EP 2.0 : Day 2 ไปเที่ยว Lego Land กันเถอะ
สำหรับคนอยากเสพแบบสั้นๆ เราได้ใช้ Notebook LM สร้าง audio overview ไว้ให้กดฟังกันได้ตรงนี้
วันที่สองของทริป แต่ถือเป็นวันแรกที่เรามาใช้ชีวิตอยู่ในสิงคโปร์กันจริงจัง แผนของวันนี้คือเราจะยังไม่เที่ยวในสิงคโปร์ แต่เราจะข้ามไปเที่ยว Lego Land ซึ่งถือเป็นวัตถุประสงค์หลักของทริปนี้กันก่อนเป็นอันดับแรก
ซึ่งวิธีการเดินทาง เราก็ได้ศึกษากันมาอย่างดีแล้ว (เหรอ) ว่าวิธีการที่ถูกที่สุดคือการ "นั่งรถเมล์" ไปนั่นเอง ใครสนใจวิธีนั่งรถเมล์แบบละเอียด แนะนำให้อ่านจาก กระทู้นี้ กันได้เลย
วันที่ 2 ตื่น 6:30 ด้วยบริการ "เพื่อนปลุก" ซึ่งดีกว่า wake up call จากทางโรงแรมเป็นไหนๆ 555
เตรียมตัวพร้อมตอน 7:00 และรอสาวๆ กว่าจะเสร็จอีก สรุปคือได้ออกจากโรงแรมกันก็ 7:3x เข้าไปแล้ว
แผนสำหรับมื้อเช้าวันนี้คือ food court ข้างโรงแรม ซึ่งวันแรกที่มาถึง (และเดินผ่าน) ทุกคนก็ดูตื่นเต้นว่ามันมีของกินขายเยอะแยะเลย แต่พอตัดสินใจไปนั่งทานจริงๆ สำหรับมื้อเช้าของวันนี้ กลับพบว่า "ไม่รู้จะกินอะไร" เมนูที่ผู้เขียนกินคือ ผัดซีอิ๊ว (เพื่อนบอกงั้น) ซึ่งมีตัวเลือกว่าจะใส่ไส้กรอก ไก่จ๊อ หรือหมูยอ ซึ่งผู้เขียน ก็เลือกหมูยอไปนั่นเอง
ผลคือ สิ่งที่ได้สำหรับราคา 2.2 SGD คือ เส้นใหญ่ผัดๆ (ผัดอะไรมรู้) +หมูยอทอด (ก็ไม่ค่อยเหมือนหมูยอที่เคยกินแฮะ) "หนึ่งชิ้นกลางๆ" ถัวงอกอีกนับเส้นได้ และผักอีกหนึ่งก้านสั้นๆ คือก็เข้าใจว่าประเทศพี่ไม่ใช่ประเทศเกษตรกรรมอย่างประเทศไทย แต่พี่ขาดวัตถุดิบสำหรับการประกอบอาหารขนาดนี้เลยเหรอครัช เมนูนึงถึงมีส่วนประกอบแบบนับทุกอย่างได้เช่นนี้
หลังจากจบกับมื้อเช้าอัน @$%#@%@#%^%^&#$$ #ปล่อยมันผ่านไปเถอะ การเดินทางที่แท้จริงก็เริ่มขึ้น แต่....
Let's go to "Lego Land"
ถ้าเราจะเรียกความวุ่นวายเล็กๆ สำหรับการหลงใน SMRT เมื่อคืนวานว่าความวายปร่วงแล้วล่ะก็... การเดินทางของวันนี้ รวมถึงเรื่องราวต่างๆ ก็คงต้องถือว่า "น้องๆ หายนะ" กันเลยทีเดียว
ต่อแรก ลง SMRT นั่งยาวๆ ไปขึ้นข้างบนเพื่อต่อรถเมล์ อันนี้ไม่เท่าไหร่ (นั่งไม่เปลี่ยนสาย ถ้าลงผิดสถานีก็ไม่รู้จะว่ายังไงละ) ปัญหาแรกคือ เมื่อโผล่ขึ้นไปบนดินแล้ว "จะนั่งรถสายไหน คันไหน" ทั้งที่ก็หาข้อมูลกันมาอย่างดีแล้วแท้ๆ แต่ด้วยรายละเอียดบางอย่างที่คลาดเคลื่อน เช่น การไม่รู้สีของรถ ก็ทำให้เป็นปัญหาได้มิใช่น้อย หลังจากมึนงงสงสัยอยู่พักนึง และการพยายามถามทางจากคนแถวนั้น ซึ่งก็ได้ความบ้างไม่ได้ความบ้าง ขนาดถามคนขายตั๋วแล้ว ยังงงๆ กันอยู่เลย ก็สรุปความได้ว่า ข้อมูลที่เราศึกษามานั้นถูกต้องแล้ว แต่มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เช่นการขายตั๋ว ที่จากเดิม ไปจ่ายบนรถ และไม่มีตั๋วให้ เป็น ซื้อตั๋วจากข้างล่าง และมีออกตั๋วให้
การนั่งรถเมล์ไปยังฝั่งมาเลเซีย นั้นไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรนัก นั่งสายที่ถูกต้องไปให้สุดสาย แล้วก็ลงที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองของสิงคโปร์ ประทับหนังสือเดินทางว่าออกนอกประเทศ แล้วก็ไปขึ้นรถแบบเดิมที่นั่งมา ข้ามสะพานไปยังฝั่งมาเลเซียได้เลย (โดยที่ไม่ต้องจ่ายตังเพิ่ม)
เมื่อลงที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองฝั่งมาเลเซียแล้ว ก็ประทับหนังสือเดินทางเข้าประเทศ ซึ่งไม่ถงไม่ถามเรื่องสุขภาพซ๊ากกกกคำ ดูเรื่องราวง่ายดายมาก
ปัญหาที่สองมาเริ่มหลังจากเข้าประเทศมาเลเซียกันได้เรียบร้อยแล้ว รถเมล์ที่จะนั่งต่อไปยัง Lego Land มันคันไหนล่ะเนี่ย ถามคนที่คุมคิวรถอยู่ตรงนั้นได้ความว่า รถเที่ยว 8:30 ออกไปแล้ว และจมีรถอีกเที่ยวตอน 11:30 ซึ่งตอนนั้นเราไปถึงกันเวลาแค่ 10:xx ต้นๆ เท่านั้นเอง นี่คือต้องนั่งรอรถอีกชั่วโมงกว่าเลยหรือ ดังนั้นก็เลยมีเวลาถ่ายรูปแมว เอ้ย มีเวลาแวะซื้อน้ำที่ MiniMart แถวนั้นกันก่อน ซึ่งก็พบว่า ข้ามสะพานมานิดเดียว ทำไมค่าน้ำมันต่างกันขนาดนี้ฟระ แต่ยังครับยัง ยังมีที่ถูกกว่านี้อีก
ระหว่างรอรถผู้เขียนก็เกิดสงสัยเรื่องอินเทอร์เน็ตขึ้นมา เพราะตอนนั่งรถเมล์มา ได้ยินว่ามี SMS เข้าอยู่ แต่ยังไม่ได้เปิดอ่าน ก็เพิ่งว่างๆ ตอนนั่งรอรถตรงนี้แหละ เลยหยิบมือถือมาเช็กข้อความ ปรากฏว่า Star Hub ส่งข้อความมาบอกว่าตอนนี้เราออกนอกเขตให้บริการแล้วนะ เปลี่ยนมาอยู่ใน mode romming แล้ว อะไรทำนองนั้น แล้วก็บอกอัตราค่าใช้อินเทอร์เน็ตมาเสร็จสรรพ พร้อมทั้งหลอกลวงเราด้วยโปรโมชันว่า ถ้าซื้อแพกเกจแบบทีละเป็นร้อยๆ เม็ก จะถูกกว่านะ มีแพกให้เลือกอะไรก็ว่าไป
คือทีแรกก็แอบทำใจแล้วล่ะว่าถ้าพ้นสิงคโปร์มา คงไม่มีเน็ตใช้กันแน่ๆ แต่พอเจอแบบนี้ก็มีหวังสิครับ คือซิม Star Hub ที่เราซื้อใช้กันนี่ นอกจากได้ปริมาณเน็ต 100GB แล้ว (มันเป็นโปรน่ะ แต่ลองอ่านต่อไปให้จบช่วงนี้ก่อน แล้วจะซึ้ง) ในซิมเอง ก็มีเงินอีก 18 SGD แถมมาให้ด้วย ซึ่งเงินในซิมที่ว่านี้ ก็เอาไว้โทรหากันเอง (local call) หรือจะโทรออกนอกประเทศ โทรกลับบ้านหาญาติอะไรก็ว่าไป (international call) ซึ่งเขาก็มีอัตราบอกไว้เรียบร้อย แต่พวกเราก็ไม่ได้สนใจหรอก ตาโตกับปริมาณเน็ต 100GB กันเสียมากกว่า เลยไม่ได้สนใจรายละเอียดอื่นๆ เลย (ซึ่งเป็นความผิดพลาดมาก)
ดังนั้น แพกเกจที่เขา SMS มาบอก เราก็สามารถใช้มูลค่าที่มีในซิม กดสมัครได้ พอผู้เขียนเห็นดังนั้น ก็รีบบอกเพื่อนๆ ก็มีเพื่อนสองคนที่ไม่ได้เดินไปซื้อของ ทำตามกัน คือกดสมัครอิแพกเกจ romming ที่ Star Hub เสนอมาให้นั่นแหละ แต่... ความซวยดันมาเยือนน่ะสิครับพี่น้อง
ตอนใช้ mode romming ทีแรกก่อนกดสมัครแพก มันก็เข้าเน็ตได้อยู่นะ สถานะก็ขึ้นว่า romming กับค่ายอะไรสักอย่างในมาเลเซียนั่นแหละ แต่พอสมัครแพกเกจแล้ว ตังก็โดนหักแล้ว..... มันเล่นเน็ตไม่ได้เฉยเลยครับ สรุปก็คือ เสียทั้งตัง (ในซิม) เสียทั้งอารมณ์ อุตส่าห์ดีใจว่าวันนี้จะมีเน็ตเล่นแล้ว เป๋วเฉย T____T
และหลังจากนั่งรอกันได้ไม่นาน ด้วยความโชคดีครั้งแรกของวัน (มันมีอีกหลายครั้ง) รถก็มาก่อนเวลาที่เขาบอกไว้ เพราะราวๆ 10:30 เราก็ได้ขึ้นรถกันแล้ว
สิ่งนึงที่ประทับใจสำหรับการเดินทางไปยัง Lego Land นี้ก็คือ ประหนึ่งว่า เราได้จองรถบัสส่วนตัวเพื่อไปส่งพวกเรากลุ่มเดียวเท่านั้น เพราะค่ารถบัสปรับอากาศ เพียง 2 RM ต่อคน (ไม่ถึงยี่สิบบาท) แต่มีพวกเรานั่งกันแค่ 5 คน ทั้งไปและกลับ 5555 รู้สึกไฮโซดีมั่กๆ
กว่าจะถึง Lego Land ก็ 11:xx น. เข้าไปแล้ว คือตั้งใจนัดกันเช้าๆ กะว่าจะไปก่อนเขาเปิดแล้วเชียวนะ แต่จริงๆ เราก็ไม่ได้ช้าที่ขั้นตอนไหนมาก แปลว่าเวลาที่ใช้ในการเดินทางมา Lego Land ด้วยรถเมล์ มันก็ใช้เวลาราวๆ นี้จริงๆ (จากโรงแรมที่ผู้เขียน พักอะนะ)
กว่าจะเข้าไปได้ ก็อย่างที่รีวิวหลายๆ อันได้บอกไว้ ว่าเราต้องเดินอ้อม เกือบจะครึ่งนึงของความกว้างของ Lego Land เอง ถึงจะสามารถไปยังจุด check in ได้ แถมกว่าเพื่อนๆ เราจะถ่ายรูปด้านหน้าทางเข้ากันเสร็จ ก็กินเวลาไปโข
การเข้า Lego Land ด้วยบัตรที่จองออนไลน์มาบนเว็บล่วงหน้า (แน่นอนว่าถูกที่สุดเท่าที่จะหาได้ละ) ก็ไม่มีอะไรยุ่งยาก แค่ print ใบจองที่ระบบส่งไปให้ในอีเมล (.PDF) ออกมา และนำไปสแกนตรงทางเข้าก็เป็นอันผ่านฉลุย ทีนี้เราก็สามารถเดินได้ทั้งวัน เล่นเครื่องเล่นได้ทุกชิ้น กี่รอบก็ได้ อย่างสบายใจฝุดๆ
เข้ามาได้แล้ว หลังจากแวะแชะรูปตรงทางเข้ากันอยู่นานสองนาน เป้าหมายแรกที่เราแวะก็หาใช่เครื่องเล่นอะไรไม่ กลับเป็นศูนย์อาหาร 555 คือเดินกันยังนับก้าวได้ ก็หาที่นั่งพักก่อนแล้ว >_< ซึ่งเข้ามา ก็เพื่อเข้ามาแวะพักจริง มีผู้เขียนกับเพื่อนอีกคนที่ซื้อของกิน ผู้เขียนซื้อแค่น้ำเปล่าหนึ่งขวด เจอค่าเสียหายไป 3 RM ถามแล้วได้ความว่าโค้กแก้วละ 5 RM เลยไม่สู้ ส่วนเพื่อนก็ซื้อโดนัททานชิ้นนึง เจอค่าเสียหายไป 7 RM ก็ถือว่าโหดอยู่ แพงกว่า Kristpy Kream บ้านเราซะอีกแน่ะ
ออกจากศูนย์อาหาร ก็แวะถ่ายรูปรายทาง เวลาส่วนใหญ่ก็หมดไปกับการถ่ายรูป (ถ่ายกันจนกล้องแบตหมดก่อนจะกลับเสียอีก) แต่เราก็ไม่ได้พลาดที่จะเก็บเครื่องเล่นต่างๆ ใน Lego land แต่อย่างใด โดยเครื่องเล่นที่เราได้เล่นก็ได้แก่
หมายเหตุ: สามารถกดดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากหัวข้อที่เป็นชื่อโซน หรือคลิกที่ภาพก็ได้เช่นกัน
Credit รูปภาพทั้งหมด ขอขอบคุณเว็บไซต์ LEGOLAND® Malaysia Resort
LEGO® CITY
เป็นโซนแรกที่ถือว่าเราสำรวจจริงจัง ถือเอาจากที่เริ่มเครื่องเล่นอันแรกแล้วกันนะ
เชื่อว่าหากเข้ามาในโซน LEGO® CITY แล้ว เราน่าจะได้ยินเสียงหวออันเป็นเอกลักษณ์ของเจ้า Rescue Academy นี้แน่นอน (ถ้ามีคนเล่นอะนะ) ซึ่งมันดูจะเป็นกิจกรรมมากกว่าเครื่องเล่น เพราะต้องใช้คนหลายคนในกิจกรรมนี้
Rescue Academy เป็นการฝึกการดับเพลิง แน่นอนว่าสำหรับคุนหนูๆ แต่งานนี้เราก็ต้องให้คุณผู้ปกครองช่วยด้วย เพราะเราต้องป๊ำรถรางให้วิ่งไป (ดับเพลิง) และวิ่งกลับ (มายังจุดเริ่มต้น) ซึ่งการป๊ำรถให้วิ่งนี้ ขนาดช่วยกันสองคน ยังเป็นงานหนักพอสมควรเลย แล้วคนที่เหลือ ก็ต้องถือสายยางฉีดน้ำเพื่อดับไฟ พอป๊ำรถไปถึงที่แล้ว ก็ต้องลากสายยางลงไปฉีดให้ไฟดับ และกลับมาขึ้นรถ และป๊ำๆๆ รถกลับไปยังจุดเริ่มต้น จึงจะถือเป็นการสำเร็จกิจกรรมนี้
ถามว่า ถ้าสำหรับคนที่อยากมาเล่นเครื่องเล่น กิจกรรมนี้ คงไม่เหมาะสักเท่าไหร่ เพราะนอกจากเหนื่อยแล้ว ก็ดูจะไม่ได้ความสนุกอะไร มันเป็นกิจกรรมที่เหมาะสำหรับครอบครัวซะมากกว่า คุณพ่อคุณแม่ พาลูกๆ มาเล่นงี้.>_<
หลังจากได้เหงื่อกันมาหอมปากหอมคอจาก Rescue Academy แล้ว เราก็ตามหาเจ้ารถไฟที่จะพาเราวนชมรอบๆ สวนสนุก ซึ่งเราเห็นรางมันตั้งแต่เข้ามาแล้วแหละ แต่ไม่รู้ว่าสถานีอยู่ตรงไหน พอผ่าน Rescue Academy ก็เลยเล่นๆ ไปก่อนละกัน
LEGOLAND® Express ก็เป็นรถไฟพาเรานั่งชม Lego Land ซึ่งรถไฟแบบนี้ เราก็มักจะพบได้แทบทุกสวนสนุก คืออย่างน้อยต่อให้ไม่มีอะไรเลย รถไฟพาทัวร์นี่ ยังไงก็ต้องมีแหละ บางที่อาจจะมีหอคอยเพิ่มเข้ามา บางที่อาจจะมีกระเช้าเพิ่มเข้ามา แต่ของพื้นฐานสุดๆ อย่างรถไฟที่ไหนก็ต้องมีจริงๆ
โดยที่ LEGOLAND® Express นี้ก็ไม่ได้มีอะไรที่น่าสนใจ คือนั่งไป ไม่มีคนบรรยายให้ฟัง ก็ไม่รู้เรื่องอะไรอยู่ดีอะนะ ถึงเขาจะมีเสียงบรรยายเป็นภาษาอังกฤษบนขบวนก็เถอะ แต่ก็ฟังไม่ออกอยู่ดี แค่แอบเบื่อตรงที่รอคิวตรงสถานีนานพอสมควร (ทั้งที่เครื่องเล่นอื่นที่ต่อไปได้เล่น แทบไม่ต้องรอคิวเลย) เสียงที่ประกาศก็หลอกเราจัง อีก 12 วิ รถไฟจะมา ประกาศอยู่ 12 รอบ รถไฟเพ่ยังไม่เห็นโผล่มาเลยคร้าบ แต่ว่ารู้สึกว่าเราจะเจอคนไทยตรงสถานี LEGOLAND® Express นี่ด้วยแหละ ในมาเลนี่ถือว่าเราเจอคนไทยน้อยแล้วนะ แต่ก็ยังเจอแฮะ....
พอลงจาก LEGOLAND® Express กันมาแล้ว ก็ยังไม่เห็นจะได้ไอเดียกันเท่าไหร่ ว่าควรไปไหนยังไงกันบ้าง เพราะเพื่อนๆ มัวแต่ตื่นเต้นกับจำนวนของที่ถูกต่อขึ้นจาก Lego กันอยู่ ถึงกับมีคำถามว่า "Lego มันต่อเป็นของพวกนี้ได้ทั้งหมดเลยเหรอ?" ดังนั้นพอลงมาจากรถไฟแล้ว เราก็ยังไม่มีเป้าหมายกันอยู่ดี แต่ก็เริ่มรู้สึกร้อนๆ กัน และก็เห็นว่ามีโรงละครกำลังจะฉาย เข้าไปหลบแดดกันก่อนดีกว่า
คือชื่อเสียงเรื่องความร้อนของ Lego Land ที่มาเลเซียนี่ อ่านรีวิวไหนก็ต้องมีคนพูดถึงกันทุกคนอะนะ เพราะตั้งแต่เปิดใหม่ๆ จนถึงตอนที่กลุ่มของผู้เขียนไปกันนี้ (ก็กว่า 4 ปีได้แล้ว) จำนวนต้นไม้ ก็ไม่ได้ดูว่าจะสูงขึ้น เพิ่มขึ้น เพื่อเป็นร่มเงาให้ความร่มเย็นกับนักท่องเที่ยวได้เลย คือร้อนยังไงก็ยังร้อนอย่างนั้น ต้นไม้ที่ปลูกไว้ก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย #ก็ขอบ่นกับเขาบ้าง
เราก็เห็น LEGO® City Stage และ... เข้าใจผิดว่าคือเป็นโรงหนัง 4D เลยพากันเข้าไปนั่งรอดูโชว์ ส่วนนึงก็ไม่ได้หวังเรื่องโชว์อะไรมาก ก็กะเข้าไปหลบร้อนนั่นแหละ
โชว์ที่ว่า คือ LEGO® NINJAGO & THE REALM OF SHADOWS ซึ่งคืออะไรไม่รู้ เพราะทุกคนก็แทบจะหลับกันหมด แถมไม่นับเรื่องที่ฟังอิ๊งไม่ออก คนพากย์ก็ไม่มี ก็ถือว่าเข้าไปนั่งตากแอร์ละกัน แต่จะหลับให้สบายก็มิสามารถ เพราะเก้าอี้ที่ไปนั่ง ดันเป็นแบบไม่มีพนักอีกต่างหาก
สิ่งที่พลาดแวะเข้าไปชมในโซนนี้ก็เช่น LEGO ® City Airport (เลยอดแวะสนามบินแห่งที่สามเลย หุหุ) และก็ Boating School ซึ่งเห็นตั้งแต่ทางเข้าก่อนจะไปเล่น Rescue Academy แล้ว แต่พอผ่านไปแล้ว ขากลับก็ไม่ได้ย้อนมาเล่นอยู่ดี นอกจากนั้นก็เป็นของเด็กๆ อย่างสนามเด็กเล่นในโซนนี้ที่ชื่อ The Shipyard หรือโรงเรียนสอนขับรถสำหรับเด็กเล็กและเด็กโต (ก็เด็กทั้งคู่อยู่ดี) อย่าง Junior Driving School และ Driving School ที่เป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆ มาก (ตอนเราเป็นเด็กก็ชอบแบบนี้จริงๆ แหละ)
LAND OF ADVENTURE
ถึงจะชื่อโซนว่า LAND OF ADVENTURE แต่ก็แปลกที่เครื่องเล่นเสียวๆ กลับไม่ได้อยู่ในโซนนี้สักเท่าไหร่ จริงๆ ถ้าชื่อขนาดนี้ มันควรจะรวมของเสียวๆ ลุยๆ มาไว้ในโซนนี้หมดเลยเซ่
อย่างแรกที่เราเล่นกันในโซนนี้ก็คือ Lost Kingdom ซึ่งก็คือรถไฟที่วิ่งในอุโมง ที่เป็นฉากประมาณว่าการตามล่าหาสมบัติ โดยแต่ละที่นั่ง ก็จะมีปืนเลเซอร์ ให้เรากดยิงศัตรูไปด้วยระหว่างทาง (มีคะแนนขึ้นให้ด้วยถ้ายิงโดน) ก็สนุกแบบเด็กๆ อะนะ >_<
อีกหนึ่ง hilight ของที่นี่ (และของสวนสนุกเกือบทุกที่ ที่ยังไงก็ต้องมี รองๆ จากรถไฟวนรอบๆ) ก็คือ "ล่องแก่ง" ซึ่งถูกจัดให้มาอยู่ในโซน LAND OF ADVENTURE นี่เอง
เดินผ่านมา ก็เอ๊ะ? ได้ยินเสียงคนกรี๊ดอยู่แว่วๆ แฮะ คือไม่รู้เขากรี๊ดแค่เบาๆ หรือเราอยู่ไกล แต่นี่แหละ หลังจากเบื่อกับเครื่องเล่นเบาๆ เด็กๆ กันมานานแล้ว หาของ "แรง" เล่นกันบ้างดีกว่า พอเราเดินตามเสียงกันมา เราก็เจอกับ.... Dino Island
Dino Island เป็นการจำลองฉากว่าเราได้ล่องเรือเข้าไปยังปากปล่องบนยอดภูเขาไฟที่สาบสูญ และระหว่างทางก็จะพบกับตัวต่อ Lego ของเหล่าไดโนเสาร์มากมาย ทั้งที่อยู่ในน้ำ (เห็นเพื่อนบอกว่ามี Lego งูด้วยล่ะ) และที่อยู่ริมฝั่ง จากนั้นเมื่อ การล่องเรืออย่างชิลๆ ของเราผ่านไป (วนมาถึงทางลงนั่นแหละ) เราก็จะเจอภูเขาไฟระเบิด แล้วปล่อยเรือเราไหลตกลงมาจากยอดภูเขาไฟ "ตู้มมมมมมมม"
แน่นอนสิครับเปียกครับเปียก ขึ้นชื่อว่าล่องแก่งก็ย่อมเปียกอยู่แล้ว แต่... เฮ้ย! อันนี้มันเปียกไปครึ่งตัวเลยนะครัช มันเปียกเยอะไปไหมเธอ รอบแรกผู้เขียนนั่งข้างหน้าฝั่งซ้าย (เรือมี 4 ที่ หน้า 2 หลัง 2) ซีกซ้ายนี่ก็เปียกหัวจรดเท้า....
ดังนั้นก็อย่ากระไรเลย เอาให้มันเปียกสองฝั่งเท่ากันเลยแล้วกัน เพราะพอจบรอบแรก มีเพื่อนคนนึงที่ไม่ยอมเข้ามาเล่น พอเพื่อนๆ เล่นกันแล้วรอบนึง ถึงจะทำใจได้ เราเลยสลับคนไปนั่งเฝ้าของคนนึง (ไม่ได้เอามาฝากที่ล็อกเกอร์น่ะ จริงๆ เขาก็มีล็อกเกอร์ให้บริการนะ) แล้วก็ประกอบกับคนน้อยด้วย เราสามารถเล่นวนรอบสองโดยไม่ต้องต่อคิวใหม่ คือจะว่าคนน้อยก็... คือมันไม่มีใครมาต่อคิวหลังจากเราเล่นเลยน่ะ ทีนี้ข้าพเจ้าก็เลยสลับตำแหน่งดูบ้าง โอเค อยู่หน้าซ้ายไปละ เปียกซีกซ้ายไปละ ทีนี้ขออยู่หลังขวาละกัน เอาคนละมุมไปเลย
ผลที่ได้คือ.... "เปียกเกือบทั้งตัวเลยคร้าบ" คือไม่ใช่เปียกเพราะรวมกับรอบแรกด้วยนะ แต่ตำแหน่งหลังขวาเนี่ย ถ้านั่งตรงนี้ มันจะเปียกแบบเปียกมาก เกือบทั้งตัวเลยล่ะ ดังนั้นถ้าใครอยากเปียกแบบจัดเต็ม ก็ขอแนะนำตำแหน่งนี้เลย แต่ถ้าใครอยากเปียกน้อยกว่านี้ ก็แนะนำตำแหน่งอื่น หน้าขวา, หน้าซ้าย หรือจะหลังซ้ายก็ได้ แต่ถ้าใครอยากเล่น ขึ้นไปชมไดโนเสาร์ และริ้มรับความเสียวเล็กๆ ตอนตกลงมาแบบประสบการณ์ของการล่องแก่ง แต่ไม่อยากเปียก ก็แนะนำให้เตรียมเสื้อกันฝนมาใส่ หรือจะซื้อแถวนั้นก็ได้ เขาก็มีขายแหละ (เราเห็นคนก่อนที่เล่น ซื้อเสื้อกันฝนใส่ แล้วพอเล่นเสร็จก็โยนทิ้งกันตรงนั้นเลยด้วยแหละเธอ เสียดายของจุง)
ถามว่าเสียวแค่ไหน โดยส่วนตัวคิดว่ามันเสียวน้อยมากเลยนะ คือระดับความเปียกนี่ยกให้ แต่ความสูงที่ขึ้นไป รู้สึกว่าสูง จริงๆ อาจจะแค่ขึ้นช้าก็ได้ คือรู้สึกว่าสูงยังกับ Super Sprash ที่ Dream World ประมาณนั้น แต่ตอนลงนี่วืบเดียวเอง Super Sprash ยังรู้สึกว่าตอนลงนานกว่าอีก และแน่นอน Super Sprash โดนน้ำเต็มๆ แต่ก็เป็นละอองน้ำที่ตกลงมา (เหมือนฝนหนักๆ) แต่ Dino Island นี่น้ำล้วนๆ น้ำที่เกิดจากการกระแทกของเรือตอนตกลงมาแบบเต็มๆ (ถ้าโดนน้ำมากกว่านี้ เรือคงจะจมแล้วล่ะ เหอๆ)
ส่วนที่เราพลาดก็คือ Beetle Bounce เต่าทองเด้งดึ๋ง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าคืออะไร แล้วก็ส่วนที่เป็นสนามเด็กเล่นของโซนนี้อย่าง Pharaoh's Revenge แค่นั้นเอง โซนนี้มีแค่ 4 ฐานเอง
Imagination
โซนนี้ดูจะเป็นโซนที่เราใช้บริการน้อยที่สุด เพราะเครื่องเล่นส่วนมากเป็นเครื่องเล่นสำหรับเด็ก DUPLO ® Express, DUPLO ® Playtown, Kids Power Tower (อย่างหลังนี่เขาก็ไม่ได้ระบุว่าสำหรับเด็กหรอก แต่พวกเราเข้าใจไปเองว่ามัน "เด็กๆ" ก็เลยไม่ได้ไปเล่น 55) หรือไม่ก็ฐานสำหรับการต่อ Lego Build & Test
แต่ที่น่าเสียดายก็คือ เราดันไม่เข้า LEGO ® Studios ที่ด้านในเป็นโรงหนัง 4D กัน จากที่อ่านรีวิวมา เขาว่าระบบ 4D ของที่นี่ใช้ได้เลยทีเดียว คือก็เดินผ่านอะนะ แต่นึกว่าจะเป็นโชว์แบบ LEGO® City Stage ที่เคยดูมาแล้ว ก็คิดว่าจะน่าเบื่อและเสียเวลากัน ก็เลยไม่ได้เข้า แงงงๆ
จริงๆ นี่ควรเป็นสิ่งแรกที่เราควรมาขึ้นหลังจากเข้ามาในสวนสนุกเลยด้วยซ้ำ เพราะมันจะได้ทำให้เราเห็นภาพรวมของสวนสนุก และวางแผนได้ว่า เราควรเดินไปทางไหน เล่นอะไรบ้าง
Observation Tower นี้ก็เป็นหอคอยที่พาเราขึ้นไปสูงๆ แล้วก็หมุน (อย่างช้ามาก) เพื่อเน้นการชมวิวเป็นหลัก (ถ้าจะเสียวเห็นทีตอนลง คงต้องทำให้ทิ้งดิ่ง 55) ก็ไม่มีอะไรมาก แต่ข้อสังเกตอย่างนึงก็คือ มันจะเหมือนกับที่สวนสยามไปไหนคร้าบ คาดว่าน่าจะเป็นรุ่นเดียวกัน จากบริษัทเดียวกันเลยมั้ง ทั้งระบบ ที่นั่ง ราวจับ กระจก แอร์ (แม้แต่กลิ่น ที่คล้ายๆ กลิ่นฉี่) ก็เหมือนกันทุกอย่าง เหอๆ
LEGO Kingdoms
โซนนี้ถือเป็นโซนที่คนที่หวังจะมาสนุกกับเครื่องเล่นใน Lego land ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง เพราะตัว hilight ของสวนสนุกแห่งนี้ ถูกจัดไว้ในโซนนี้นี่เอง
เครื่องเล่นที่คิดว่าสนุกสุด และแน่นอนว่าเสียวมากที่สุดใน Lego Land ก็คงจะหนีไม่พ้น The Dragon ซึ่งสถานีขึ้นหลบซ่อนอยู่ในปราสาท ซึ่งก็โชคดีที่ตัดสินใจลองเดินขึ้นไปดูในปราสาทกัน ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่า The Dragon มันซ่อนอยู่ในนั้นด้วยซ้ำ
ขึ้นไปบนปราสาทสาวๆ ก็หวังเพียงแค่ถ่ายรูป ซึ่งก็หยุดถ่ายมุมโน้นมุมนี้กันรัวๆ เลยทีเดียว แต่ พอเดินไปสักพักก็สังเกตว่ามันมีคนที่ไม่ได้จะขึ้นมาแค่ถ่ายรูปแบบพวกเรานี่ เขาวิ่งไปไหนกัน พอเดินต่อไปเรื่อยๆ เราก็พบคำตอบ....
พอเจอสถานี The Dragon ที่ซ่อนอยู่ ทีแรกก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร เพราะตอนที่ดูจากหอคอย ก็เห็นแค่ว่ามีรถไฟเหาะเสียวๆ อยู่อันนึง ทั้งเร็วทั้งเหวี่ยง แต่ดันไม่รู้ว่ามันโผล่มาจากปราสาท อิอิ
ช่วงแรกเหมือนจะหลอก (หรืออาจจะถ่วงเวลาทำใจให้สำหรับคนที่รู้อยู่แล้วว่าเครื่องเล่นนี้เสียวแน่ๆ) ด้วยการทำตัวเป็นรถไฟคุณปู่ แล่นช้าๆ พาทัวร์ภายในปราสาทแบบชิลๆ กันก่อน แต่พอออกมาจากปราสาทเท่านั้นแหละครับพี่น้อง ความมันมันก็บังเกิดขึ้น ณ จุดนี้
จากรถไฟคุณปู่ กลายเป็นรถไฟเหาะที่เสียวที่สุดในสวนสนุกนี้ได้ภายในไม่กี่วินาทีที่รถไฟไต่ระดับขึ้นไปยังจุดสูงสุด และลงมาด้วยความเร็วและเหวี่ยง ให้ผู้เล่นได้สัมผัสกับแรง G อันหนักหน่วง (ระดับนึง) โดยส่วนตัวผู้เขียน รู้สึกว่าระดับความเสียว มันก็พอๆ กับ รถไฟเหาะ roller coaster ที่ Dream World บ้านเรา ดีไม่ดี ของบ้านเรายังเร็วกว่าด้วยซ้ำ แต่สำหรับผู้เขียนเอง กลับรู้สึกว่าความเสียวระดับนี้ เริ่มเป็นอะไรที่รับได้แล้วแฮะ ก็ไม่ถึงกับไม่เสียวนะ แต่อาจจะเล่นเครื่องเล่นพวกนี้หลายครั้ง เล่นตั้งแต่เด็กๆ จนความเสียวระดับแค่นี้ ก็สามารถนั่งคุยนั่งแซวคนอื่นๆ ได้แล้ว เพราะคนอื่นน่ะเหรอ ทุกคนต่างก้มหัวมุด เพื่อลดความเสียวกนทั้งนั้น อ้าว... เล่นเครื่องเล่น แล้วสนุกกันไหมล่ะนั่น เหอๆ
จริงๆผู้เขียน ก็อยากซ้ำเครื่องเล่นนี้เสียด้วยซ้ำ แต่ติดที่ว่า เพื่อนร่วมทริป ไม่มีใครอยากไปซ้ำด้วยเลยนี่ดิ 5555
พอถึงจุดนี้ เริ่มรู้สึกว่า มีกำลังใจในการลุย universal ในวันรุ่งขึ้นขึ้นมาพอตัว จากที่กลัวๆ ก็คิดว่า เออ หรือเอาจริงๆ เราเล่นแล้วมันจะเฉยๆ วะ 5555
จนมาถึงเครื่องเล่นอีกอัน ที่ทีแรกมีคนเข้าใจว่าคือม้าหมุน เด็กๆ ด้วยซ้ำ คือพอลงจาก The Dragon มา ก็เริ่มจะหาอะไรชิลๆ เล่นกันแทนแล้วอะนะ 55
Merlin's Challenge นี่ก็เด็กๆ จริง เพราะเป็นแค่ถ้วยที่เข้าไปนั่งกันเป็นวงกลม (ก็คล้ายม้าหมุนตรงที่มีหลายๆ ถ้วยเรียงกันเป็นวงกลมนี่ล่ะมั้ง) แต่ตอนที่ทุกถ้วยหมุนวงใหญ่ไปรอบๆ นั้น ตัวถ้วยเองก็จะหมุนด้วยเช่นกัน เท่ากับว่าหมุนซ้อนกันสองชั้น
ซึ่งลักษณะคล้ายๆ Spider ที่สวนสยามบ้านเรา แต่ผู้เขียน บอกได้เลยว่า อันนี้แค่ระดับอนุบาล เพราะหมุนแล้วแทบไม่รู้สึกว่าเวียนหัว แถมก็หมุนไม่เร็วอีกต่างหาก แต่ Spider นั่น ผู้เขียนเอง แทบจะคายของเก่าออกมาหมดแล้ว ตอนลงมาได้ เห่อๆ
จริงๆ เครื่องเล่นนี้เราเล่นไปก่อนสักพักแล้ว แต่พอเขียนแล้วส่วนใหญ่ก็เล่นโซนเดียวกันต่อๆ กัน ก็เลยเอามาเขียนรวมให้เป็นโซนๆ ไปดีกว่าอะนะ
เราเล่น Dragon's Apprentice กันต่อจาก Dino Island โดยสาเหตุที่เข้าไปเล่นก็ตลกมาก คือเพื่อนบอกว่า คนคุมเครื่องเล่นเขากวักมือเรียกให้กลุ่มพวกเราไปเล่นกันเลยทีเดียว (คิดดูว่าว่างขนาดไหน) ซึ่งก็ดีเหมือนกัน เพราะด้วยความที่ Dragon's Apprentice เป็นรถไฟ คือก็ไม่ถึงกับรถไฟเหาะอะนะ ถือเป็นรถไฟเหาะสำหรับเด็กๆ ก็อาจจะพอได้อยู่มั้ง เพราะก็เร็ว (นิดนึง) แต่ที่ว่าดีก็คือ หลังจากเปียกมาจาก Dino Island แล้ว ก็เหมือนมานั่งรถไฟให้ลมเป่าตัวให้แห้ง (ประหยัดค่าตู้เป่าลมร้อน) ฮาาา
ส่วนที่เราไม่ได้เล่นในโซนนี้ก็คือ The Forestmen's Hideout, Royal Joust ซึ่งสองอย่างหลังมันก็เป็นเครื่องเล่นสำหรับเด็กอะนะ....
LEGO ® Technic
ถัดมา เราก็มาเจอรถไฟเหาะอีกอันนึง ที่ทุกคนลงความเห็นว่า "ไม่เล่น" อ้าว! เพราะจากที่ยืนส่องกันอยู่นานสองนาน มัมีคนเล่นน้อยมาก แล้วรถเปล่าที่วิ่งเป็นตัวอย่างให้เราเห็น ก็ดูน่ากลัวพอสมควร (เฮ้ย พวกเอ็งผ่าน The Dragon มาได้แล้วนะ ในนี้ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว) ซึ่งจุดที่น่ากลัวที่ว่าก็คือ ทางตรงยาว (ชัน) หลังจากตัวรถขึ้นไปบนจุดสูงสุดแล้วนั่นเอง ซึ่งจุดที่เสียวจริงๆ ก็มีแค่ตรงนี้ (ได้ข่าวว่าเตี้ยกว่าตอนล่องแก่งด้วยซ้ำ)
แต่หลังจากทำใจได้ หรือจริงๆ พอเราทักว่า เฮ้ย ค่าบัตรตั้งพันสองนะ จะไม่เล่นให้คุ้มกันหน่อยเหรอ พอลงจาก Merlin's Challenge มาแล้ว ก็เลยมีผู้กล้า (รวมเราเป็น 3 คน) ตัด(สิน)ใจ ขึ้นไปเล่นเจ้า Project X นี้กัน ซึ่งจากที่มาย้อนอ่านรีวิว เจ้า Project X นี้ ถือเป็นเครื่องเล่นอีกอันที่ไม่ควรพลาด ช่วงที่ Lego Land นี้เพิ่งเปิดใหม่ๆ (หมายถึงเพิ่งสร้างเสร็จเลยอะนะ) เครื่องเล่นนี้ถึงขนาดมีคนต่อคิว ต้องรอกันนานสองนานเลยนะ ซึ่งก็ต่างจากบรรยากาศที่เราไปวันนั้นมาก เพราะยืนดูอยู่นานสองนาน แต่ก็เจอแต่รถเปล่าวิ่งไปมา บางทีก็มีคนขึ้นไปเล่นบ้าง คือก็คนน้อยไม่ต่างจากเครื่องเล่นอื่นๆ อะไร หุหุ
เห็นว่าเครื่องเล่นนี้สูง 18 เมตร จุดที่ขึ้นไปสูงๆ แล้วปล่อยลงมาเร็วๆ นั่นแหละ และด้วยความที่เป็นรถคันเล็ก คือคันนึงนั่นได้ 4 คน มันเลยทำให้คนนั่งรู้สึกเสียวเพิ่มขึ้นไปอีกหน่อยนึงแหละมั้ง แต่จากที่ได้เล่นจริงๆ ความเสียว แบบเสียววูบๆ ก็ไม่ได้อะไรมาก (บอกแล้วว่าผ่าน The Dragon มาแล้ว ในนี้ไม่ต้องกลัวอะไรแล้วล่ะ) แต่ออกจะเวียนหัวสักหน่อย เพราะหลังจากโดนทิ้งมาจากความสูง 18 เมตรแล้ว เราก็ต้องผ่านรางที่โค้งไปโค้งมาด้วยความเร็วพอสมควร ทำให้มันมึนมากกว่าเสียวน่ะ
หลังจากทีแรกที่ผ่าน Project X กันไปแล้ว อีกเครื่องเล่นที่อยู่ติดกัน ฟังเป็นเสียงน้ำสาดซ่าๆ เพื่อนๆ ก็อธิบายว่า ก็คล้ายๆ รถไฟขึ้นๆ ลงๆ นั่นแหละ แต่เป็นในน้ำ เล่นแล้วเปียกแน่ๆ แต่ก็ดูว่าน้อยกว่าล่องแก่งอะนะ
พอเห็นว่ามีแววเปียก ทุกคนที่ก็เพิ่งจะแห้งกันยังไม่สนิทด้วยซ้ำ ก็เลยไม่มีใครอยากจิเล่น ก็เลยผ่านกันไปก่อน แต่พอลงจาก Project X กันมาแล้ว ก็มีคนยอมเล่นเจ้าเครื่องเล่นนี้กับข้าพเจ้าจนได้ อิอิ
และเราก็จบเครื่องเล่นอันสุดท้ายกันด้วย Aquazone Wave Racers ไปเล่นกับเพื่อนกันแค่สองคน (คนลดไปทีละคนสองคน)
เครื่องเล่นนี้เป็นยานวิ่งอยู่ในน้ำ และก็จะวิ่งไปผ่านด่านน้ำ เป็นคล้ายๆ ระเบิดน้ำ ยิงขึ้นมาใส่ยานเรา โดยที่ในยานมีพวงมาลัยให้หมุนบังคับได้ โดยเราก็แค่บังคับหนีน้ำ (หลบซ้ายหลบขวา) แค่นี้เราก็สามารถเล่นสนุก แบบไม่เปียกได้แล้ว 55 แต่ถ้าใครร้อนๆ อยากเปียก จะปล่อยยานให้เข้าไปโดนน้ำฉีดใส่แบบเต็มๆ ก็คงไม่ว่ากัน แต่ก็คงเปียกสู้ Dino Island ไม่ได้หรอก
เท่าที่เห็นเครื่องเล่นนี้น่าจะเป็นเครื่องเล่นเดียว ที่ให้นั่งคนเดียว แต่จะว่าไปก็ไม่เชิงนั่งเท่าไหร่ เหมือนจะออกแบบมาให้ยืนเล่นเสียมากกว่า แต่ถ้าคุณขาและแขนยาวพอ (พอที่จะเอื้อมมาบังคับพวงมาลัยอะนะ) ก็นั่งตรงขอบด้านหลังของยานได้
ซึ่ง Aquazone Wave Racers นี้ผู้เขียน เล่นซ้ำสองรอบ รอบแรกเล่นกับเพื่อนแค่สองคน แต่รอบหลังมีคนอื่นลงมาด้วย ผู้เขียน เปียกแค่นิดหน่อยตอนรอบแรก แต่รอบสองก็สามารถบังคับยานให้หลบน้ำได้จนไม่เปียกเลย 5555
สิ่งที่เราพลาดในโซนนี้ก็คือ LEGO ® Academy, LEGO ® MINDSTORMS ® ซึ่งก็คงจะไม่เหมาะกับอายุพวกเรากันเท่าไหร่ เพราะบางกิจกรรม เขาก็ออกแบบมาให้สำหรับเด็กๆ หรือครอบครัว
New LEGO® Star Wars MINILAND model display!
โซนใหม่ที่เราได้เข้าก็คือ โซน Star war ซึ่งเข้าใจว่าเพิ่งทำเสร็จ ได้สัมผัสโมเดล R2D2 ที่ต่อจาก Lego ด้วย กรี๊ดดดดด จาอาวกลับบ้านๆ
ทางเข้าก็จะเป็นโมเดลตัวละครดังๆ ที่เป็นขนาดใหญ่ น่าจะสเกลล์ 1 ต่อ 1 เลยนะ ให้แวะถ่ายรูปบิ๊วอารมณ์กันก่อน
เข้าไปห้องแรกจะมีหนังให้นั่งชมเกริ่นกันก่อน สำหรับคนที่ไม่เคยรู้จัก Star Wars ล่ะมั้ง ไม่ก็โชว์ Star Wars ฉบับที่เป็น Lego Edition
ต่อจากการนั่งดูหนังย่อเกี่ยวกับ Star Wars ในห้องแรก (ประมาณ 15-20 นาทีนี่แหละ) เราก็จะมาเดินชม + ถ่ายรูปกับตัวต่อ Lego ที่จำลองฉากจากหนัง Star Wars ภาคต่างๆ ซึ่งมีถึง 7 ห้อง เห็นว่าในโซนนี้ใช้ตัวต่อ Lego กว่า 1.5 ล้านตัวกันเลยทีเดียว (ในโซนนี้ห้ามใช้แฟลชนะเออ)
แน่นอนว่า.... ตัวละครหรือยานจำลองทั้งหลายมันอยู่ในตู้กระจก มิสามารถคลำได้แต่อย่างใด ประกอบกับผู้เขียนเอง ก็หาใช่แฟนหนังเรื่อง Star Wars ไม่ ก็แค่เดินตากแอร์ไปพรางๆ เป้าหมายของเราอยู่ที่ห้องสุดท้ายต่างหาก 55
หมายเหตุ : เนื่องจากผู้เขียนไม่ใช่แฟนหนัง/หนังสือเรื่องนี้ ดังนั้นรายละเอียดในโซนนี้จึงจะน้อยไปหน่อย ยังไงก็สามารถกดดูรายละเอียด+รูป จากเว็บของทาง Lego Land ได้โดยตรง จากหัวข้อหรือกดตรงรูปก็ได้
พ้นจากห้องโมเดล ก็เป็นส่วนสำหรับดูดทรัพย์จากนักท่องเที่ยว คือ Shop ขายของนั่นเอง แน่นอนว่าร้านนี้ มีเฉพาะของที่เกี่ยวข้องกับหนังเรื่อง Star war ขาย ไม่ว่าจะเป็นตัวฟิกเกอร์ หรือตัวต่อแบบต่างๆ เท่าที่เห็น ยาน Millennium Falcon (ที่ผู้เขียน สนใจ) น่าจะเป็นกล่องใหญ่สุด และราคาแพงสุด อยู่ที่ 749 RM เลยทีเดียว (รู้สึกจะขายแพงกว่าซื้อที่อื่นที่ขายเป็น USD ด้วยนะ)
พยายามให้เพื่อนช่วยหาฟิกเกอร์ R2D2 ก็ไม่มี แต่ก็เจอพวงกุญแจอันนึง แต่น่าตาแพกเกจจิ้งดูดีกว่าพวงกุญแจฟิกเกอร์ที่แขวนขายไว้อันอื่นๆ มาก
ฟิกเกอร์ปกติตัวละ 21 RM (รู้สึกจะขึ้นจาก 19 RM ) แต่เจ้า R2D2 ที่ผู้เขียน สนใจ ดันราคาตั้ง 52 RM แน่ะ จริงๆ ก็พอทำใจกับราคาได้ แต่ขอพิจารณาก่อน ก็เลยหยิบติดมือไว้ก่อน รอดูว่าจะถูกใจยานลำไหนไหม แล้วจะเอายังไง
สรุปว่าก็ไม่โดนกับยานลำไหน (ที่จริงก็อยากได้ แต่กลัวต่อไม่เป็น 55) ก็เลยกลับมาพิจารณาชิ้นที่ถือในมืออย่างละเอียดอีกครั้ง พบว่างานถือว่าไม่ได้เนียนมากนัก คือเน้นการใช้สี แต่ texture ที่สัมผัสได้ ไม่ลงรายละเอียดมากนัก ดังนั้นคำถามคือ ทำไมมันถึงแพง และต้องอยู่ในแพกเกจที่ต่างจากชาวบ้านด้วย คำตอบมาเฉลยจากเพื่อนของผู้เขียน ว่า "อ๋อ อันนี้มันเป็นไฟ LED ด้วยนะ" อืมๆ มันเป็นเช่นนี้นี่เอง LED มีไปก็ไม่เป็นประโยชน์กับผู้เขียน แต่อย่างใด ดังนั้นก็ไม่ซื้อดีกว่า หุหุ
Mini Land
กิจกรรมเกือบสุดท้ายใน Lego Land ก็คือ โซน Mini Land ซึ่งเป็นสถานที่ที่สาวๆ ได้ดื่มด่ำกับการแชะภาพ เป็นที่ระทึกกันรัวๆ (แต่ได้ข่าวว่าแบตกล้องหมดตั้งแต่โซน Star Wars กันแล้วนิ) บรรยากาศกำลังดี แดดเริ่มจะล่ม (?) ก็ราวๆ ห้าโมงกันแล้วอะนะ สองหนุ่มซึ่งไม่ประสงค์จะไปยืนตากแดดให้ร้อน และไม่อยากจิสร้างภาพ ก็เลยรับผิดชอบการนั่งเฝ้าของ (จริงๆ คืออยากนั่งพัก) แล้วอิการนั่งพักและกองของกันไว้ตรงจุดนี้ ก็สร้างดราม่าจนได้.....
เมืองจำลองใน Lego Land ที่มาเลเซียนี้ ประกอบไปด้วยตัวต่อ Lego กว่า 30 ล้านชิ้น ใช้เวลาต่อราว 3 ปี มีสถานที่ที่สำคัญจากประเทศต่างๆ ในเอเชียถึง 17 ประเทศ เสียดายที่เมืองจำลองที่ว่าทั้งหมดนี้ ขึงเชือกกั้นไว้ แปลว่าดูแต่ตามืออย่างต้องเดี๋ยวของจะเสียนั่นเอง จึงเป็นสาเหตุให้ผู้เขียนกับเพื่อนซึ่งมองไม่เห็น เลย "ทำได้แค่รอ"
เมื่อเสร็จจากถ่ายรูปที่โซน Mini Land กันอย่างหนำใจ สาวๆ หายไปราวครึ่งชั่วโมงได้มั้ง! นี่ขนาดกล้องใหญ่แบตหมดกันแล้วนะ มือถือก็คงใช้พลังงานจาก Power Bank กันแล้วล่ะ ไม่อยากจะคิดถ้าแบตกล้องเต็มๆ :O
กลับมารวมพล จากนั้นเราก็มุ่งไปยัง "big Lego shop" กัน (ตูเตรียมเงินมาเพื่อสิ่งนี้...) Big Lego SHop หรือเรียกง่ายๆ ก็คือช็อปขายตัวต่อ Lego ที่นี่ เขาเครมว่าเป็นช็อปที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียเลยนะ แต่ก็ไม่รู้สิ หมวดที่ผู้เขียนโปรดปราน ก็เห็นมีของอยู่ไม่เท่าไหร่เอง
แน่นอนว่าชั้นที่พุ่งตรงไปหาก็หนีไม่พ้นหมวด "architecture" ซึ่งจริงๆ ก็เป็นชั้นเล็กๆ มีของให้เลือกดูแล้วก็แค่ไม่กี่แบบ น่าจะ 10+- แค่นั้นเอง แต่ผู้เขียนกับเพื่อนก็เสียตังเพราะชั้นนี้รวมกันแล้ว 3 กล่องนะ 55 และพอซื้อกลับมาแล้ว มาหาข้อมูลตามหลัง ก็พบว่าทุกเซ็ตที่ซื้อมา เป็น collection ล่าสุดของปี 2016 เลยแฮะ คือ 21026 - Venice (เซ็ตนี้ของเพื่อน) และ 21031 - BURJ Khalifa กับ 21027 - Berlin (2 เซ็ตนี้ของผู้เขียน)
และอีกอย่างที่ค่อนข้าง surprise หน่อยๆ คือ เจอเจ้า "Architecture Studio" ที่เคยตามหามา ขนาดฝากคนที่นอร์เวย์ช่วยหา หาถึงใน Lego Land Denmark ก็ยังไม่เจอ แต่มาเจอที่นี่ ที่เห็นๆ ก็ 4 กล่องเข้าไปแล้ว แต่สภาพกล่อง 3 ใน 4 ที่เจอคือกล่องสภาพแย่มาก แต่อีกกล่องนี่คือแบบนิ้งสุดๆ ใหม่กว่ากล่องที่ผู้เขียนได้มาเสียอีก >_<
ก็ไม่แน่ใจว่าด้วยสาเหตุใดที่ Lego shop สาขานี้ถึงยังเหลือเซ็ต Architecture Studio นี้อยู่ตั้งหลายกล่อง เหตุผลที่เดาเอาเอง ก็อาจจะเป็นว่าเซ็ตนี้ค่อนข้างมีราคาแพง (799 RM) คือแพงเป็นอันดับสองเท่าที่เห็นมีขายใน Lego Land ที่นี่แล้วล่ะ มันก็เลยเป็นของค้างสต็อก (แหมถ้ามีเงินก็อยากสอยมาเก็บอีกสักกล่องนะ เหอๆ)
ถัดจากชั้น Architecture ก็ยังมีชั้นที่เป็นหมวด "Cars" อีกหมวด ที่ทำให้ผู้เขียนกับเพื่อนได้เสียตังกันอีกคนละกล่อง แถมดันสอย Ford Mustang มาเหมือนกันซะอีก และก็เช่นกัน พอมาหาข้อมูลตามหลัง เจ้า Mustang GT นี้ ก็เป็น collection ใหม่ที่เพิ่งออกตอนปี 2016 ด้วย แปลว่าของในชอปนี้เขาก็อัพเดตดีนะเนี่ย
หอบหิ้วกันคนละ 2-3 กล่อง จะไม่สนใจแวะดู (คลำๆ) ชั้นฟิกเกอร์ที่มีแบบเยอะมากกกก ก็กระไรอยู่ หลังจากวนเวียนดูๆ คลำๆ อยู่หลายชั้น ก็เลยตัด(สิน)ใจสอยฟิกเกอร์มาซะหนึ่งตัว เป็นเจไดแบบที่เหลือตัวเดียวในชั้น คิดซะว่ามันคงเป็น limited 5555(เดี๋ยวเขาก็เอามาเติมปะ?)
สรุปค่าเสียหายเฉพาะของข้าพเจ้า ก็ร่วมๆ 450 RM คือก็พอดีกับงบที่คำนวณไว้อะนะ ทั้งที่ก่อนเข้าชอป บางทีก็แอบคิดว่า เราคงไม่ได้เสียตังหรอกมั้ง แต่สรุปก็ไม่รอด....
ออกจากชอปมาแล้ว รายการสำหรับทริปตะลุย Lego Land in Malaysia ของพวกเราวันนี้ก็คงจบลงแต่เพียงเท่านี้.... เท่าที่คุยกันไว้ ก็เหลือแค่ออกไปทานข้าวเย็นกันตรงร้านตรงทางเข้า Lego Land แล้วก็กลับ แต่... ความสนุกมันเพิ่งเริ่มครับท่านผู้ชม ความตื่นเต้นรุ้นระทึกในสวนสนุก Lego Land ที่ผ่านกันมาเกือบทั้งวัน อาจเทียบไม่ได้กับความลุ้นระทึกหลังจากนี้...
ดราม่ามาเยือน เมื่อกระเป๋าหาย!
ออกจาก Lego Land กันมาอย่างรื่นเริง มีถามพนักงานเขาด้วยนะว่า ที่นี่ถ้าออกแล้ว สามารถกลับเข้ามาใหม่ได้หรือเปล่า คือเคยอ่านว่าอย่างที่ Universal Studios เขาสามารถออกแล้วกลับเข้าไปใหม่ได้ไง ภายในวันเดียวกัน
ซึ่งเราได้คำตอบว่า ถ้าเราซื้อแค่ตั๋วเข้า team park คือเฉพาะโซนสวนสนุก จะไม่สามารถกลับเข้าไปได้อีก แต่ถ้าเราพักที่โรงแรมของทาง Lego Land ด้วย ก็จะสามารถเข้าออกได้
พอเดินพ้นประตูออกมาได้ไม่กี่ก้าว ดราม่าก็ถามหา เพราะเพื่อน ฟ ของเราถามว่า "กระเป๋าเราล่ะ ใครเห็นกระเป๋าเราบ้าง?" เอาล่ะสิคร้าบ ชีไม่ได้ฝากกระเป๋าไว้ที่ใครเสียหน่อย ลองดูที่ตัวเพื่อนๆ ทุกคนแล้ว ก็ไม่มีกระเป๋าของชีอยู่จริงๆ ดังนั้น ความเป็นไปได้เดียวก็คือ "กระเป๋าหาย"
ซึ่งความซวยก็คือ เป็นกระเป๋าที่มีทุกสิ่งอย่างของชีอยู่ในนั้น กระเป๋าสตางค์ มือถือ Passport ฯ ก็แปลว่าถ้าไม่ได้กระเป๋า (และของข้างใน) คืนมา งานนี้ลำบากกันแน่ๆ ไม่ใช่แค่เจ้าตัว แต่ก็หมายถึงเพื่อนๆ และทริปทั้งทริปที่เหลือเลยล่ะ เพราะหากของหายจริง ก็คงไม่มีกระจิตกระใจจะเที่ยวต่ออะไรต่อกันแล้ว อันนี้หมายถึงกรณีที่สามารถออกจากประเทศมาเลเซียกลับไปยังสิงคโปร์ได้แล้วด้วยอะนะ ซึ่งก็คงต้องลำบากอีกมิใช่น้อยกว่าจะถึงจุดนั้น
โอเค ยังไงก็สรุปแล้วว่ากระเป๋าหายชัวร์ๆ ทีนี้ก็เลยคิดย้อนดูว่าหายที่ไหนอย่างไร ได้คำตอบว่า ตอนที่สาวๆ ไปเดินถ่ายรูปในโซน Mini Land กันอยู่นั้น เพื่อน ฟ ได้ฝากกระเป๋าไว้กับหนุ่มๆ ที่นั่งรอ และพอเดินกลับมา ก็หยิบเสื้อออกมาใส่ แต่ตอนลุกออกมา ที่จะไปเข้า lego shop กัน ก็ไม่ได้หยิบกระเป๋าติดมาด้วย นั่นก็แปลว่า ระยะเวลาที่กระเป๋าหายไป คือถูกวางทิ้งไว้โดยไม่มีเจ้าของ ก็ผ่านมาหลายสิบนาทีแล้ว ดังนั้น สาวๆ ก็รีบกลับเข้าไปเพื่อตามหากระเป๋า ปล่อยสองหนุ่มให้ยืนรอแบบเหว่ว้ากันอยู่สองคน
เรื่องราวต่อจากนั้นในฝั่งสาวๆ คือเรื่องที่สาวๆ มาเล่าให้ฟังทีหลัง อย่างแรกที่ด่านประตูทางเข้า เจ้าหน้าที่ก็ให้เข้าไปแหละ แต่ไปกัน 3 คน ทีแรกเขาจะให้เข้ากันแค่ 2 แต่ทำไปทำมาก็ยอมให้เข้าไปด้วยกันทั้ง 3 คน แน่นอนว่าจุดแรกที่กลับไปหาก็คือ ตรงเก้าอี้ที่จำได้ว่าวางกระเป๋าทิ้งไว้ แต่มันก็นานแล้วอะนะ ความน่าจะเป็นที่มันจะอยู่ที่เดิมก็คงยาก และมันก็อันตรทานไปแล้วจริงๆ รู้สึกว่า ก็มีความพยายามช่วยกันหารอบบริเวณนั้นอยู่อีกสักพัก แต่ก็ไม่เจอ ทั้งหากันเอง แล้วก็มีคนอื่นมาช่วยหา จนสุดท้ายก็ต้องไปตามหากันที่ศูนย์รับแจ้งของหาย ซึ่งกระบวนการก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะเจ้าหน้าที่เขาก็ต้องทำให้มั่นใจว่าเราไม่ได้มาแอบอ้าง แต่ยังไงเราเป็นเจ้าของตัวจริง เราก็มีทุกหนทางที่จะยืนยันตัวตนอยู่แล้วอะนะ อย่างแรกเหมือนจะเป็น iPhone ของเพื่อนเรา ที่ใส่รหัสไว้ โอเค ถ้าปรดล็อกได้ ก็สมควรเป็นเจ้าของตัวจริง แต่ก็ยังไม่ได้ไปถึงด่านการปรดล็อก iPhone หรอก เพราะขนาดกระเป๋า เขายังไม่ยอมให้ได้ดูด้วยซ้ำ คือพวกของหายที่มีคนเอามาฝากไว้ เขาจะใส่ตู้ล็อกไว้อย่างดีะนะ
โชคดี ที่มีเพื่อนอีกคน ดันถ่ายรูปกระเป๋าของเพื่อน ฟ ไว้ใน iPad จึงเอาไปเป็นหลักฐานให้เจ้าหน้าที่ดูได้ว่า นี่ๆ กระเป๋าใบนี้แหละ เขาก็เลยยอมเปิดตู้เซฟ หยิบกระเป๋าออกมาให้ ซึ่งก็นั่นแหละ ไหนจะ iPhone ไหนจะ Passport ยังไงก็ยืนยันตัวตนเจ้าของกระเป๋าได้อยู่แล้ว ในที่สุดก็เลยได้กระเป๋ากลับคืนมา.....
เย้ๆ ... เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งรีบดีใจไป ความวัวเพิ่งจะหาย ก็มีความฟายเข้ามาแทรกต่อทันทีครับ (ทริปนี้มันจะราบรื่นไม่ได้เลยใช่มะ) พอเจอของของคนนึง ก็ดันพบว่าของของเพื่อนอีกคนดันหายมั่ง (เห้อ สาวๆ นี่) ทีนี้เป็นกระเป๋าใบเล็กๆ เรียกว่าถุงผ้าจะถูกกว่า ซึ่งหายตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ ของข้างในเป็นของสำคัญมากคือ Passport "
อันนี้สาวๆ เขารู้กันตั้งแต่ได้กระเป๋าของเพื่อน ฟ เจอแล้วล่ะ แต่หนุ่มๆ ก็เพิ่งมารู้ตอนหลัง เพราะพอสาวๆ ออกมาจาก Lego Land (อีกครั้ง) แทนที่จะระรื่นกันออกมา เพราะหากระเป๋าเพื่อน ฟ เจอแล้ว แต่กลับออกมาด้วยความร้อนรนไม่ต่างจากตอนที่เข้าไป เพราะมีของหายเพิ่ม ก็รีบมาขอดูกระเป๋าหนุ่มๆ กันใหญ่ เพราะคิดว่าอาจจะฝากไว้หรือเปล่า แต่แน่นอนว่ามัน "ไม่มี" งานเข้าอีกแล้วสิครับ ทีนี้หายที่ไหน หายเมื่อไหร่ ก็นึกไม่ออกแบบชัวร์ๆ เหมือนใบตะกี้ซะด้วย
แต่ด่านแรกที่จะมุ่งไป ก็เป็นที่เคานต์เตอร์ Information ด้านหน้าทางเข้า ที่เมื่อเช้าแวะคุยกับเขากันอยู่ เพราะเพื่อนจำได้ว่าหยิบมันออกมาล่าสุดตรงเก้าอี้ใกล้ๆ เคานต์เตอร์นั้น
ผู้เขียนกับเพื่อนก็รีบจ้ำนำหน้าคนอื่นไปตรงเคานต์เตออร์ที่ว่ากันอย่างไว พอไปถึงเพื่อนยังถามไม่ทันจบประโยคด้วยซ้ำ คุณเจ้าหน้าที่ก็รีบหยิบถุงเจ้าปัญหาใบนั้นขึ้นมา แล้วบอกว่าคุณทำหล่นไว้ใช่ไหม อ่า... แปลว่าเขาจำหน้าพวกเราได้เลยนะเนี่ย ก็แหมนะ ออกจะเป็นกลุ่มที่เด่นอยู่มิใช่น้อย ก็ขอบอกขอบใจพี่เขากันเป็นการใหญ่ ต้องบอกว่าเป็นความโชคดีมาก ที่เพื่อนพี่เขาไปเจอ แล้วเอามาเก็บไว้ และพี่เจ้าหน้าที่เขาก็จำได้ว่าเป็นของกลุ่มเรา ก็เลยเก็บไว้ให้ คงคิดว่าขากลับ ยังไงก็ต้องมาผ่านจุดนี้กันอยู่แล้ว เย้ๆ คราวนี้ก็ดีใจ หมดปัญหากันได้จริงๆ เสียที
จบจากเรื่องราวลุ้นระทึก ก็ได้เวลาเติมพลังงานลงท้อง ที่แรกที่แวะก็เป็น mini mart เพื่อแวะซื้อน้ำกันก่อน เพราะหลายคนเล็งไว้ว่าจะซื้อน้ำจากที่นี่แหละกลับไปเลย เพราะมันราคาถูกกว่าฝั่งสิงคโปร์มากมาย ผู้เขียนเอง ก็ซื้อ Coke zero มาสองขวด เป็นราคา 5.6 RM ก็ไม่ได้ดูโหดร้ายเท่าไหร่นะ
พอเสร็จจากร้าน mini mart กันแล้วก็เดินกลับมาหาร้านข้าวเพื่อที่จะได้นั่งพักผ่อน (พักขา) และเติมพลังงานลงท้อง หลังจากที่ไม่มีใครได้ทานข้าวเที่ยงกันสักคน
ทีแรก ก็ดูว่าหลายคนรวมถึงผู้เขียนด้วย ก็ไม่ค่อยอยากกินกันเท่าไหร่ (ผู้เขียน กะว่าจะกลับไปจัด Berger king ข้างโรงแรมอะ) แต่พอดูเมนูแล้ว ก็พบว่า ราคาอาหารที่นี่ มันช่างต่างจากราคาที่สิงคโปร์ ราวฟ้ากับเหว ที่นี่ราคาไม่ถึง 10 RM กลับได้ข้าวเป็นเซ็ต คือมีน้ำซุปมาให้ด้วย แต่ก็สงสัยอย่าง ทำไมคนแถวนี้เขากินกันแต่ไก่เนี่ย เมนูมีแต่ไก่ ไก่ และ ไก่ ต่างคนก็เลือกข้าวหน้าเมนูไก่ของตัวเองกันคนละอย่าง ส่วนผู้เขียนเอง ไม่รู้สึกอยากกินข้าวกับไก่ (เมื่อวานก็จัดข้าวมันไก่มาแล้วนี่) ก็เลยลองดูเมนูที่เป็นของกินเล่นละกัน แต่ก็ยังได้เป็นเกี๊ยวทอดไส้ไก่มาอยู่ดี ><
แต่พอได้มาก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เมนูที่แต่ละคนสั่งมา ถือว่าผ่านเลยทีเดียว ทั้งรสชาติ ปริมาณ และราคา ส่วนเกี๊ยวทอดของผู้เขียนเองก็ถือว่าผ่านเลยแหละ ทอดมาร้อนๆ แป้งกรอบดี รสชาติก็ใช้ได้ มีซอสให้จิ้มรสเปรี้ยวๆ คล้ายๆ lemon source ก็ช่วยเสริมรสชาติให้ไม่เลี่ยนจนเกินไป เราก็เลยแจกจ่ายให้เพื่อนได้ชิมความอร่อยของเกี๊ยวทอดกันคนละชิ้น ทั้งจานมีมา 8 ชิ้น ผู้เขียนก็เลยได้กินไปทั้งหมด 4 ชิ้น สรุปแล้วทั้งวัน ผู้เขียน ก็มีแค่ผัดซีอิ๊วตอนเช้า + เกี๊ยวทอด 4 ชิ้นตอนเย็น กับน้ำ 2 ขวด สำหรับการใช้ชีวิตทั้งวันนี่ล่ะ เหอๆ
เรียบร้อยจากร้านข้าว (ตอนลุกมานี่รีบตรวจข้าวของกันใหญ่เลยนะ ทีอย่างนี้ล่ะเพิ่งมานอย) เราก็มาเจอกับร้านขายของฝากอีกร้าน ทีแรกก็คงไม่ได้มีใครกะจะซื้ออะไรจริงจังล่ะมั้ง คงแค่กะว่าเออซื้อขนมกลับไปกินกันขำๆ ก็พอ จะได้ใช้เงินมาเลที่แลกมาให้หมดๆ ไปด้วย
แต่พอเดินไปเดินมา เพื่อน ฟ ของเรา ดันไปเจอช็อกโกแล็ตอันนึง เป็นกระปุกๆ แล้วก็เลยเสนอว่า "นี่ๆ แบบนี้ดีนะ ซื้อไปฝากคนที่ทำงาน เอาไปวางไว้เป็นกองกลาง ใครจะกินก็มาหยิบได้" แค่นั้นล่ะครับพี่น้อง ร้านนี้ก็ได้ลูกค้านักท่องเที่ยวชาวไทย ซึ่งไม่รู้อดอยากมาจากไหน เหมาเจ้าช็อกโกแล็ตที่ว่ามารวมกันถึง 13 กระปุก !!!
โอ้ยยยย แล้วจะแบกกลับไทยกันยังไงล่ะเนี่ย ไหนจะ Lego อีก 5 กล่อง ถึงจะซื้อ load สำหรับขากลับกันไว้แล้วก็ตาม แต่ปัญหาคือบรรจุภัณฑ์ที่จะแบบไป load นี่แหละ แต่ไหนๆ ก็ซื้อแล้ว ก็คงต้องหาวิธีกันต่อไป.....
เหมือนเรื่องจะจบด้วยดีสำหรับวันนี้ แต่ยังครับยัง มันต้องมีเรื่องให้ลุ้นกันถึงนาทีสุดท้ายสิน่า หลังจากชอปปิ้งกันจนหมดเนื้อหมดตัว (เงินมาเลเซีย) กันทุกผู้ทุกคนแล้ว ก็เดินออกมาหารถบัสนั่งกลับไปยังสิงคโปร์กัน ซึ่งจากข้อมูลที่ถามพี่คนขับรถรอบที่นั่งมาตอนเช้า และที่ถามจากพี่เจ้าหน้าที่ตรง Information หน้าทางเข้า Lego Land (คนที่เก็บถุงใส่ Passport ไว้ให้เรานั่นล่ะ) ซึ่งให้ข้อมูลไม่ตรงกันแล้ว พี่คนขับรถบัสบอกรถหมด 9:30 P.M. แต่พี่เจ้าหน้าที่ที่ Information บอกรถหมด 8:00 P.M. ซึ่งเวลาที่พวกเราเดินออกมารอรถนั้น มันก็เฉียดๆ จะ 8:00 P.M. อยู่แล้ว คนที่มีให้ถามก็เป็นคนดูคิวรถแท็กซี่ ซึ่งก็ตอบคำถามเชิงๆ ว่า จะให้พวกเรานั่งแท็กซี่กันนั่นแหละ ซึ่งค่าแท็กซี่ก็ราคาโหดร้ายอยู่ ถ้าเทียบกับค่ารถบัส เพราะรถบัสแค่คนละ 2 RM แต่ถ้านั่งแท็กซี่ คันละ 50 RM ได้ แถมเรามากัน 5 คน ก็คงต้องนั่งกัน 2 คันอีก เพราะแท็กซี่ที่นี่เขาไม่ให้นั่งเกิน 4 คนน่ะ
ด้วยความงกและความหวัง เราก็เลยยังตัดสินใจนั่งรอรถบัสกันก่อน เอาไว้เป็นทางเลือกสุดท้ายละกันนะครับพี่แท็กซี่ และเพียงไม่นาน (นั่งยังไม่ทันหายเมื่อย) ความหวังของเราก็เป็นผล เย้ๆ มีรถมาแล้ว รถแบบเดิมสีเดิม กับขาที่เรานั่งมากันตอนเช้า ก็วิ่งเข้ามาจอด พวกเราก็รีบวิ่งไปขึ้นรถ กันอย่างไว กลัวเขานึกว่าไม่มีคนแล้วขับออกไปน่ะ (ทำไมมีงานวิ่งตลอดๆ เลยฟระทริปนี้)
เมื่อได้ขึ้นรถกันเรียบร้อยแล้ว (สบายใจละ ยังไงก็ได้กลับสิงคโปร์กันแน่ๆ) ก็เลยลองถามพี่คนขับรถดูอีกที ว่าตกลงรถหมดกี่โมงกันแน่ พี่คนดูคิวรถแท็กซี่พยายามจะหลอกพวกผมว่ารถหมดแล้ว แล้วให้พวกผมขึ้นแท็กซี่กลับกันน่ะ ก็ได้คำตอบเหมือนพี่คนขับรถเมื่อเช้าว่ารถหมด 9:30 P.M. นะคร้าบ
และก็ไม่รู้ว่าเป็นความโชคดี หรือเพราะเป็นวันธรรมดา หรือเพราะเวลาที่ไม่ชนกับคนอื่น รสบัสที่เรานั่งทั้งไปและกลับออกมาจาก Lego Land นี้ ด้วยค่ารถเพียงคนละ 2 RM ตีเป็นเงินไทยก็ไม่ถึง 20 บาท แต่พวกเรา 5 คน นั่งกันมาราวกับเหมารถพี่เขามาเลยครับ ขาไปก็นั่งกันไปแค่ 5 คน ขากลับก็นั่งกันมาแค่ 5 คน แหม่.... มันช่าง V.I.P. อะไรกันขนาดเน้
ระหว่างทางที่รถวิ่ง ก็มีข้อสังเกตจากเพื่อนๆ ว่า ถนนหนทางบ้านเขาดูช่างสะอาดเรียบร้อยเนอะ ไม่มีป้ายโฆษณาให้ดูรกหูรกตาเหมือนกรุงเทพบ้านเรา แถมขนาดนี่แค่สองทุ่ม แต่ถนนทางที่รถวิ่งมา ก็เงียบมากๆ เหมือนกับต่างจังหวัดบ้านเราก็ว่าได้ แต่ข้อหลังนี่ อาจจะเป็นได้ว่า Lego Land ที่เราไป ก็อยู่ประมาณว่าชายแดนของมาเลเซีย ฝั่งที่ติดกับสิงคโปร์ ดังนั้นถ้ามันจะไม่ค่อยมีผู้คนสันจรพรุกพร่าน ก็คงไม่แปลกอะไร...
กลับมายังด่านมาเลเซียที่ผ่านกันไปแล้วรอบนึงเมื่อเช้า ขาออกก็ไร้อุปสรรคใดๆ ไม่ต่างจากขาเข้า อืม... ประเทศนี้เขาก็ไม่เข้มงวดดีนะ ขนาดพวกเราก็หอบหิ้วถุงกันมาพะรุงพะรัง 55
แอบมาลุ้น+มั่ว กันก็ตอนที่ออกจากด่านมาหารถนั่งต่อไปยังด่านฝั่งสิงคโปร์นี่แหละ ซึ่งจริงๆ มันก็ไม่ได้มีอะไรยุ่งยากเลย เห็นเขาต่อแถวกันไหม ก็ไปต่อตามเขาสิ แต่ด้วยความที่ก็ไม่รู้ระเบียบปฏิบัติของคนบ้านเขาไง นี่ก็เที่ยววิ่งไปดูรถคันโน้น ดูรถคันนี้ แต่ก็ไม่มีคันไหนเปิดประตูให้เราขึ้นสักคัน ก็เลยสำนึกได้ว่า เออ สงสัยเราต้องไปต่อแถวกันเหมือนคนอื่นๆ นั่นแหละ
ใช้เวลาต่อแถวอยู่ไม่นานนัก เราก็ได้นั่งรถสาย CW3 กลับมายังด่านฝั่งสิงคโปร์ (ขาไปเป็น CW4 น่ะ) ซึ่งตรงนี้ยังไม่ต้องจ่ายตังค่ารถใดๆ ก็เลยทำให้สงสัยว่า แล้วเขาวิ่งรถเส้นนี้กันยังไง ถึงไม่ต้องเก็บเงินหว่า เพราะอย่างขามา เราจ่ายค่ารถตั้งแต่แรกมาแล้ว แต่พอขากลับนี้ ถ้าคนผ่านด่านมาแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องขึ้นรถสายเดิมเหมือนตอนขามาหนิ แปลว่าคนก็นั่งข้ามด่านขากลับนี่กันได้ฟรีๆ เหรอ #ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย
พอมาด่านขาเข้าสิงคโปร์นี่แหละครับ คราวนี้ไม่ง่ายเหมือนการผ่านด่านที่ผ่านๆ มา ของวันนี้แล้ว เนื่องจากเราต้องไปเขียนแบบฟอร์มการเข้าประเทศใหม่ (โดนยึดไปตั้งแต่ออกจากประเทศเขาตอนเช้าละ) ก็มีลุงคนนึงมาจัดการกับกลุ่มของพวกเรา ให้สองหนุ่มยืนรอ ไล่สาวๆ ไปกรอกฟอร์มให้ที่โต๊ะ กว่าจะกรอกเสร็จ กว่าจะตรวจกระเป๋า สแกนทุกสิ่งอย่าง แถมผู้เขียน เจอตรวจกระเป๋าอย่างละเอียดอีกต่างหาก (หน้าตาตูมันน่าสงสัยตรงไหนฟระ?) คือสงสัยเพราะเจอค้นกระเป๋าอย่างละเอียดอยู่คนเดียวไง T_T
พ้นจากด่านขาเข้าสิงคโปร์มาได้ ทีนี้ก็สบายละ ก็แค่มาต่อคิวขึ้นรถเมล์กลับไปยังรถไฟใต้ดิน คือรู้แล้วไงว่าบ้านเขาต้องต่อคิว 555 แล้วป้ายรถบ้านเขาก็มีราวกั้นคิวไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยเลยนะ ขึ้นรถได้ คราวนี้ค่ารถดันถูกกว่าขาไปแฮะ ขาไปจ่ายไป 4 SGD แต่ขากลับค่ารถแค่ 2.5 SGD มันมามีปัญหาก็เพราะค่ารถถูกลงนี่ล่ะคร้าบ เขาไม่ทอนตัง ก็แปลว่าต้องจ่ายให้พอดี ไปกัน 5 คน ทุกคนก็นึกว่าค่ารถเท่าเมื่อเช้า ก็เตรียมกันไว้คนละ 4 SGD พอดีแล้ว แต่พอค่ารถถูกลง และเขาไม่ทอน ก็เลยมี 4 คนจ่ายรวมกัน และอีกคนไม่มีเศษจ่าย.... สรุปคือ คนที่ไม่มีเศษก็ไม่ได้จ่ายแฮะ พอจะจ่ายเขาตอนลง เขาก็ไม่เอาซะงั้น (โหยอิจฉาอะ ) #อย่างนี้ก็ได้หรอ
คนที่ไม่ได้จ่ายก็รอดตัวไป แต่อิ 4 คนที่จ่ายรวมกันนี่สิ สรุปแล้ว ดันมามีปัญหาเงินทอนกันซะงั้น ซึ่งกลายเป็นปัญหาคณิตศาสตร์ระดับโลกที่ดูเหมือนสมองมนุษย์สองคน จะไม่สามารถแก้มันได้เลยทีเดียว จนสรุปแล้ว ปัญหาเงินทอนค่ารถแสนปวดหัวนี้ ก็ต้องเอากลับมาเข้าที่ประชุมตอนถึงโรงแรม และกว่าจะได้ข้อสรุป ก็ต้องใช้กระบวนการ reverse engineering ย้อนความเก่าเท้าความเดิม จำลองสถานการณ์กลับไปตั้งแต่จุดเริ่มต้นใหม่ แล้วค่อยๆ กระจายเงินทอนด้วยวิธีที่ถูกต้อง.... เห้อกว่ามันจะเคลีย มีปัญหากระทั่งเงินทอนค่ารถ 5555
การเดินทางขากลับของวันนี้นอกจากปัญหาเล็กๆ น้อยๆ แล้ว โดยรวมก็ต้องถือว่าราบรื่น เพราะแค่ลงรถเมล์ ต่อ SMRT แบบยาวๆ รวดเดียวถึงโรงแรมเลย มันก็ไม่มีอะไรให้ดราม่ากันได้อีกแล้ว ถึงโรงแรมก็มาเคลียเรื่องเงินกัน เนื่องจากรวมเงินมาเลจ่ายที่ร้านของฝากกันไปก่อน เลยต้องกลับมาเคลียกันว่าใครค้างอะไรเท่าไหร่ จ่ายเป็นเงินมาเลเซียไป แต่ข้าพเจ้าได้ THB กลับมาซะงั้น ซึ่งวันนั้นค่าเงินก็ค่อนข้างลง รู้งี้มาเคลียวันที่ค่าเงินขึ้นๆ ดีกว่า
จบวันที่สองของทริปแต่เพียงเท่านี้ .
. . . .
z...z...z...z...z...z