EP 3.0 : Day 3 Universal Studios ใครๆ ก็ไปกัน
สำหรับคนอยากเสพแบบสั้นๆ เราได้ใช้ Notebook LM สร้าง audio overview ไว้ให้กดฟังกันได้ตรงนี้
ดูเหมือนจะเป็นแพลนที่ basic ที่สุดแล้วในแพลนทั้ง 5 วันในสิงคโปร์ของกลุ่มเรา เพราะไม่ว่าจะอ่านรีวิวคนที่มาเที่ยวสิงคโปร์กี่รีวิว เชื่อได้เลยว่าเกือบ 90% ทุกคนต้องมา Universal Studios นี้กันแน่ๆ
ก็นั่นแหละ ในเมื่อคนอื่นเขาก็มากัน และคุณเพื่อนก็ need ความตื่นเต้น ไหนๆ ก็มาสิงคโปร์แล้ว พวกเราก็เลยต้องมา Universal Studios กันนั่นแล.... ซึ่ง ณ จุดนี้ ก็ต้องขอบคุณ 'ผู้ใหญ่ใจดี' ที่สนับสนุนค่าเข้า Universal Studios ให้พวกเราด้วยนะคร้าบบบบ
ทริปวันนี้คงไม่เขียนอะไรยาวมาก เนื่องจากรีวิว Universal Studios ก็มีคนเขียนกันเยอะแล้ว ไม่มีอะไรแปลกใหม่ และทริปของพวกเราก็ไม่ได้แปลกแตกต่างจากคนอื่นๆ อะไรนัก
เริ่มต้นด้วยการเดินทางจากโรงแรม ไปยัง Vivo City ซึ่งเป็นห้างที่เป็นจุดเชื่อมต่อไปยังเกาะ sentosa และเราก็หามื้อเช้าทานกันที่ food court ของห้างนี้กันก่อนนี่เอง ผู้เขียน ได้เป็นผัดหมี่ ส่วนเพื่อนอีกคนก็ขอข้าวมันไก่อีกสักมื้อ (สงสัยยังไม่เข็ด) 55 ส่วนสาวๆ เห็นว่าจัดอาหารกึ่งสำเร็จรูปที่ขนมาจากเมืองไทยกันมาจากโรงแรมแล้ว เลยไม่มีใครทานอะไร
ทานข้าวกันเสร็จ ก็ได้เวลาเดิน เดิน และ เดิน (ยังไม่หายล้าจากเมื่อวานเล้ยยยย) โดยวิธีที่จะข้ามไปยังเกาะ sentosa ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Universal Studios ได้นั้น มีหลักๆ อยู่ 4 วิธีด้วยกัน วิธีที่คนนิยมกันก็คือการนั่งรถ mono rail ซึ่งมีค่าใช้จ่าย 4 SGD หรือถ้าใครอยากหรูหราไฮโซ นั่งกินลมชมวิวแบบสวยงามกว่าคนอื่น ก็อาจจะใช้บริการ cable car ข้ามไปก็ได้เช่นกัน โดยมีค่าเสียหาย 18 SGD (โห!) หรือถ้าใครมากันเป็นกลุ่ม โดยที่หาร 4 ลงตัว การนั่ง Taxi ข้ามไป ก็เป็นอีกช่องทางที่คุ้มค่าเช่นกัน แต่เนื่องจากกลุ่มเราไปกัน 5 คน และก็งก เอ้ยอยากประหยัดแบบสุดๆ เราเลยเลือกวิธี "เดิน" ซึ่งถูกสุด คือเสียค่าผ่านทางแค่ 1 SGD แถมช่วงที่เราไป เขายังไม่เก็บค่าผ่านทางนี้อีกต่างหาก สรุปก็คือถ้าเราเดินไป เราก็ข้ามไปได้แบบฟรีๆ เลยนั่นเอง
การเดินนั้นก็ไม่ได้โหดร้ายจนเกินไป Roadwalk ระยะทางประมาณครึ่งกิโลกว่าๆ นั้น ก็เป็นสะพานข้ามระหว่างเกาะ ด้านข้างเขาก็ทำเป็นทางสำหรับคนเดิน มีหลังคาให้เรียบร้อย มีต้นไม้ประดับตกแต่ง มีลำโพงเปิดเพลงชิลๆ ให้ฟังไปตลอดทาง แถมมีทางเลื่อนให้อีกต่างหาก โดยทางเลื่อนแบ่งเป็น 5 ช่วง อันนี้ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมทางเลื่อนพวกนี้ไม่ทำเป็นช่วงเดียวยาวๆ ไปเลย ตามสนามบินก็เหมือนกันทางเลื่อนต้องโดนแบ่งเป็นหลายๆ ช่วง ทำไมก็ไม่รู้.... แถมวันที่เราไปเจอว่าทางเลื่อนบางช่วงเสียอีกต่างหาก
เพลงประกอบนี้คือหนึ่งในเพลงที่ผู้เขียนได้ยินระหว่างทางบน Roadwalk แต่เนื่องจากคุ้นท่อน intro มันมาก แต่นึกไม่ออกว่าเพลงอะไร หลังจากกลับจากทริปมาได้พักใหญ่ๆ ก็บังเอิญได้ยินมันอีกที ก็เลยเพิ่งอากู๋ ลองหาดูแหละว่าสรุปมันคือเพลงอะไรกันแน่ ซึ่งก็ไม่น่าเชื่อว่า จากที่จับคำมาได้ไม่กี่คำ บวกกับ keyword บางอย่าง อากู๋จะขุดเพลงนี้มาเป็นผลการค้นหาให้ผู้เขียนเจออันแรกเลยแฮะ.... (เพลงนี้ดันมีสองชื่ออีกนะ เหอๆ)
ข้อดีของการเดินก็คือ สาวๆ มีเวลาถ่ายรูปกันได้เต็มที่ ผู้เขียน ก็แอบเก็บภาพอ่าวตรงนั้นมาภาพนึงเหมือนกัน >_< คงจะเป็นทางเดินที่สวยงามดีทีเดียว ด้านนึงก็ถนน (สะพาน) อีกด้านก็เป็นวิวอ่าว ยามสาย อืมมมม ห่วงแต่ถ่ายรูปกันจนคุณเพื่อน ฟ ของเราที่ใช้ไม้ค้ำ หันหลังมาเป็นแบบให้เพื่อนๆ แชะภาพ จนไม่ทันระวัง "end of walk way" กันเลยทีเดียว (เขาไม่มีเสียงเตือนเหมือนที่สุวรรณภูมิหรอกนะ) เลยลงไปกองให้เพื่อนได้ตื่นเต้นกันแต่เช้า แต่ก็โชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก (รอดไป)
ลงจากทางเดินข้ามเกาะแล้ว เราก็ยังต้องเดินกันอีกพอสมควร กว่าจะถึงหน้าทางเข้า Universal Studios จริงๆ ไม่ต่างจาก Lego Land เมื่อวานเท่าไหร่ แต่จะช้ากว่าเพราะสาวๆ มัวแต่หามุมถ่ายรูปกันนี่แหละ เดินๆ หยุดๆ กันไป กว่าจะได้เข้ากันก็สิบเอ็ดโมงอีกเช่นเคย...
กิจกรรมหลักใน Universal Studios ก็คือการมาเล่นเครื่องเล่น และการหามุมถ่ายรูป ซึ่งกิจกรรมหลัง ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ใช้เวลามากกว่าอย่างแรกเสียอีก...
ด้วยความโชคดีมากๆ ที่เรามีคุณเพื่อน ฟ เป็น express card 5555 เพราะก็อย่างที่รู้ โดยปกติการต่อแถวเล่นเครื่องเล่นใน Universal Studios นี้ จะมีคิวหลายแบบ คิวปกติสำหรับคนที่ซื้อบัตรผ่านแบบธรรมดาเข้ามา (ซึ่งมักจะยาวมากกกกกกกกก ขนาดเรามาวันธรรมดาแล้ว ก็ยังพบว่าคิวก็ยาวแบบยาวมากอยู่เลย) อีกช่องก็คือสำหรับคนที่ซื้อบัตรผ่านแบบด่วน (express pass) เข้ามา ซึ่งจะบวกจากราคาบัตรปกติไปอีกตั้ง 50 SGD / 70 SGD (แบบแรกใช้ Express Pass ได้เครื่องเล่นละรอบ ส่วนแบบหลัง Express Pass ได้แบบไม่จำกัด) คือแบบราคาโหดมากอะ ซึ่งพวกเรานอกจากจะงก เอ้ยประหยัดๆ กันแล้ว แถมก็คิดว่ามาวันธรรมดาแล้ว คนคงไม่เยอะมาก ก็เลยไม่ได้ซื้อบัตรแบบ express กัน แต่ด้วยความที่คนที่นี่เขามีวัฒนธรรมที่ดูแลคนพิการดี ถึงค่อนข้างดีมากเลยแหละ พอเห็นคุณเพื่อน ฟ ของเราใช้ไม้ค้ำเดินต๊อกแต๊กนำขบวนไป เขาก็ให้พวกเราเข้าช่องทางพิเศษ (express way) ซึ่งแทบไม่ต้องต่อแถวเลยไปได้แบบสบายๆ (โหยดีอะ ประหยัดไปได้คนละ 70 SGD เลยนะเนี่ย 555) ด้วยเหตุนี้ กลุ่มพวกเราจึงได้เล่นเครื่องเล่นกันครบทุกอย่างได้ภายในหนึ่งวัน ไม่อย่างนั้น ถ้าต้องไปต่อแถวตามปกติ รับรองเลย ทั้งวันก็เก็บเครื่องเล่นไม่ครบ
ไม่ใช่แค่ครบอีกต่างหาก บางเครื่องเล่น อยากจะเล่นซ้ำ ก็กลับไปเข้าช่องทางพิเศษ ก็ได้เล่นซ้ำแบบทันใจกันอีกต่างหาก แต่ผู้เขียน ไม่ได้เล่นอะไรซ้ำเลยอะนะ ว่าจะซ้ำ tranformers ซะหน่อย สรุปก็อด สาวๆ ยังเล่นรถไฟเหาะ (สีแดงกับสีฟ้านั่นแหละ) กันคนละ 2-3 รอบ หนุ่มๆ ไม่มีใครเล่นเลยสักคน แต่เสียดายวันที่เราไปกัน WaterWorld ปิดปรับปรุง เลยอดดูโชว์ที่ใครๆ ก็บอกว่าไม่ควรพลาดโชว์นี้เลย
เริ่มเครื่องเล่นแรกด้วย Sesame Street: Spaghetti Space Chase อันนี้ไม่หวาดเสียวอะไรเลย แต่ก็แอบตุ๊มๆ ต่อมๆ อยู่นิดนึง เพราะได้ยินมาว่าเครื่องเล่นที่นี่ ไม่ค่อยมีที่ธรรมดาเท่าไหร่ 555 ซึ่งมันก็ไม่มีอะไรเป็นรถไฟวิ่งวนๆ วนไปวนมาเหมือนเส้นสปาเกตตี้นั่นแหละมั้ง ประกอบแสงสีเสียงแค่นั้นเอง ที่ทำให้ดูน่ากลัวเพราะดูจากตัวล็อกที่นั่งไง โดยปกติถ้าเครื่องเล่นไม่หวาดเสียว (รุนแรง) ตัวล็อกมันก็จะไม่ค่อยแน่นหนาใช่ไหมล่ะ แต่เครื่องนี้ตัวล็อก็พอๆ กับพวกรถไฟเหาะอยู่นะ
ป.ล. แต่มาฟินก็ตรงตอนลง มี staff สาวสวย (เพื่อนว่างั้น) ยื่นมือมาช่วยจับผู้เขียน ตอนลงจากรถด้วยล่ะ ฮิ้วววว ถือว่าเริ่มต้นได้ดี 555 แต่สรุปทั้งวัน ก็มี staff สาวน่ารักอยู่นางเดียวนะเท่าที่เจอ
มาต่อเครื่องเล่นอันที่ 2 กันแบบงงๆ กับ TRANSFORMERS The Ride : The Ultimate 3D Battle คือก็ได้ยินมาว่าต้องต่อคิวยาวมากกกก แต่ด้วยตอนที่ไปยังเช้าอยู่หรืออะไรไม่ทราบ ปรากฏว่าคิวค่อนข้างว่างแฮะ คือเครื่องเล่น 2 อันที่ได้เล่นนี่ยังไม่ได้ใช้สิทธิ์ express จากคุณเพื่อนเลยนะ ก็ต่อแบบปกติ แต่คนน้อยเท่านั้นเอง
ก็ค่อนข้างสนุกจริงสมคำร่ำลือ เพราะเป็นรถวิ่งไปในทางวิบาก ขึ้นๆ ลงๆ มีเอฟเฟคประกอบ แสง สี เสียง ความร้อน น้ำกระเด็น แถมคนนั่งก็ต้องใส่แว่น 3D เพื่อดูวิดีโอประกอบไปด้วย ก็ยังสงสัยว่าขนาดนี้ยังเรียกว่า 3D มันต้องเป็น 4D แล้วสิ?
ต่อเครื่องเล่นที่ 3 กันด้วย Madagascar: A Crate Adventure เป็นเครื่องเล่นแรกที่เราได้ใช้สิทธิ์ express Pass 55 ซึ่งก็แปลกใจที่คนต่อแถวกันยาวมากกกก ทั้งที่ตัวเครื่องเล่นเอง ก็แค่ล่องเรือไปในฉากของหนัง ที่มีหุ่นจำลอง ประกอบแสงสีเสียงให้ชมไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง คือเทียบความอลังกับสองอย่างแรกไม่ได้เลยด้วยซ้ำอะ แค่มันเปลี่ยนจากรถบนพื้น เป็นการล่องเรือ
ต่อเครื่องเล่นที่ 4 กันด้วย Enchanted Airways ซึ่งเป็นรถไฟเหาะรูปมังกรของ Shrek นั่นเอง คือทีแรกตั้งใจว่าจะเก็บเครื่องเล่นเสียวๆ ไว้ทีหลัง ด้วยความที่คิดว่าเจ้าเครื่องเล่นนี้ไม่น่าเสียวมั้ง เห็นที่ขึ้นก็อยู่ในร่ม ก็นึกว่าจะคล้ายกับอันแรกหรือเปล่า แต่ปรากฏ อันนี้ก็เป็นเครื่องเล่นที่เสียว (และสนุก) อันนึงใน Universal Studios เลย ถ้าเทียบระดับความเสียว ก็น่าจะพอๆ กับ The Dragon ที่ Lego land เลยแหละ
ความสนุกอย่างนึงของเครื่องเล่นอันนี้ก็คือ ตอนแรกเราขึ้นจากในโรงซึ่งเป็นที่ร่มก็จริง แต่รถไฟก็จะออกไปยังที่โล่งภายนอก (ดูหลอกคล้ายกับ The Dragon เลยเนาะ) แล้วตอนที่รถไฟออกไปข้างนอกรอบที่ผู้เขียนเล่น ฝนดันลงมาปรอยๆ พอดี การได้นั่งรถไฟเหาะถ้ามกลางสายฝนนี่ก็เป็นบรรยากาศที่ไม่เคยเจอมาก่อนแฮะ และก็พบว่ามันก็ฟินดี
แต่ก็เพราะฝนตกด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือรอบมันสั้นแค่นั้นเอง เหมือนเพื่อนจะบอกว่า รู้สึกคนคุมเขาจะดึงรอบที่ผู้เขียนนั่งให้เข้าไปซะก่อน ก็อาจจะเพราะที่ฝนตกนั่นแหละ ว้า ถ้าไม่ได้นั่งครบรอบก็เสียดายแย่ ซึ่งจริงๆ Enchanted Airways นี่ก็เป็นเครื่องเล่นนึงที่ผู้เขียนอยากเล่นซ้ำนะ
มาต่อกันด้วย Shrek 4-D Adventure อันนี้ไม่เชิงว่าเป็นเครื่องเล่น เพราะมันเป็น 4D Movie ซึ่งเริ่มด้วยการไปยืนใส่แว่นดูการเกริ่นเรื่องกันก่อน คือยืนตรงนี้นานมาก นานพอๆ กับตัวหนัง 4D จริงๆ เลยมั้ง แล้วก็เป็นห้องใหญ่ จุคนได้น่าจะเป็นร้อย ตรงนี้ถ้าคนที่ไม่ได้อินกับหนัง Shrek เท่าไหร่ (อย่างเช่นผู้เขียน) ก็คงจะเฉยๆ ถึงน่าเบื่อกันเลยทีเดียว
พอพ้นจากห้อง intro มาแล้ว เราก็จะเข้าไปในห้องที่จะฉายหนัง 4D จริงๆ ก็เป็นลักษณะคล้ายๆ โรงภาพยนตร์ แต่ก็ยังสงสัยว่าถ้าเป็นเก้าอี้ติดๆ กันแบบนี้ มันจะ 4D ยังไงหว่า คำตอบคือ มันก็เป็น 4D ได้แฮะ เพราะตรงใต้เก้าอี้ ก็มีเครื่องพ่นลมแอบไว้ ตัวพนักก็สั่นเองได้ ตัวเก้าอี้ขยับขึ้นลงได้ (ฉากขี่รถม้าวิบากนี่ก็สนุกดี 55) ในโรงก็มีระบบพ่นละอองน้ำ ก็ถือว่าใช้ได้ ยกเว้นตัวเนื้อเรื่องที่ผู้เขียนไม่ได้เคยดู Shrek มาก่อน ก็เลยไม่ค่อยอะไรเท่าไหร่ สรุปว่า Shrek 4-D Adventure เหมาะสำหรับแฟนๆ หรืออย่างน้อยก็คนที่เคยดู Shrek มาก่อน และก็เหมาะกับเด็กๆ เป็นพิเศษด้วย
จบจาก Shrek 4D เราก็คุยกันไว้ตั้งแต่ก่อนเข้าไปดูโชว์แล้วว่าดูจบแล้วจะออกมาหาของกินกัน มื้อเที่ยง (น่าจะราวบ่ายสอง) ก็แวะหาอะไรทานกันน่าจะแถวโซน Far, Far Away แหละ สองหนุ่มก็สั่ง Berger มาทานกันคนละเซ็ต ก็เซ็ตธรรมดามาก Berger+ coke + French Fries แต่ราคานี่ก็ไม่ธรรมดาเท่าไหร่ เจอค่าเสียหายไปเซ็ตละ 14 SGD (เกือบสี่ร้อยบาทไทย เฮ้ย!) แถม ผู้เขียน ยังเปรี้ยว ลองสั่ง onion ring มาลองกินอีกถาด เจอไปอีก 5 SGD สรุปแล้วมื้อนั้น จ่ายไปเฉียดๆ 500 บาทไทย แต่ก็อะนะ ก็ต้องทำใจ ค่าอาหารการกินในสวนสนุกก็งี้ ส่วนสาวๆ ก็ประหยัดกันอีกเช่นเคย โดยการสั่งข้าวมันไก่ สั่งไก่จานเดียวแล้วข้าวสามจานมาแบ่งกันกิน เห็นว่าเจอค่าเสียหายกันไปแค่คนละ 7 SGD เท่านั้นเอง (ก็ยังแพงอยู่ดีปะ?) โชคดีอย่างที่เราหาข้อมูลกันมาแล้วว่าใน Universal นี้ มีตู้กดน้ำดื่มให้บริการกันฟรีๆ ดังนั้นค่าน้ำของทั้งวันนี้ก็เลยไม่ต้องเสียสักเซ็น กดฟรีกันรัวๆ หุหุ
พักทานข้าวก็เป็นการหลบฝนไปในตัว คือมาเที่ยวนี่เจอฝนทุกวันเลยนะ เดี๋ยวก็ฝนตก เดี๋ยวก็แดดออก เดี๋ยวก็ครึ้ม แล้วเราก็ไปเก็บเครื่องเล่นกันต่อ
เครื่องเล่นที่ 5 มาเขย่ากระเพาะกันด้วย Puss In Boots' Giant Journey ก็คือทีมแจ็คผู้ฆ่ายักษ์นี่เอง โดยเราจะนั่งรถไฟเหาะไต่ไปตามต้นถั่วยักษ์ เป็นรถไฟเหาะที่แปลกอย่างคือ ในที่นั่งจะมีเสียงบรรยายไปด้วย (ไม่แน่ใจว่ามีภาพด้วยหรือเปล่าแฮะ แล้วก็เป็นเครื่องเล่นที่น่ารำคาญมาก คือจะเสียว (เร็ว+เหวี่ยง) ก็ไม่เชิง คือพอเกือบจะเสียวละ พี่ท่านก็หยุด แล้วก็วิ่งต่อ หยุดๆ วิ่งๆ อยู่อย่างนั้น จากที่ควรจะสนุก เลยเป็น "เกือบจะ" สนุกแทน...
มาถึงเครื่องเล่นที่ถือเป็น Hilight อีกหนึ่งอย่างของ Universal Studios ที่นี่ก็คือ Jurassic Park Rapids Adventure หรือเรียกง่ายๆ ว่าล่องแก่งนี่เอง... แต่ความดีงามของ Jurassic Park Rapids Adventure ก็คือ นอกจากจะเป็นทีมของภาพยนตร์ชื่อดังที่ใครๆ หลายคนชื่นชอบแล้ว (อันนี้รวมถึงผู้เขียนด้วย ตอนดูหนังจำอะไรไม่ค่อยได้ แต่เพิ่งมาอ่านหนังสือไป ชอบเลยยยย) ฉากข้างทาง ก็ดูลงทุนกว่าล่องแก่งทั่วไปที่เราเคยเล่นๆ มา
จากวิดีโอด้านบน เราจะเห็นว่า รอบนึงมีความยาวเกือบ 10 นาทีกันเลย ดังนั้นใครที่ต้องเสียเวลารอต่อแถว ไม่ได้เดินผ่านฉลุยด้วย express way เหมือนผู้เขียนและเพื่อนๆ ก็ยอมลงทุนต่อเถอะครับ Jurassic Park Rapids Adventure เป็นเครื่องเล่นที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงจริงๆ
มาเที่ยวทริปนี้แปลกใจอยู่อย่างคือ เราเจอคนไทย "เยอะมากกกก" แบบว่าไปที่ไหนก็เจออะ ใน SMRT ก็เจอ ที่เที่ยวต่างๆ ก็เจอ เมื่อวานใน Lego Land ก็เจอ เฮ้ย ไหนว่าคนไทยไปเที่ยวแต่ญี่ปุ่นเกาหลีกันไง มาทำไรกันแถวเน้ คนไทยเยอะแค่ไหนก็ลองคิดดู ขนาดที่ว่าตอนมาเล่น Jurassic Park Rapids Adventure นี่ เรือลำนึงนั่งได้ตั้ง 9 คน แต่ลำที่กลุ่มของผู้เขียนนั่ง ทั้งลำเป็นคนไทยหมดเลยจ้าาา (อืม ก็ให้ความรู้สึกอุ่นใจดี เหมือนอยู่เมืองไทยเลย #แบบนี้ก็ได้เหรอ)
ทีแรกหลังจากได้ขึ้นเรือแบบแทบจะไม่ต้องรอ เพราะเข้าไปทาง express way (จะย้ำอะไรบ่อยๆ 55) ก็ยังสงสัยว่า ตกลงอันนี้มันใช่ล่องแก่งเหรอ อันนี้อะเหรอ ที่สงสัยเพราะไม่เห็นต้องฝากของเลย เอ๊ะ ปกติล่องแก่งมันต้องสูง ต้องเปียก มันควรจะบังคับฝากของสิ นี่แต่ละคนก็สะพายกระเป๋าขึ้นกันชิลๆ ดูสภาพเรือแล้วก็... สงสัยแค่น้ำกระเด็นนิดหน่อยล่ะมั้ง ที่นั่งก็ไม่ได้รัดแน่นหนา เป็นแค่เข็มขัดธรรมดาแค่นั้นทุกคนก็คิดไปในทำนองเดียวกัน
นั่งๆ ไป ก็มีฉีดน้ำกระเด็นมาให้เปียกกันนิดหน่อยจริงๆ อ่อ ที่เรือเปียกเพราะน้ำพวกนี้สินะ สรุปคงไม่มีอะไร แต่พอถึงจุดที่เราโดนไดโนเสาร์ (เจ้า T-rex) กินเรือของเราทั้งลำเข้าไปในปาก แล้วมีการปิดปากด้วยนะ ปล่อยให้คนในเรือนั่งลุ้นว่ามันจะยังไงต่อ.....
สรุปคืออิ T-rex มันคายเราออกมาจากปากครับพี่น้อง แบบถุยพรวดลงมาเลย เป็นที่มาของความเปียกของผู้ที่โชคร้าย นั่งฝั่งที่ลงไปกระแทกน้ำนั่นเอง 555555 (ซึ่งไม่ใช่ผู้เขียน) ซึ่งความสูงและความเร็วก็คงไม่ได้มาก เพราะไม่อย่างนั้นคงออกแบบเข็มขัดมาเซฟกว่านี้ แต่ความเปียกของคนที่ซวยนั่งฝั่งถูกน้ำก็คงเยอะมิใช่น้อย ข้อสังเกตคือ เราไม่น่าจะเดาได้ว่าฝั่งไหนจะเปียก เพราะเรือล่องไปมันก็หมุนไป (เรือเป็นวงกลม) ดังนั้น ก็จะไปลุ้นตอนจะหล่นจากปาก T-rex นั่นแหละ ฝั่งไหนลง ก็เตรียมตัวเตรียมใจ (เปียก) ไว้ได้เลย 55
พอเปียกกันเล็กๆ จาก Jurassic Park Rapids Adventure กันออกมาแล้ว เราก็มาขึ้น Canopy Flyer ซึ่งเป็นเครื่องเล่นอันที่ 7 กันต่อ ตอนต่อคิวขึ้นเพราะอะไรไม่รู้ถึงคลาดกัน ทำให้เครื่องเล่นนี้ขึ้นไปไม่พร้อมกัน คือมันต้องขึ้นลิฟต์ไปนั่งด้านบนอะนะ ทำให้คุณเพื่อนอีก 3 คน ได้เล่นแล้วรอบนึง คือเล่นก่อนผู้เขียนกับเพื่อน พอลงมา คุณเพื่อน ฟ ก็เลยขอขึ้นอีกรอบ ขึ้นไปด้วยกันอีก แถมชียังได้นั่งกับหนุ่มหล่อ (คนไทยอีกละ) ที่บอกว่าก็มากับเพื่อนแหละ แต่เพื่อนเล่นไปแล้วเหมือนกัน แหมๆ ฟินเลยล่ะสิ
Canopy Flyer นี่ก็จัดว่าเสียวพอสมควร เพราะเป็นที่นั่งแบบปล่อยขาลอย ใครที่กลัวความสูง ก็คงยิ่งเสียวขึ้นไปอีก แถมมีที่นั่งสองฝั่ง แบบหันหน้าชนกัน (แต่ก็ห่างกันพอสมควรนะ) ใครที่นั่งฝั่งที่หันหลัง ก็จะได้อารมณ์นั่งรถถอยหลังอะ จังหวะสุดท้ายที่ปล่อยเราฟิ้ววววว ลงมาจากที่สูงๆ แถมโค้งๆ ให้ได้เสียวเล่นวืบนึง คนที่นั่งหันหน้าลงก็คงเสียวตามปกติ แต่คนที่นั่งหันหลังแบบที่ว่า การรู้สึกเหมือนหงายหลังลงมาแบบนั้น ก็อาจจะทำให้เสียศูนย์ได้ หุหุ
มาถึงเครื่องเล่นอันที่ 8 ของกลุ่มเรา ก็คือ Dino-Soarin ซึ่งก็เป็นเครื่องเล่นที่เด็กมาก เป็นไดโนเสาร์บินได้ วนๆ ลักษณะเดียวกับม้าหมุน พอเราขึ้นไปแล้ว ก็มีปุ่มให้กด พอเรากด (กดค้างไว้) ไดโนเสาร์ก็จะบินสูงขึ้นๆ พอเราปล่อย มันก็จะบินต่ำลงมา แต่ก็ไม่ได้ร่วงเร็วอะไรเลยอะนะ ดูจะเป็นเครื่องเล่นสำหรับเด็กๆ ซะมากกว่า
ถัดมาจากเครื่องเล่นเด็กๆ เราก็มาถึงอีกหนึ่ง hilight ของ Universal Studios กันแล้วๆๆ ซึ่งก็คือ Revenge of the Mummy นั่นเอง เครื่องเล่นนี้ แอบยอมรับว่า ทีแรกที่อ่านรีวิวมา (จากพันทิปนั่นแล) ผู้เขียนยังสองจิตสองใจ (จริงๆ ก็หลายเครื่องเล่น รวมถึงล่องแก่งก่อนหน้านี้ด้วย) เพราะคนรีวิวบอกว่า "เสียวมากกกก" (ล่องแก่งก่อนหน้านี้มันเสียวตรงไหนหว่า ที่ Lego Land ยังเสียกว่าอีกนะ ถ้าเทียบแค่ความเสียวน่ะ) ไอ้เราก็เลย เล่นไม่เล่นหว่า... ข้อสำคัญที่อ่านมาในรีวิว เขาบอกว่ามันมีช่วงที่หงายหลังด้วย เราก็ไม่ชอบเล่นอะไรที่พลิกหัวหรือตีลังกาอยู่แล้ว คือตั้งกฎไว้เลยว่าอะไรที่ตีลังกานี่ไม่เล่น ดังนั้นอันนี้จะเป็นแบบนั้นไหมหว่า... คิดไปต่างๆ นานา อ้ออันนี้เป็นเครื่องเล่นชิ้นแรกที่เราใช้บริการล็อกเกอร์ฝากของกันแหละ เหมือนเขาจะบังคับฝากหรือยังไงไม่รู้ ซึ่งคุณเพื่อนก็บ่นกันว่า วิธีการใช้ตู้ล็อกเกอร์นั้น มีบอกไว้แทบทุกภาษา "แต่ไม่มีภาษาไทย" อืมมม..."
แต่สรุปด้วยความที่ยังไม่เจออะไรที่เสียวๆ อย่างที่เขาร่ำลือเลยแหละมั้ง ล่องแก่งก็งั้นๆ ก็เลยเอาวะ มาแล้วต้องเล่นให้คุ้มหน่อย อันนี้ถึงจะเสียวแต่เขาก็เครมว่าสนุกแหละ "ต้องเล่น" และที่ตัดสินใจก็ไม่ผิดจริงๆ ด้วย
พอขึ้นไปนั่งแล้ว ก็พบว่าเครื่องเล่นนี้ก็น่าจะรอดแหละ เพราะลักษณะเป็นที่นั่งแบบรถไฟ นั่งแถวละ 3 คน มีกี่แถวไม่รู้ คือพอลักษณะมันเป็นแบบนี้ ดังนั้น เรื่องหงายหลังตีลังกานี่คงไม่มีแน่ๆ ถ้าจะหงายแบบที่อ่านมา ที่นั่งมันควรเป็นที่นั่งเดี่ยวหรือแถวเดี่ยวอะนะ ดังนั้น ณ จุดนี้ความกลัวก็หายไปละ แต่ก็สังเกตอีกอย่างว่า ตัวล็อกที่ต้องพับลงมาล็อกขาเราไว้ เขามีจะเรียกยังไงดี เป็นยางขึ้นโครงขึ้นมาเป็นคล้ายกล่องสี่เหลี่ยม เอาไว้ให้เกาะหรือกอดก็ได้ แปลว่ามันน่าจะเร็วพอสมควรแหละมั้ง....
เริ่มต้นกันแบบช้า (หลอกกันก่อนตามเคย) ซึ่งเจ้า Revenge of the Mummy นี่ก็คือรถไฟเหาะในร่ม ซึ่งจะมีทีมจากหนัง The Mummy ให้เราชมระหว่างทาง และก็ไม่ได้มีแค่แสงสีเสียง ในบางฉากมีเอฟเฟคไอความร้อนประกอบอีกต่างหาก อารมณ์คล้ายๆ กับ Transformers: The Ride แต่ไม่ได้ใส่แว่น 3D และเอฟเฟคก็น้อยกว่า แต่ความสนุกของมันก็คือ ก่อนเริ่มความมันส์ เราจะไต่ขึ้นไปบนที่สูง หลายคนคงรู้ตัวละว่าพอขึ้นแล้วเดี๋ยวมันก็ต้องลง และก็คงลงเร็วๆ แน่ เป็นฉากขึ้นไปประตูอะไรสักอย่าง แล้วทีนี้ก็เหมือนว่าเราผ่านประตูไปไม่ได้ ขยับชนๆ อยู่ 2-3 ครั้ง ก็ผ่านไปไม่ได้ ทีนี้ยังไงไม่รู้ พี่ท่านก็เล่นปล่อยถอยหลังลงมาจากข้างบนนั้นเฉยเลยครับ ซึ่งส่วนที่คล้ายๆ หงายหลังที่คนในพันทิปรีวิวไว้ มันก็คือตรงนี้แหละ สรุปก็แค่การลงแบบถอยหลังด้วยความเร็วและความชันพอสมควร คือก็ไม่ได้มากนะ เพราะเขายังติดเบรกให้ พอถอยหลังลงมาแล้ว ก็เหมือนลงมาตั้งหลักใหม่ ทีนี้เราก็พุ่งขึ้นไปแบบเร็วๆ เลยครับ ทะลุประตูไปเลย หลังจากนั้นก็.... #สู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้นนนนน (เฮ้ย! ผิดเรื่อง) หลังจากนั้นก็วิ่งขึ้นๆ ลงๆ ตามแบบรถไฟเหาะอะแหละ ก็ยอมรับว่าเร็วและเสียวดีทีเดียว
จริงๆ Revenge of the Mummy นี่ก็ให้อารมณ์คล้ายกับรถไฟตะลุยจักรวาลใน Dream World บ้านเรานะ แต่เป็นเวอร์ชันอัพเกรด 55 แสงสีเสียงเอฟเฟคประกอบแจ่มกว่า (และเป็นทีมจากหนัง) ความเร็วและความเสียวก็รู้สึกจะสนุกกว่า แต่ก็นั่นแหละ ด้วยความที่ผู้เขียนก็นั่งรถไฟตะลุยจักรวาลมาจนเริ่มชินแล้ว มาเจอของที่คล้ายๆ กัน ก็เลยไม่ได้อะไรเท่าไหร่ แถมก็รู้สึกว่ารอบเขาสั้นจัง ช่วงที่โดนเหวี่ยงๆ มีแค่ไม่กี่รอบใหญ่ๆ เท่านั้นเอง แต่สรุปก็สนุกและชอบจริงๆ นะ ถ้ามีโอกาสก็อยากกลับไปซ้ำอยู่
ผ่านจากเครื่องเล่นเสียวๆ ก็มาพักนั่งกินลมชมวิวไปกับ Treasure Hunters จริงๆ Revenge of the Mummy ก็ไม่ได้เล่นทุกคนนะ มีหนึ่งหนุ่มที่นั่งรอเพื่อนๆ ไม่ได้ไปเล่นด้วยกัน (ทำไมล่ะ?)
Treasure Hunters นี่ก็ไม่ได้มีอะไรเลย เป็นอีกเครื่องเล่นสำหรับคุณหนูอย่างแท้จริง ถึงขั้นว่าบางเว็บรีวิว Universal Studios @ Singapore จัดเครื่องเล่นนี้ไว้ในหมวด "ไม่แนะนำ" เลยด้วยซ้ำ ฮาฮา แต่ด้วยความที่พวกเรามี Express Pass (แบบเดินได้) กันนี่ ก็ไม่ต้องเสียเวลาต่อแถวอยู่แล้ว ก็เล่นๆ ไปเถอะ เป็นการนั่งรถชมสวนทีมล่าสมบัติเท่านั้น ช้านมาก เอื่อยมาก ราวกับรถคุณปู่ใน Dream World จะว่าไปถ้าใครที่ไม่ได้ใช้ Express Pass แล้วพบว่าแถวมันยาวต้องเสียเวลาต่อคิว ผู้เขียนก็อยากจะแนะนำเช่นเดียวกันว่า "ผ่านไปเถอะ" 555
มาถึงของแร๊งงงง ซึ่งถือเป็น hilight ตัวจริงของที่นี่ ก็คือ "Battlestar Galactica " ซึ่งแค่เข้ามาใครๆ ก็ต้องเห็น ต่อให้ไม่เห็นก็ต้องได้ยินเสียงกรี๊ดดดที่ดังอยู่เกือบตลอดเวลาอยู่ดี (ลองฟังได้จากในคลิปด้านบน)
Battlestar Galactica ถือเป็นรถไฟเหาะที่รางใหญ่มากที่นึง และยังเป็นรถไฟเหาะ (รางคู่) ที่สูงที่สุดในโลก (เขาว่างั้นนะ) โดยจะมีรางสีแดง (Human) เป็นรถไฟแบบที่ที่นั่งมีที่ให้เหยียบ และถือว่าเสียวน้อยกว่า รางสีฟ้า (Cylon) ซึ่งเป็นรถไฟเหาะแบบปล่อยขา แถมยังมีรางที่เสียวกว่าฝั่งสีแดงอีกด้วย การันตีความเสียวได้ด้วยการที่เครื่องเล่นนี้ต้องฝากของ "ทุกชิ้น" แปลว่ามันต้องเร็วและเหวี่ยงแรงมาก นี่ขนาดเพื่อนกลับมาเล่าว่า นาฬิกายังหลุดเลยอะ ดีนะยังคว้าไว้ทัน เหอๆ
รถไฟเหาะสองรางนี่... ความจริงผู้เขียนกะว่า ถ้าผ่าน Revenge of the Mummy มาได้ ก็คงลองเล่นรางสีแดงดูแหละ เพราะที่อ่านรีวิวมาคือ สีแดงเหาะเฉยๆ แต่สีฟ้ามีตีลังกาด้วย ด้วยกฎอันเคร่งครัด ยังไงก็คงไม่เล่นอะนะสีฟ้าเนี่ย แต่พอฟังคุณเพื่อนอธิบายว่ามันก็ตีลังกาทั้งสองรางนะ เราก็อ้าววว งั้นตูไม่เล่นละนะ >_<
สรุปแล้วก็คือ มีสองสาวใจกล้า หนึ่งในนั้นคือคุณเพื่อน ฟ (ถึกสุดในกลุ่มละ) ที่อาสาไปเล่นแทนเพื่อนๆ ที่เหลือ ชีหายไปกันนานมากกกกก คนที่รอก็หลับแล้วหลับอีก ทำไมหายไปนานจังฟระ นี่ก็นึกไปถึงว่าลงมาแล้วเป็นลมไปแล้วหรือเปล่า ถูกหามไปส่งห้องพยาบาลไหมนั่น หรือแว่บไปอ้วกอยู่ในห้องน้ำหรือตามถังขยะ ฮาาาา
รอแล้วรอเล่า .... .... จนสองสาวกลับมา (ในสภาพปกติ ยกเว้นว่าดูจะร่าเริงกว่าปกติไปพอสมควร) ชีก็บอกว่า "สนุกมากกกกกกกก" ต้องเล่นนะ ไม่น่ากลัวเลย สนุกที่สุดใน Universal นี่ละ ส่วนเหตุที่ชีหายไปกันเป็นชั่วโมง ก็เนื่องจากเอ๋อไปเข้าช่องปกติ แทนที่จะใช้สิทธิ์ Express Pass และด้วยคำโฆษณา (แต่จริงๆ เราคิดว่าชวนเชื่อซะมากกว่า) และคำรบเร้าจากสองสาวที่ไปเล่นมาแล้ว อีกหนึ่งสาวที่ปกติก็ขี้กลัว ไม่ค่อยจะปลื้มเครื่องเล่นเสียวๆ อะไรอยู่แล้ว ยอมใจอ่อนขึ้นไปเล่นจนได้
สรุปคือสองสาวก็กลับไปซ้ำอีกหนึ่งรอบ ส่วนสาวนางที่ตามไปทีหลัง ก็ได้เล่นรอบนึง แต่ชีดันเปรี้ยว ไปเล่นครั้งแรก แต่ดันไปเล่นรางสีฟ้าเลย (คือที่ซ้ำก็ซ้ำแค่สีฟ้ากันนั่นแหละ) และครั้งนี้ก็หายไปกันไม่นาน เพราะรู้วิธีใช้ Express way แล้วว่าเขาให้ขึ้นลิฟต์ไปได้เลย
พอเสร็จจากรถไฟเหาะ Battlestar Galactica กันเรียบร้อยแล้ว ด้วยความสนุกมากๆ ของสองสาว กับอาการแข้งขาอ่อนแรงของอีกหนึ่งสาว 55555 สาวๆ ก็ไปเก็บตกถ่ายรูปกันอีกนิดหน่อย (ตามเคย) ก่อนจะลาจาก Universal Studios at Singapore ของพวกเราในทริปนี้
กลับออกมาจาก Universal Studios กันตอนหกโมงกว่าๆ แบบไร้ดราม่าใดๆ ไม่มีใครลืมของหรือทำอะไรหาย มีแต่ความ fresh เนื่องจากสาวๆ เพิ่งเล่นรถไฟเหาะกันมา แวะเก็บรูปข้างทางอีกเช่นเคย กว่าจะออกไปถึงด้านนอก ก็ใช้เวลากันอีกพักใหญ่ๆ จนตอนนี้ก็เริ่มมืดแล้วล่ะ
เดินออกมา ขึ้น mono rail เนื่องจากพอเราเข้าไปในเกาะแล้ว สามารถนั่ง mono rail ได้โดยไม่เสียเงิน ก็เลยนั่งวนไปชม Beach ของที่นี่ซะหน่อย จริงๆ ผู้เขียน อยากลงนะ ไปเดินชายหาดบ้านเขาดูบ้างอะไรบ้าง แต่ด้วยที่ก็ค่ำมากแล้ว สมาชิกคนอื่นก็ไม่มีใครมีอารมณ์อยากลงกันเท่าไหร่ ก็เลยชม Beach กันอยู่แค่จากบนรถไฟ และบนรถไฟนี้ ก็เป็นแว่บนึงที่เราได้เข้าใกล้ Merlion (ตัวพ่อ) ซึ่งเป็นตัวที่ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ แต่คนอาจไม่ค่อยนิยมมาถ่ายรูปด้วยนัก เนื่องจากไม่ได้อยู่ในเมือง แต่ Merlion ตัวนี้สูงถึง 37 เมตรเลยนะ
นั่ง mono rail กลับมาลงที่ฝั่งสิงคโปร์ แล้วก็แวะหาอะไรทานมื้อเย็นกันที่ Vivo City อีกเช่นเคย
มื้อนี้สาวๆ สรรหาร้านข้าวราดแกงกินกัน ก็ข้าว+กับข้าวนั่นแหละ ก็เสียกันไปคนละ 3 SGD กว่าๆ มั้ง ส่วนสองหนุ่ม ก็มาอุดหนุน Peper Lunch กันคนละเซ็ต
ทานข้าวกันเสร็จ สาวๆ เขาวางแผนจะไปเดิน Marina bay กันต่อ เพื่อชมนิทรรศการ "I Light" ที่อ่านมาว่าจัดวันนี้เป็นวันแรก แต่กว่าจะออกจาก Vivo City กันได้ ก็ต้องผ่านอีกหลายด่าน
ด่านแรกเป็นร้านขาย tart ไข่ ซึ่งคนอื่นๆ ก็สนใจและซื้อไปกินกันคนละชิ้นสองชิ้น แต่ผู้เขียน ไม่ชอบ tart ไข่อะ ก็เลยไม่ได้ร่วมวงไพบูลกับเขา
ถัดมาก็เป็นร้านขายขนม พวกช็อกโกแล็ต ทอฟฟี่ เจลลี่ อะไรพวกนี้ ร้านนี้ก็ดูดวิญญาณ (+ทรัพย์) กันไปได้อีกคนละหลายเหรียญเลยทีเดียว ผู้เขียน ได้เจลลี่รสโควล่ามาถุงนึง เจอค่าเสียหายไป 4.8 SGD 55 ซึ่งผลจากการกิน (สรุปคือขนกลับมากินที่ไทยนี่แหละ) ก็พบว่ามันแจ่มมากกก เจลลี่เป็นรูปขวดน่ะ แล้วก็เป็นรสโคล่าโอเคเลยทีเดียว หนึบๆ
ด้วยความที่ผู้เขียนกับเพื่อน ไม่ได้ซื้ออะไรมาก ได้เจลลี่มาถุงนึงก็ออกกันเลย เลยใช้เวลาระหว่างรอคนอื่น ไปสำรวจห้างต่ออีกหน่อย ก็ไปเจอร้านคล้ายๆ ร้าน mini mart เห็นมีน้ำอัดลมกระป๋องลดราคา แพก 4 ลดจาก 2.6 SGD เหลือ 2 SGD คิดแล้วก็ราคาพอๆ กับราคาน้ำกระป๋องในไทยเลยนะ แต่ถ้าคิดว่าถ้าซื้อที่นี่ก็ถือว่าถูกเลยแหละ ก็เลยกลับไประดมทุน หาตัวช่วยมาช่วยหารค่าน้ำกัน ตกกระป๋องละ 0.5 SGD เอง ถูกออก อิอิ คืนนี้ก็เลยได้ A&W กลับโรงแรม เอาไปแช่เย็นๆ ดื่มให้ชื่นใจ(ผู้เขียน เป็นคนเลือก เพราะแพก 4 ต้องเป็นน้ำรสเดียวกัน)
ผ่านกันหลายด่านกว่าจะออกจาก Vivo city กันมาได้ ทีนี้ปัญหาก็คือ จะไปงาน "I Light" ที่ว่ากันยังไง โดยความเห็นส่วนตัว ผู้เขียน คิดว่า จริงๆ คืนนี้ไม่ควรไปแล้วล่ะ เนื่องจากเวลาก็ค่อนข้างดึกแล้ว แถมสภาพของแต่ละคน (เอาแค่ผู้เขียนเองก็ได้) ก็ล้าแล้วล้าอีก ไหนจะวันนี้ไหนจะสะสมมาจากเมื่อวาน อยากกลับโรงแรมแล้วล่ะ ให้ไปเดินๆ อีก ก็ไม่น่าจะดีแล้ว แต่ความเห็นส่วนใหญ่ยืนยันที่จะไปกัน อืมไปก็ไป ก็ถามทาง หาวิธีเดินทางกันอีกเช่นเคย
รอบนี้ไม่ถือว่าหลงอะไร เพราะถามเขามาหลายต่อ 55 แต่อุปสรรคคือ พอโผล่ขึ้นมาจาก SMRT บนสถานีที่คิดว่าถูกต้องแล้ว เราเจอกับ "ฝน" คร้าบ ในเมื่อธรรมชาติไม่เป็นใจ แพลนของค่ำคืนนี้ก็เลยต้องจบลงแต่เพียงเท่านี้....
จบ day 3 กลับโรงแรมกันอย่างสวัสดิภาพ (แต่เหน็ดเหนื่อยเมื่อล้า X2) รอการผจญภัยในวันรุ่งขึ้นกันต่อไป.....
Z...z....z...z...z