EP 0.5 : เตรียมตัว

27 April 2016 virusfowl

สำหรับคนอยากเสพแบบสั้นๆ เราได้ใช้ Notebook LM สร้าง audio overview ไว้ให้กดฟังกันได้ตรงนี้

ทริปสิงคโปร์+มาเลเซีย เริ่มขึ้นแล้วววววว

ขั้นแรกที่เราจะเดินทางไปต่างประเทศ อย่างแรกที่ต้องคิดถึงก็คือ "การเดินทาง" เราจะไปอย่างไร เดินเท้า (ถ้าบ้านไม่ได้ติดชายแดนคงลำบากหน่อย), รถยนต์, รถไฟ, เรือ หรือเครื่องบิน และคงไม่ต้องคิดให้มาก ตัวเลือกที่สมเหตุสมผลที่สุดก็คงหนีไม่พ้นทางเครื่องบิน และวงเล็บไว้ด้วยว่า "สายการบินต้นทุนต่ำ - Low-cost" ซึ่งดูแล้วเหมาะสมกับฐานะของพวกเราเป็นอย่างยิ่ง >_<

จองตั๋วเครื่องบินกันเถอะ

ก่อนหน้านี้เพื่อนๆ ก็คอยดูราคาโปรตั๋วเครื่องบินกันเป็นระยะๆ อยู่แล้ว แต่ก็ยังทำอะไรไม่ได้ เพราะยังขาดหนังสือเดินทางของบางคนอยู่ ก็ต้องปล่อยให้โปรดีๆ ผ่านไป ดูเหมือนอันที่น่าเสียดายที่สุดคือ โปรตั๋ว ไป-กลับ สิงคโปร์ ราคา 15xx ตอนกลางเดือนธันวาคม Cray 2

แต่สรุปแล้ว พวกเราก็ตัดสินใจคว้าโปรตั๋วของ Tiger Air ณ วันที่ 14 ม.ค. กัน โดยเจอโปรแล้วก็ตัดสินใจเลย ไปนะ จองนะ จองเลยนะ... ซึ่งเหตุการณ์กระทันหันมาก มากขนาดที่ว่า ยังไม่ทันรวบรวม เลข Passport ของทุกคนกันเลยด้วยซ้ำ คุณเพื่อนก็ทยอยกดจองทีละคนทีละคนกันไปก่อนแล้ว (คือคนกดจองมีคนเดียวอะแหละ แต่มันต้องซื้อทีละที่ไง) ซึ่งกว่าผู้เขียนจะถ่ายรูป และส่งเลข Passport ไปให้ได้ ก็ได้เป็นคนสุดท้ายแล้ว คือรีบกันจนไม่คิดเผื่อว่า ถ้าเกิดจองแบบนี้ แล้วคนใดคนนึงเกิดพลาด ไม่ได้ตั๋วในเที่ยวเดียวกันจะทำไงเนี่ย? เหอๆ

เสร็จสรรพพวกเราก็ได้ตั๋ว ไป-กลับ กรุงเทพ - สิงคโปร์ ช่วงต้นเดือน มี.ค. มาในราคา 20xxx บาท สำหรับ 5 คน โดยราคานี้ไม่รวมอะไรทั้งสิ้น ยกเว้นซื้อโหลดน้ำหนักเพิ่มตอนเที่ยวขากลับ (แล้วไหงชื่อคนโหลดของกลายเป็นข้าพเจ้าได้ล่ะเนี่ย?) โดยสิ่งที่ชอบก็คือ ตารางบินถือว่าโอเคมาก ออกจากกรุงเทพ 9:05 น. ถึงสิงคโปร์ เกือบๆ บ่ายโมง (ของบ้านเขา ซึ่งเร็วกว่าไทยหนึ่งชั่วโมง) และเที่ยวขากลับ ก็ออกจากสิงคโปร์ 17:30 ถึงกรุงเทพ 18:45 (เวลาบ้านเราช้ากว่าเขาอยู่หนึ่งชั่วโมงไง ขากลับมันเลยดูเร็ว) เท่ากับเราจะมีเวลาวันสุดท้ายให้เหลือสำหรับการเผื่อเที่ยวได้อีก ซึ่งก็ได้ใช้จริงๆ ใช้จนหยดสุดท้าย 55

ต่อไปก็หาที่ซุกหัวนอน "

สรุปสิ่งที่เป็นรูปเป็นร่าง ณ ตอนนี้ พวกเราก็มีตั๋วเครื่องบินอยู่ในมือกันแล้ว อย่างถัดไปที่ต้องจองก็คือที่พักนั่นเอง ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยหาข้อมูล+คุยกันเรื่องที่พักมาแล้วในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ได้สรุปอะไรกัน ดูแค่ย่านและราคาคร่าวๆ กันไว้ก่อน พอถึงเวลาที่จะต้องจองกันจริงๆ เรื่องมันดันไม่ง่ายเหมือนตอนจองตั๋วเครื่องบินแฮะ

ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมแค่ประเด็นเรื่องที่พักมันถึงไม่สามารถสรุปกันผ่านทางแชทได้ ดังนั้นเราก็เลยตัดสินใจว่าอีกอาทิตย์กว่าๆ นัดมาเจอกันตัวเป็นๆ แล้วสรุปเรื่องที่พักกันก็แล้วกัน...

การนัดประชุมกันครั้งแรก (ครั้งแรกที่ยกเรื่องเที่ยวมาเป็นหัวข้อหลักจริงจัง) แค่เริ่มก็ดูจะไม่ค่อยดีแล้ว เพราะแต่ละคนไม่มีใครมาตรงเวลากันสักคน ขนาดสถานที่นัดเป็นห้างติดรถไฟฟ้าแล้วนะเนี่ย จะสายกันทำไมคร้าบบบบ

ไอ้เราก็อุตส่าห์แบกโน้ตบุ๊กไป แต่สรุปคุณเพื่อนก็ใช้ iPad ในการค้นข้อมูล (ใช่สิ ของเรามันไม่มีโลโก้ผลไม้หนิ)

นั่งคุยกันไป หาข้อมูลกันไป รวมถึงซื้อของกินมากินกันไปด้วย จากบ่ายจนเย็น เอาแค่เรื่องที่พักกว่าจะได้ข้อสรุปก็ใช้เวลาไปหลายชั่วโมงแล้ว ปัญหานึงที่พบคือ เวลาค้น โรงแรมส่วนมาก จะไม่มีบอกว่ามีห้องสำหรับสามเตียงหรือไม่ เพราะสาวๆ ไปกันสามนาง เลยต้องการพักห้องที่เป็นสามเตียง จะได้ไม่ต้องแย่งกันว่าใครจะนอนที่นอนเสริม (เหรอ?) ไม่อย่างนั้น ถ้าเป็นห้องที่มีแค่สองเตียง และต้องขอที่นอนเสริม ก็จะเจอคิดราคาเพิ่มอยู่ดี คิดแล้วก็ดูไม่คุ้ม หาที่มีสามเตียงไปเลยดูโอเคกว่า แต่หาแล้วหาอีก ก็ไม่เห็นจะเจอ หรือจะหาโรงแรมที่ราคาถูกหน่อย บางที่ก็ไกลอีก ถ้าเดินทางไม่สะดวก ก็ไม่ค่อยน่าพักอีก หรือจะดูพวกโฮสเทล ก็เกรงว่าจะไม่สะดวกอีกสำหรับสองหนุ่มที่มองไม่เห็น ลองหาพวก AirBNB ดู ราคาก็ไม่ได้ถูกมาก และถึงจะอยู่รวมกันได้ ก็มองว่าเรื่องห้องน้ำก็จะเป็นปัญหาอีก เพราะอยู่กัน 5 คน ถ้ามีห้องน้ำห้องเดียว นี่คงเสียเวลารออาบน้ำกันหลายชั่วโมงต่อวัน ก็คงไม่ไหว

เอาเป็นว่า สรุปแล้ว พวกเราก็ตัดสินใจจองโรงแรม ซึ่งถือเป็นโรงแรมยอดนิยมแห่งหนึ่งเวลาคนไทยไปเที่ยวสิงคโปร์ นั้นก็คือ โรงแรม V Hotel Lavender ซึ่งก็มีเรื่องให้แปลกใจกันพอสมควร เพราะทีแรกที่ดูราคาโรงแรมนี้ไว้ มันยังอยู่ในงบ แต่พอจะกดจองจริงวันนั้น ราคามันขึ้นจากที่ดูไว้ไปอีกเกือบสองพันบาท ก็ต้องถามความเห็นของทุกคนกันแล้วล่ะ ว่าถ้าต้องจ่ายเพิ่มกันคร่าวๆ ก็คืนละร้อย โอเคกันไหม แต่ในเมื่อดูเหมือนจะไม่มีตัวเลือกอื่นแล้ว ทุกคนก็ต้องทำใจยอมรับสภาพ 555 เราก็เลยกดจองโรงแรมนี้กันไปในที่สุด

ส่วนของการรีวิวโรงแรมและความพึงพอใจอยู่ ใน EP 1.0 : Day 1 ครึ่งวันแรกในสิงคโปร์ หรือถ้าใครอยากอ่านแบบที่มีรูปประกอบดีๆ ก็กดที่ลิงก์ชื่อโรงแรมก่อนหน้านี้กันได้ Smile

เรื่องปลั๊กเรื่องใหญ่ หาซื้อ universal plug กันเถอะ

เมื่อเรามีครบแล้วทั้งตั๋วเครื่องบิน ที่พัก ทีนี้ก็เหลือรายละเอียดปลีกย่อยของแต่ละคนกันแล้วล่ะ โดยส่วนตัวซึ่งเป็นพวกติดเทคโนโลยีระดับหนึ่ง แถมวางแผนจะเอาโน้ตบุ๊กไปด้วย ก็เลยต้องสนใจเรื่อง 'ปลั๊ก' เป็นพิเศษ หาข้อมูลแล้ว ถามเพื่อนๆ แล้ว ก็ได้คำตอบไม่ค่อยจะตรงกันเท่าไหร่ แต่ข้อมูลที่ยืนยันได้คร่าวๆ คือ ในสิงคโปร์มาตรฐานปลั๊กของเขา ไม่เหมือนกับบ้านเรา ซึ่งในบ้านเรา ขั้ว l/n จะเป็นขาแบนวางขนานกันในแนวตั้ง และมีขั้ว g เป็นขากลม อยู่ตรงกลาง เยื้องไปด้านบน แต่ในสิงคโปร์ จะใช้ขั้ว l/n เป็นขาแบน (ซึ่งหนากว่าขาแบนในบ้านเรา) วางขนานกันในแนวราบ และขั้ว g เป็นขาแบนแบบเดียวกัน อยู่ตรงกลางเยื้องไปด้านบนเช่นกัน ดังนั้นเพื่อความชัวร์ ก็เลยคิดว่าเราหาตัวแปลง แบบที่เป็น universal plug ไปด้วยดีกว่า แถมด้วยปลั๊กรางอีกหนึ่งอัน เพราะโดยมากตามโรงแรมมักจะงกปลั๊ก มีให้แค่ไม่กี่รู ซึ่งที่คิดไว้ก็ไม่ผิด เพราะโรงแรมที่เราพัก ถึงจะดีตรงใช้รูปลั๊กเป็นแบบ Universal ให้อยู่แล้ว แปลว่าใครจะพักที่ V Hotel Lavender ไม่จำเป็นต้องพกหัวแปลงปลั๊กไปนะ แต่ปลั๊กรางนี่ก็ยังจำเป็นอยู่ มิฉะนั้นท่านจะเสียบชาร์จอุปกรณ์ต่างๆ กันไม่พอแน่ๆ เพราะต่อให้ถอดปลั๊กกาน้ำร้อน เราก็จะได้ปลั๊กมาใช้แค่ 2 รูเท่านั้นเอง

ปลั๊กรางน่ะมีอยู่แล้ว เป็นแบบอันเล็ก แต่เสียบได้ตั้ง 10 ช่องแน่ะ เป็นสามขาทุกช่องด้วย แถมได้มาฟรีตกทอดมาจากเพื่อนสมัยอยู่มหาลัย 55 ปัญหาตอนนี้เลยคือหัวแปลง (ก่อนไปยังไม่รู้ไง ก็ต้องเตรียมไปก่อนเพื่อความชัวร์) จริงๆ คุยกับเพื่อนอีกคนว่า ที่บ้านเขามีนะ ก็เลยจะตกลงกันว่าโอเค งั้นเราเอาปลั๊กรางไป นายเอาหัวแปลงไปนะ แต่มันก็พยายามบอกว่า ก็ถ้าหาซื้อได้ก็เอาไปเผื่อๆ ก็ดีนะ โอ้ย จะอะไรนักหนา มันไม่อะไรขนาดนั้นหรอกมั้ง แต่จนแล้วจนรอด อิคุณเพื่อนก็หาหัวแปลงไม่เจอ และเราก็ไปซื้อมาจนได้ ก็ยังโชคดีที่ห้าง IT ชื่อดัง (ในอดีต?) อยู่ใกล้บ้านแค่คืบ ก็เลยแวะไปเดินๆ ดู

ก็ไม่ต้องเสียเวลาเท่าไหร่ เพราะไม่กี่ร้านแรก เราก็เจอหัวแปลงปลั๊กขายแล้ว ซึ่งกับไอ้แค่หัวแปลงปลั๊กนี่มันก็มีให้เลือกหลายแบบเลยแฮะ เอาแบบไหนดีหว่า... แบบหัวแปลงจากขาแบบของในสิงคโปร์มาเป็น ช่อง universal ก็ถูกดี หรือจะเพิ่มสวิตช์เปิดปิดเข้ามาอีกหน่อย ก็แพงขึ้นมาหน่อย แต่แบบนี้เคยอ่านเจอคอมเมนต์ว่าอิตรงสวิตช์มันจะไปบังช่องเสียบอะไรสักอย่าง ไม่เอาดีกว่า หรือเป็นแบบอลังการงานสร้างที่แปลงหัวปลั๊กได้ทุกแบบ หรือที่เรียกว่า universal plug นี่ก็แพงหน่อยแฮะ แต่ก็ดูคุ้มดี แต่เราจะได้ไปต่างประเทศสักกี่ครั้งกันเชียว อืม มีแบบที่มีช่อง USB มาในตัวด้วยแฮะ อันนี้ก็ดูสะดวกดี เพราะเราก็ใช้ช่อง USB ชาร์จอุปกรณ์ต่างๆ กันอยู่แล้ว แต่เรื่องแรงดันไฟกับความปลอดภัยหรือความคงทนของตัวแปลงไฟนี่ก็... ดูไม่ค่อยหน้าเสี่ยงสำหรับของราคาแค่นี้

สรุปแล้วเลยเลือกแบบที่เป็น universal plug มาอันนึง เป็นก้อนสี่เหลี่ยมๆ ราคา 150 บาท ขอต่อคนขาย ได้มาในราคา 120 บาท ก็ไม่ได้หวังอะไรมาก แต่พอซื้อแล้ว ก็โอเคนะ มีแพกเกจใส่กล่องมาเรียบร้อย มีถุงผ้าแถมให้ด้วย แถมเห็นว่ามีมาตรฐาน CE (เข้าใจว่าคือมาตรฐานอุตสาหกรรมของทางยุโรป) แปะมาด้วย ก็น่าจะไว้ใจได้อยู่ แต่ทั้งหลายทั้งปวงคือ สรุปแล้วก็ซื้อ+แบกไปฟรีน่ะสิคร้าบ :@ ไม่ได้หยิบออกมาจากกระเป๋าด้วยซ้ำ Cray 2

ส่วนคนอื่นๆ ก็เห็นว่าสาวๆ มีไปเดินหาซื้อรองเท้ากันอยู่ครั้งนึง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าซื้อมาแล้วได้ใส่ไปกันหรือเปล่า ต่างคนก็ต่างเตรียมของเตรียมตัวของตัวเอง ช่วงนี้ไม่ได้คุยอะไรกันมาก ออกจะห่างๆ กันไปด้วยซ้ำ

เรื่องเงินนี่ก็เรื่องใหญ่

การเตรียมตัวที่ดีสำหรับการไปต่างประเทศอีกอย่างหนึ่งก็คือ "เรื่องเงิน" เราควรแลกเงินในสกุลที่ต้องใช้เตรียมไว้ให้เรียบร้อย เพราะนอกจากจะทำให้สะดวกไม่ต้องไปวิ่งหาที่แลกแล้ว ยังเป็นการประหยัดกว่า เพราะในไทยก็มีร้านแลกเงินที่ให้อัตราแลกเปลี่ยนที่ดีกว่าธนาคารอยู่หลายร้าน ไปหาแลกกับร้านพวกนี้จะคุ้มกว่า

เนื่องจากผู้เขียน เป็นคนจัดการเงินกองกลาง รวมถึงค่าโรงแรมด้วย ดังนั้นจึงเป็นคนที่ต้องแลกเงินไปเยอะที่สุด ทีแรกก็กะว่า จะหาช่วงเวลาที่เรตลง แล้วแลกเตรียมไว้ก่อนเลย แต่ด้วยความขัดข้องทางเทคนิค สรุปก็พลาดช่วงที่เรตลงต่ำสุดไปได้อย่างน่าเสียดาย แต่ก็ยังถือว่าโชคดี เพราะวันที่ผู้เขียนแลก (ไม่กี่วันก่อนเดินทาง) ก็ได้เรตที่ไม่แย่เกินไปนัก เท่าที่ส่องๆ ดู หลังจากนั้น ดูจะเป็นขาขึ้นของค่าเงิน Singapore Dollar แล้วด้วยซ้ำ เรียกง่ายๆ ว่า ตอนเอาเงินมาแลกคืน ยังได้กำไรอะ อิอิ

ดราม่าส่งท้ายก่อนจะไปจริง

แต่.... ทุกอย่างเหมือนจะเรียบร้อย แต่ถ้าเรียบร้อยก็ไม่ใช่ทีมนี้อย่างที่บอกนั่นล่ะ ผ่านไประยะนึง จำรายละเอียดไม่ค่อยได้แล้ว แต่เรื่องมันคือ คุณเพื่อนคนที่พิการทางการเคลื่อนไหว ซึ่งก็ต้องถือเป็นตัวหลักของทีมคนนึง เพราะช่วยวางแผน ช่วยหาข้อมูล คือทำในส่วนการเตรียมการเกือบทุกสิ่ง เกิดงอน+นอยอะไรมิทราบได้ ประกาศว่าขอถอนตัวไปอีกราย เฮ้ย!!!

งานนี้คือเรื่องใหญ่นะ ถึงจะยังไปกันได้อยู่ แต่ถ้าขาดคนไปก็รับรองได้ว่าทริปคงไม่สนุกแน่ๆ เพราะหลายคนก็จะรู้สึกว่าเราทิ้งเพื่อนไป แต่สรุป เมื่อให้สาวๆ เขาเคลียกันเอง ชีก็กลับมาเป็นปกติ ทุกอย่างก็เลยดำเนินต่อไปได้แบบไม่ถึงขั้นดราม่าอะไร เห้ออออ

คืนก่อนเดินทาง

บางคนอาจจะดีใจหรือรู้สึกตื่นเต้นในเหตุการณ์พิเศษบางอย่าง โดยเฉพาะการไปเที่ยวต่างประเทศครั้งแรกอย่างนี้แล้วด้วยล่ะก็... ดังนั้น ถ้าคืนก่อนจะเดินทาง จะเกิดอาการ "นอนไม่หลับ" ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก ตัวผู้เขียนเอง คืนก่อนเดินทาง ทั้งที่ก็ตั้งใจว่าจะนอน แต่สรุปแล้วก็ไม่ได้นอน เพราะ "นอนไม่หลับ" เช่นกัน แต่.... สาเหตุที่ผู้เขียนนอนไม่หลับ ไม่ใช่มาจากความตื่นเต้นอะไรหรอกนะ มันมีเหตุนิดหน่อย เพราะคืนนั้น ดันมีเรื่องดราม่ากับคนที่บ้านนิดหน่อย จริงๆ ก็ปานกลางถึงใหญ่เลยแหละ หัวสมองมันก็เลยมีเรื่องให้คิด คิด และ คิด Sad

หลังจากความพยายามนอนอยู่พักใหญ่ ก็ตัดสินใจว่า ลุกขึ้นมาจัดของดีกว่า... แน่นอน ผู้เขียนไม่ได้จัดของเตรียมไว้ล่วงหน้าอะไรเลย คือแค่วางแผนทุกอย่างไว้ในหัว กะว่าพอตื่นมาก็ค่อยทำอะไรๆ แบบรวดเดียวจบ เพราะของที่จะเอาไป บางอย่าง อย่างเช่นโน้ตบุ๊ก ก็ยังเปิดใช้งานอยู่ จะเก็บยังไงก็เก็บได้ไม่ครบอยู่ดี ดังนั้นก็เลยไม่ต้องเก็บมันเลยแล้วกัน 555

ทีแรกผู้เขียนคิดว่าจะมีปัญหาเรื่องน้ำหนักกระเป๋าเสียด้วยซ้ำ เพราะดูแววแล้ว ตูแบกคอมไป นี่ต้องน้ำหนักเยอะกว่าชาวบ้านแน่ๆ เลย ดังนั้นก็เลยหาวิธีที่จะทำให้น้ำหนักน้อยที่สุด แถมนอกจากปัญหาเรื่องน้ำหนักแล้ว ปัญหาเรื่องกระเป๋าเองก็มีอีก เพราะกระเป๋าเป้ใบที่เล็งไว้ว่าจะเอาไป พอพ่อเอาไปจะตากแดดทำความสะอาด พบว่าสภาพมันไม่ค่อยดี ก็เลยไม่ให้เอาไปใช้ ทีนี้ก็งานเข้าสิครับ เพราะนอกจากเป้ใบนั้นแล้ว ก็ไม่มีใบอื่นๆ ที่น่าจะใส่ของไปต่างประเทศพออีกแล้ว ปัญหานี้ก็มาจากความเรื่องมากส่วนตัวของผู้เขียนเองด้วยแหละ เพราะเป็นคนที่ไม่ชอบใช้ของที่ไม่ใช่ของตัวเอง คือที่บ้านน่ะมีกระเป๋าเป้ใบใหญ่ๆ อีกหลายใบ แต่ไม่เอาไง ไม่ใช้ของของคนอื่นไง ก็เลยเป็นปัญหา....

สรุปแล้วก็กลายเป็นว่า เราใช้เป้ใบเล็ก ที่จะเอาไปใช้เป็นกระเป๋าสะพายตลอดทริปนั่นแหละ ใส่พวกโน้ตบุ๊ก หูฟัง มือถือ เอกสารที่ต้องติดตัว ไปใบนึง แล้วก็เอากระเป๋าที่เป็นกระเป๋าใส่โน้ตบุ๊ก ที่เป็นทรงเหลี่ยมๆ คล้ายกระเป๋าใส่เอกสาร มาใส่ของใช้ เสื้อผ้า อะไรๆ อีกใบนึง ซึ่งก็เป็นกระเป๋าใช้หิ้ว (ขี้เกียจสะพาย) จริงๆ มันก็ไม่ถือว่าใส่ได้พอเหมาะพอเจาะอะไรหรอกนะ มันก็มีอาการบวมพอสมควร แต่ยังปิดล็อกได้ ก็โอเคแหละ อ้อๆ ข้อดีของกระเป๋าใบนี้อย่างนึงคือ ตัวล็อกมันเป็นแบบใส่รหัสแหละ ดังนั้นการเอาไปขึ้นเครื่องอะไรๆ โดยที่ต้องวางไว้ห่างตัว ก็ปลอดภัยขึ้น (ระดับนึง)

พอไปเจอคนอื่น กลายเป็นว่า มีแต่คนถามว่า "แกเอาของไปแค่นี้เองเหรอ" ทั้งที่คนอื่นก็เป้ใบใหญ่ใบนึง กระเป๋าสะภายกันอีกใบนึง... เฮ้ย ตกลงตูของน้อยใช่มะ ด้วยความที่ของน้อย หลังก็ว่าง เลยกลายเป็นผู้รับภาระสะพายเป้ แทนคุณเพื่อนไปโดยปริยาย เหอๆ (ถ้าตูไม่จัดของมาแบบนี้ คุณเพื่อนจะจัดการกับสัมภาระตัวเองยังไงวะครับนั่น?)

>> EP 0.9 ฉันจะบิน...