาแล้ว reboot เครื่องแล้ว ทีนี้ก็ได้ใช้งานน้อง Moto G กันแบบเป็นเรื่องเป็นราว แล้วล่ะ....

หน้าตาการใช้งานก็อย่างที่บอกไปแล้วว่า Rom ของน้อง G ที่ Motorola ใส่มานั้น แทบจะ เรียกว่า pure Android กันเลยก็ว่าได้ ทุกอย่างสามารถเข้าถึงได้ด้วย TalkBack แบบไม่ขาด ตกบกพร่อง home screen มีมาให้ 5 หน้า โดยที่ในแต่ละหน้าจะเป็น 4 X 4 และด็อกด้านล่างอีก 5 icons (ซึ่งตรงด็อกนี่จะเหมือนกันทุกหน้า ไม่เปลี่ยน) แอปหลักๆ ที่ติดตั้งมาให้ ก็มีการนำ shortcut ออกมาไว้ให้อยู่แล้ว เช่น Chrome Youtube และตรง ด็อก ก็มี "apps" ที่เอาไว้กดเข้า apps drawer วางไว้ให้อยู่อันเดียว ซึ่งจากที่เคยลองๆ ใช้ Android จาก Find Muse มาบ้างอยู่แล้ว การเล่นอะไรต่างๆ จึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องทำความ เข้าใจใหม่อะไร

ใช้แอปอะไรบ้างบน Android

ข้างล่างนี้เป็นรายชื่อแอปทั้งหมดที่มีติดตั้ง (และบางตัวอาจจะโดนถอนการติดตั้งไปแล้ว) แบบยก กันมาหมดเครื่อง #Moto G ของข้าพเจ้าเลยทีเดียว

  • 4shared
  • 9420 Tablet Keyboard รองรับคีย์บอร์ดต่อภายนอก ใช้ปุ่มตัวหนอนเปลี่ยนภาษาได้
  • Advanced Task Manager - Killer
  • Air Call-Accept (free) ใช้งานได้ตามชื่อ แต่ดันตีกับ Flip4silent เพราะมันใช้ proximity เหมือนกัน ต้องเลือกใช้ตัวใดตัวนึง Sad
  • Blognone Reader ข่าวอัพเดตไวไม่ต้องล็อกอิน อ่านหัวข่าวง่ายดี กว่าอีกตัว
  • Blognone Tech News อันนี้ดีตรงคอมเมนต์ได้
  • AnyCut เอาไว้สร้าง shortcut สารพัด ลงแล้วสร้าง แล้วก็ลบออกจากเครื่อง แต่ไม่เอาออกจากลิสต์ เผื่อเอาไว้ลงใหม่
  • CamFind - Visual Search Engine คล้ายๆ กับ Goggle แต่ระบุชื่อรูปภาพให้ได้ด้วย (ไม่ค่อยดีนัก สู้ TapTapSee ไม่ได้) หน้าตางงๆ แต่ก็มีเผื่อไว้
  • CCleaner (beta) ต้องเข้ากลุ่มใน G+ ก่อนถึงจะโหลดมาลองใช้ได้ หลังจากอัพเดตไม่ตีกับ TalkBack แล้ว แต่ก็ยังแปลกๆ นิดหน่อย มีติดเครื่องไว้
  • Chrome Browser - Google ตัวนี้เครื่องมีมาให้
  • Clean Master - Free Optimizer ใช้บ้างบางครา
  • Color ID (Free) แอปเอาไว้บอกสี โดยใช้กล้องส่อง
  • Dropbox
  • Easy Taxi – Taxi Cab App แอปเรียกแท็กซี่ ข้อดีของตัวนี้คือค่าเรียก 20 บาท GPS ดีกว่า Grap
  • Eloquence Text To Speech เสียง Eloquence อันคุ้นเคย เป็นแอปเสียตังตัวแรกที่ซื้อ (แพงด้วยตั้ง 650 แน่ะ) และทำให้เสียเงินซื้อแอปอื่นๆ อีกหลายตัวตามมา Sad
  • ES File Explorer File Managerเจ๋งดีใช้เป็นตัวหลักเลย
  • Facebook
  • Facebook Messenger
  • Falcon Pro แอปนอกสโตร์ ยังล็อกอินไม่ ผ่าน ใส่ API key ไม่รอด Sad
  • Firefox Browser for Android ชอบเพราะบน desktop ก็ใช้อยู่ รอ v.29 จะได้ใช้ระบบ sync ตัวใหม่ แต่ความ accessible ไม่แน่ใจต้องเทียบกับ Chrome
  • Flip4Silence คว่ำเครื่องปิดเสียงริงโทน (เวลาไม่อยากรับ)
  • Foursquare
  • Gmail เครื่องแถมมา
  • Google Authenticator อ่านจากบทความแนะนำของ @MK ในนี้แหละ เลยโหลดมาติดไว้ Biggrin
  • Google Camera ตัวนี้เอามาใช้เป็นแอปกล้องหลัก เพราะรู้สึกจะมีไม่กี่ตัวที่เป็นแอปกล้องที่ใช้งานร่วม กับ TalkBack ได้ดีๆ
  • Google Drive เครื่องแถมมา แถมพื้นที่ให้ 50GB อีก 2 ปีอีกต่างหาก เย้ๆ
  • Google Goggle
  • Google Pinyin Input เครื่องแถมมา คงไม่ได้ใช้แน่ๆ (แล้วทำไมไม่เอาออก)
  • Google Play Books นี่ก็คงไม่ได้ใช้
  • Google Play Games นี่ยิ่งไม่ได้ใช้ใหญ่
  • Google Play Newsstand ตัวนี้จะได้ใช้เหรอ?
  • Google Play services อันนี้ไม่มีไม่ได้ปะ
  • Google Search ก็ตามนั้นแหละ
  • Google Talkback มีมากับเครื่อง แอปนี้สำคัญมากสำหรับการใช้ Android สำหรับคนตาบอด ยี่ห้อ ไหนรุ่นไหนไม่แถมมา (ตัดออก) นี่เคืองมาก
  • Google Text-to-Speech มีไว้อุ่นใจ ใช้บ้างยามจำเป็น >.<
  • Google Translateเครื่องแถมมา
  • Google+ เครื่องแถมมา คงได้ใช้ มั้ง?
  • Guitar : Solo Lite เห็นข้างบนมีคนใช้ ลงไว้แต่ยังเล่นไม่เป็น Sad
  • Guitar Tunerโปรแกรมตั้งสายกีต้าแบบเบๆ มาก กดฟังเสียงทีละสายเลย (มีฟีเจอร์กดทีเดียวแล้ว เล่นนานๆ หน่อยก็ไม่ได้)
  • Hangouts เครื่องแถมมา
  • HP Print Service Pluginตัวนี้เครื่องก็แถมมา เคยลบแล้วมันก็กลับมาใหม่ ก็เลย... คอาจ จะมีโอกาสได้ใช้แหละมั้ง
  • Instagram ติดเครื่องไว้ตามกระแส แต่หน้าตาแอปไม่ accessible เล๊ย
  • Intersection Explorer
  • LINE: Free Calls & Messages ตัวนี้ผิดคาดนึกว่าจะไม่ค่อยได้ใช้ แต่ดูเหมือน สถานการณ์(รอบข้าง)บังคับ คงได้ใช้เป็น IM ตัวหลักอีกหนึ่งตัว หน้าตาก็ accessible พอสมควร -Kii Keyboard เอามาใช้เป็น virtual keyboard แทน Google keyboard เพราะรู้สึกว่า มันเร็วกว่า และสามารถปรับแต่งได้ (ถ้าไม่ซื้อจะ reset ค่าที่ปรับแต่งทุกๆ ชั่วโมง)
  • Major Movie Plus ลองลงดู หน้าตาไม่ค่อย accessible เท่าไหร่ ลบออกแล้วเพราะได้แอปอื่น มาใช้แทน (ดีกว่ากันแยะ)
  • Maps เครื่องแถมมา
  • Mailboxเขามีให้ลองก็ลงไว้ แต่ยังเลือกไม่ได้ ว่าจะใช้ Email client แอปไหนเป็นแอปหลักแฮะ (?)
  • Microsoft Office Mobile
  • More Shortcuts ลักษณะคล้ายตัว Anycut แต่ Talkback เข้าถึงได้ดีกว่า มีคำอธิบายของ activity แต่ละตัวว่าใช้ทำอะไรบ้าง (Anycut ต้องเดาเอง) ข้อสำคัญไม่มีโฆษณามากวนใจ
  • Motorola Assist เครื่องแถมมา แต่เดี๋ยวนะ ในคำอธิบายแอป ไม่บอกว่า Moto G รองรับนิ ???
  • Motorola Boot Servicesเครื่องแถมมา มีอัพเดตเปลี่ยนรูปตอนบูตเป็นอะไรฮาฮาตามเทศกาลให้ด้วย (เพื่อ?)
  • Motorola Camera เครื่องแถมมา หน้าตาไม่ค่อย accessible เท่าไหร่ แต่ก็พอถูไถ
  • Motorola Contextual Services ตัวนี้ยี่ห้ออื่นคงใช้ไม่ได้มั้ง (จะบอกเพื่อ)
  • Motorola FM Radio เอาไว้ฟัง FM แบบธรรมดาไม่ต้องต่อเน็ต
  • Motorola Gallery เครื่องแถมมา หน้าตาก็ไม่ accessible เช่นเคย
  • Motorola Help เครื่องแถมมา เป็นแอปที่ไม่คิดจะใช้เลย
  • Motorola Migrate เครื่องแถมมา นี่ก็ไม่เคยใช้
  • Network Signal Info นานๆ อาจได้ใช้บ้าง
  • Noom Walk: Pedometer ใช้นับก้าว (วันๆ ไปไหนรึ?) ต้องสมัครสมาชิกก่อนใช้ด้วยแฮะ
  • Notification Toggle ด้วยความที่ default launcher ของ Moto ไม่ใส่ปุ่มเปิด/ปิด ค่าต่างๆ ที่ใช้ บ่อยๆ มาให้ใน notification bar จึงต้องสรรหาแอปมาลงเพิ่มเอง
  • Ohozaa Thai TV HD เอาไว้ดูทีวีออนไลน์ ตัวนี้มีช่องทีวีดิจิทัลด้วย หน้าตาก็เรียบๆ ดี
  • OneDrive (formerly SkyDrive)
  • Plug sound ไว้ใช้ตั้งเสียงเตือนเวลาเสียบชาร์จ ซึ่งปกติถ้าต่อคอมมันก็คือการชาร์จไปในตัวอยู่แล้ว ดังนั้นมันก็จะมีเสียงเตือนดังด้วย เลือกเสียงเองได้ ตั้งเสียงเตือนตอนชาร์จเต็มได้อีกต่างหาก แถม adfree
  • Plume for Twitter หน้าตาปรับแต่งได้โอเคดี แต่ระบบแจ้งเตือนกับอัพเดตนี่จะช้าไปไหน
  • Quickoffice อันนี้เครื่องแถมมาให้
  • RAR for Android แอป Winrar ที่รู้จักกันดี ตัวนี้นอกจากไว้จัดการพวก ZIP file แล้ว ยังแอ ปใช้เป็น file explorer ได้อีกด้วย เพราะ UI ใช้ง่ายมากกก
  • Real Drum ไม่ลงได้ไงแอปตีกลองเนี่ย แต่ตีกับ TalkBack พอสมควร T_T
  • Shadesปรับความสว่าง หน้าจอถึงขั้นปิดไปเลยได้ด้วย หวังว่ามันจะช่วยประหยัดแบต
  • Siam Radio
  • Skype - free IM & video calls โดนบังคับเป็น IM ตัวหลัก หลังจาก MSN โดนกำจัด Blum 3
  • Smart AudioBook Player
  • SMS Backup & Restore
  • Startup Manager (Free) มีบอกเวลาการบูตเครื่องแต่ละครั้งด้วย)
  • SuperBeam | WiFi Direct Share เห็นข้างบนมีคนแนะนำไว้เลยติดเครื่องไว้ซะหน่อย I-m so happy
  • Swarm แอปเอาไว้เช็กอินตัวใหม่จาก FourSquare ซึ่งหน้าตาค่อนข้างแย่ มีแต่ Unlabel ทั้งนั้น
  • TapTapSee แอป image recognition บอกได้เกือบทุกสิ่งอันว่าที่เราถ่ายนั้นคือรูปของอะไร (สวดยวด) แต่ ฟรีแค่ 20 รูปแรก ที่เหลือคิดตัง T_T
  • Thai TV
  • Thai TV Online ดูทีวีออนไลน์
  • Thailand Post Track & Trace ตัวแอปอะฟรี แต่ถ้าจะใช้หมายถึงว่าเราต้องเสียตัง (ซื้อของ ออนไลน์) ไปแล้ว >_< มีระบบแจ้งเตือนที่เกินคาดมาก หน้าตา accessible ดี ให้ 5 ดาวเลยเอ้า (ปุ่มให้ดาวอยู่ไส)
  • The vOICe for Android แอปอธิบายภาพ(ที่กล้องถ่ายอยู่)ด้วยเสียง แนวคิดแนวมาก แต่ถ้าจะ ใช้ได้ตามนั้นจริงๆ คงต้องศึกษากันหน่อย หลักๆ เอาไว้ใช้โหมดบอกสีว่าที่เราเอากล้องส่องอยู่นั้น เป็นสีอะไร ถือว่าพอใช้ได้ แต่ก็ไม่แม่นเท่า TapTapSee
  • THShowtime (เช็ครอบหนังไทย) ก็ตามนั้นแหละ ดีกว่าแอปจากโรงหนังค่ายหนึ่งด้านบนตรงที่หน้าตา accessible กว่า ตรงประเด็นกว่า (อยากเช็กแค่รอบหนัง)
  • TubeMate YouTube Downloader แอ ปนอกสโตร์ แหมแอปแบบนี้ขาดได้ไง Blum 3
  • Tuner - gStrings Free แอปตั้งสายเครื่องดนตรี ตั้งได้หลายชนิด เห็นด้านบนมีคนแนะนำ แต่หน้า ตายังใช้ไม่เปน Sad
  • TV Thailand
  • Twitter แอปเล่น Twitter official จาก Twitter เอง ระบบแจ้งเตือนไวใช้ได้ แต่หน้าตาแอปที่ พยายามจะให้เหมือนกับเว็บข้าพเจ้าไม่ปลื้ม
  • Uber แอปเรียกแท็กซี่ (ไฮโซ) ลงไว้กะนั่งฟรีครั้ง แรกแค่นั้นแหละ ฮาฮา
  • Vaja text-to-speech engine ตัวนี้ขาดได้ไง เสียง TTS ภาษาไทยบน Android ฝีมือคนไทย ตัวนี้เสียตังก็สนับสนุน
  • Vine ลงไว้ทำไมไม่รู้ หน้าตาไม่ accessible เลย เช่นเดียวกับ Instagram (ลบออกไปแล้ว)
  • Wifi Analyzer แอปนี้เจ๋งดีไว้ใช้แทน Settings -> Wi-Fi ของ Android ได้ดีกว่ากัน แยะ
  • Youtube

ที่ขาดไปคือแอปบันทึกเสียงสนทนา ซึ่งดันโชคดี(หรือซวย) ที่ได้กิน KitKat แอปที่ว่าเลยมีปัญหา ใช้ไม่ได้สักตัวเบย T__T

สรุป (ตัดจบ)

จากที่แค่อยากเปลี่ยนมือถือใหม่ -> มือถือพัง -> ซื้อมือถือใหม่ ในครั้งนี้ ทำให้ได้เจอ กับอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งการเครมสินค้า (ที่สรุปด้วยการคืน) การหาร้านซ่อมมือถือ (ปกติไม่เคย หาหลายร้านขนาดนี้นะ) การสั่งของผ่านเน็ต (ซึ่งอันนี้แย่มาก เพราะเริ่มติดเป็นนิสัย นี่ก็สั่ง Accessory ของ Moto G มาเรื่อยๆ เลย T^T) และข้อสำคัญก็คือการเปลี่ยนระบบปฏิบัติการ จาก Symbian -> Android ซึ่งถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่พอสมควร

แต่โดยส่วนตัวซึ่งเป็นคนที่เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ด้วยตัวเองอยู่เป็นปกติ การเปลี่ยนระบบปฏิบัติการ ครั้งนี้จึงไม่ได้เป็นอะไรที่ลำบากมากนัก แถมความโชคดีก็คือ เริ่มมาใช้ Android เครื่องแรกก็ได้ ใช้ Android 4.4.2 (KitKat) เลย ทำให้การเข้าถึงอะไรต่างๆ สามารถทำได้อย่างดีกว่าคนที่ เริ่มจาก ANdroid ที่เก่ากว่า อุปสรรคในการใช้งานจึงถือว่ามีน้อยมาก และความประทับใจต่อ ระบบปฏิบัติการเองก็ถือว่าดี เพราะถ้าใครที่ได้เริ่มจากเครื่องที่เราไม่สามารถเข้าถึงได้แล้ว ยิ่งถ้า เป็นเครื่องแรก ครั้งแรก ก็อาจเป็นความจำฝังใจว่า เฮ้ย Android มันไม่ดี มันใช้ไม่ได้ อะไร ทำนองนั้น.... ดังนั้นคำแนะนำก็คือ ถ้าใครที่จะซื้อมือถือในระบบปฏิบัติการ Android ไม่ว่าจะซื้อ ใช้เอง หรือจะแนะนำให้คนตาบอดใช้ เวอร์ชันที่แนะนำก็คือ ควรหาเครื่องที่เป็น Android 4.4.x เป็นอย่างน้อย เพราะฟังก์ชันที่สำคัญ "มากๆ" สำหรับคนตาบอดเองก็คือ การ "Edit label"

ปัญหาหลักๆ ของการใช้งานระบบปฏิบัติการ Android สำหรับคนตาบอดก็คือ นักพัฒนาไม่ระบุชื่อ หรือคำอธิบายหน้าที่ของปุ่ม (button) มาไว้ให้ โดยส่วนมากนักพัฒนาก็จะใช้รูปภาพเป็นตัวบอก ความหมาย ซึ่งในส่วนนี้โปรแกรมอ่านจอภาพ อย่าง TalkBack ที่คนตาบอดจำเป็นต้องใช้ มันก็จะ ไม่สามารถอธิบายภาพเหล่านั้นได้ สิ่งที่มันจะอ่านให้คนตาบอดได้รับทราบก็จะเป็น "button ** unlabel" โดย ** นั้นก็จะเป็นตัวเลข ซึ่งก็จะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอีกต่างหาก เราไม่ สามารถจะจำได้ว่า โอเคตัวเลขนี้นะคือปุ่มนี้ เพราะหากเลื่อนมาแตะในครั้งถัดไป ตัวเลขนี้ก็จะ เปลี่ยนไป ความสำคัญของ ฟังก์ชัน "edit label" ก็คือ หากเป็น Android 4.3 ขึ้นไปจะมีฟังก์ชันนี้เพิ่มเข้ามาให้ใน TalkBack (แต่ยังไงก็แนะนำที่ 4.4.x ขึ้นไปอยู่ดี เพราะการ ใช้งานโดยรวม พัฒนาจาก 4.3 ไปมาก) ฟังก์ชัน "Edit Label" นี้จะทำให้เรา สามารถแก้ไขการอ่านของปุ่มที่เป็น unlabel ดังกล่าวได้ คือหากเราให้คนปกติดูให้ หรืออาจจะ ทดลองดูเองว่าปุ่มนั้นๆ มีหน้าที่อะไร แล้วเราก็จะสามารถตั้งชื่อให้มันได้เองเลย และถึงแม้ว่ามี การอัพเดตแอปนั้นๆ แล้ว ถ้าหากตัวปุ่มยังอยู่ที่เดิม คือแอปไม่ได้ปรับปรุง UI แบบใหม่ทั้งหมด ปุ่มที่ เคยแก้ไขไว้นั้น ก็ยังจะคงอยู่ ไม่ต้องมาทำซ้ำใหม่แต่อย่างใด เพียงแค่ฟังก์ชันเดียวนี้ ทำให้คน ตาบอดสามารถใช้งานแอปต่างๆ ได้สะดวกขึ้นเป็นจำนวนมาก และทำให้ประสบการณ์การใช้ระบบ ปฏิบัติการ Android ดีขึ้นอย่างมากมาย โดยที่ไม่ต้องง้อความร่วมมือจากนักพัฒนา ที่ไม่ให้ความ สำคัญกับการเข้าถึง (accessibility) เลยสักนิด Blum 3

ส่วนการใช้งาน Moto G โดยส่วนตัวนี้ เท่าที่ใช้งานมาร่วมๆ 2 เดือน ก็ยังไม่พบปัญหาอะไรที่ น่ากังวล อาจจะมีบั๊กจุกจิกบ้าง เล็กน้อย ซึ่งเท่าที่อ่านจากความเห็นของผู้ใช้คนอื่นๆ จากกลุ่มMotorola Moto G (Thailand) ก็ถือว่าเจอน้อยกว่าคนอื่นพอสมควรแล้ว (ฮา) และปัญหาส่วนมาก ก็ หายได้ด้วยการ reboot เครื่องสักหนเท่านั้น ยกเว้นปัญหาที่ว่าแอปบันทึกเสียงสนทนาไม่สามารถทำ งานร่วมกับ KitKat ได้แล้วล่ะก็ ความพึงพอใจก็ถือว่าอยู่ในระดับดีถึงดีมากเลยทีเดียว

ข้อดีอย่างแบตเตอร์รีที่ใครๆ เขาก็ว่าทน ใช้งานได้เต็มวันแบบไม่ต้องง้อแบตสำรองนั้น การใช้ งานส่วนตัว ถ้าไม่ได้เล่นอะไรหนักๆ จริง ก็อยู่ได้ประมาณสองวัน โดยที่เปิด push ของแอปต่างๆ ไว้ตามปกติ เปิด Wi-Fi Bluetooth GPS ไว้เรื่อยๆ โทรออกบ้างเล็กน้อย เข้าใจว่าที่มัน สามารถอยู่ได้มากกว่าชาวบ้านเขา นอกจากการใช้งานที่น้อยแล้ว การใช้แอป Shades ซึ่งสามารถ ลดความสว่างของหน้าจอไปได้มากกว่าปกติ จนเกือบจะเป็นการปิดหน้าจอไปเลยก็ว่าได้ (ก็ไม่ได้ใช้ ก็ปิดไป)

ส่วนสำคัญอย่างเรื่องเสียงนั้น สิ่งที่ Moto G ทำได้ดีที่สุดก็คงจะเป็นลำโพง ถึงจะเป็นลำโพง เดี่ยว และอยู่ด้านหลังเครื่อง แต่ด้วยการออกแบบและเทคโนโลยีที่ Motorola นำมาใส่ไว้ ทำให้ ลำโพงของน้อง G มีเสียงที่ดัง (มาก) และคุณภาพเสียงที่ดี (ค่อนข้างมาก) ถือว่าไม่น้อยหน้ามือถือ เรือธงของค่ายต่างๆ เลยก็ว่าได้ (อย่าลืมว่านี่คือมือถือราคากลางถึงล่างด้วยซ้ำ) โดยเฉพาะหาก เรานำน้อง G วางไว้กับโต๊ะหรือพื้นผิวเรียบในลักษณะปกติ คือหงายจอขึ้น เป็นเรื่องน่าแปลกใจมาก ที่คุณภาพเสียงจากลำโพงกลับดังขึ้นอย่างสังเกตได้ เหมือนทาง Motorola มีการออกแบบมาแล้วว่า คนทั่วไปก็มักจะวางมือถือทิ้งไว้ในลักษณะดังกล่าว ตัวเครื่องจึงมีพื้นที่ว่างพอให้ลำโพงสามารถยิงคลื่น เสียงไปสะท้อนกับพื้นผิว และเป็นการขยายคลื่นเสียงไปได้ในตัว ต่างกับมือถือจากหลายๆ เจ้าที่ หากออกแบบลำโพงไว้ด้านหลังแล้ว เมื่อวางเครื่องในลักษณะที่ว่า กลับเป็นการบังลำโพง ทำให้ เสียงเบาลงด้วยซ้ำ

แต่หากจะว่ากันถึงเสียงที่ฟังผ่านหูฟัง 3.5 mm นั้นถือว่าทำออกมาได้กลางๆ คือไม่เด่นหรือด้อย อะไร ทั้งนี้อาจเป็นที่การปรับค่าเสียงของตัวโทรศัพท์เอง หรือแอปที่เอาไว้ฟังเพลงด้วยส่วนหนึ่ง แต่ หากเปลี่ยนการฟังเพลงด้วยแอปตัวเดิม จากหูฟัง 3.5 mm ไปใช้การต่อ External DAC ภายนอก ผ่าน USB OTG แล้ว คุณภาพเสียงที่ได้ถือว่าต่างกันอย่างเห็นได้ชัด (ระดับพื้นพิภพกับสวรรค์กันเลยที เดียว) แต่ข้อเสียก็คือ หากต่อ DAC เพื่อฟังเพลงแล้ว น้อง G ของเรา จะซดแบตไวขึ้นมากๆ เท่า ที่ลองคำนวณ การฟังเพลงอย่างต่อเนื่องด้วยการต่อ DAC ภายนอก น่าจะฟังได้ไม่เกิน 5/6 ชั่วโมง เท่านั้น และด้วยความที่เราใช้ port USB เพื่อต่อ DAC ไว้อยู่แล้ว เราจึงไม่สามารถนำแบตเสริม มาเสียบเพื่อเพิ่มระยะเวลาการใช้งานได้แต่อย่างใด Sad

ทริคเล็กๆ ที่น่าสนใจอย่างนึงก็คือการแกะฝาหลังของ Moto G ถ้าใครเป็นเจ้าของหรือเคย สัมผัสน้อง G ก็จะสังเกตว่าที่ฝาหลัง จะมีหลุมกลมๆ ที่เว้าลงไป และเป็นโลโก้ของ Motorola อยู่ ตรงกลางๆ ใครจะคิดว่านอกจากความเก๋ไก๋แล้ว เจ้าหลุมนี้มันยังมีประโยชน์สำหรับการแกะฝาหลัง ได้อีกด้วย ซึ่งวิธีก็คือ ให้เราเอานิ้วโป้งกดตรงหลุมนี้ไว้ และใช้นิ้วชี้หรือนิ้วอื่นๆ ที่ถนัด (และต้องมี เล็บนิดนึงด้วย) งัดตรงร่องที่เป็น port USB ด้านล่างซึ่งเป็นจุดที่มีไว้ให้งัดฝาหลังอยู่แล้วขึ้นมา เราก็จะงัดฝาทั้งฝาขึ้นมาได้แบบสบายๆ ไม่ต้องลุ้นแงะทีละร่องทีละมุมแต่อย่างใด แต่อาจจะต้องมั่น ใจหน่อยว่าการทำลักษณะดังกล่าว ดูเหมือนเป็นการหักฝาหลังขึ้นมาตรงๆ แต่ด้วยวัสดุของฝาหลังที่ เป็นพลาสติกเคลือบยาง ทำให้มันสามารถดัดงอได้ในระดับหนึ่ง จึงไม่ต้องกลัวว่ามันจะหัก (ยกเว้น ว่าจะรุนแรงเกินไปอนะนะ)

สุดท้ายเรื่องซอฟต์แวร์และการอัพเดต ซอฟต์แวร์ส่วนมากที่ Motorola มีมาให้นั้น ก็จะอยู่ในรูป แบบของแอปแยกที่จะมีการอัพเดตผ่าน Play Store อยู่เรื่อยๆ อยู่แล้ว และอย่างที่ทราบว่า จริงๆ แล้ว ตัว Moto G นี้มาพร้อมกับ Android 4.3 และได้อัพเดตเป็น 4.4.2 ตอนราวๆ ต้นปี ซึ่ง เครื่องที่ได้มานี้เป็นเครื่องที่ผลิตมาใหม่ในล็อตหลังๆ จึงมาพร้อมกับ Android 4.4.2 จากโรงงาน (เลยไม่ได้รับประสบการณ์การอัพเดต Android ตัวหลักเบย) แต่ข่าวดีล่าสุดก็คือ ไม่กี่วันนี้ทาง Motorola ได้ประกาศแผนการอัพเดต Android 4.4.3 ซึ่งเป็น Android ที่มีการแก้ไขปรับปรุง ในรุ่นล่าสุด มาให้เครื่องในตระกูล Moto X / G /E มาแล้ว ดังนั้นก็ค่อนข้างมั่นใจได้ว่า อีกไม่ นาน ก็จะได้ขยับไปใช้ Android ตัวล่าสุดอย่างแน่นอนนะคร้าบ สำหรับคนที่เป็นเจ้าของน้อง Moto G ทุกท่านนนน _____

ป.ล. และก็หวังว่า Google ยังจะดูแลมือถือตระกูล Moto * นี้ต่อไปจนถึงการอัพเกรด Android 4.5 / 5.0 กันเลยนะคร้าบบบบบ Smile