สิงคโปร์ แบบ... ไม่โปร
เริ่มกันโดยเอาเพลงเพราะๆ มาแปะไว้ก่อน ถ้าหากบล็อกนี้มันจะน่าเบื่อหรือไม่ได้เรื่องประการใด อย่างน้อยๆ อ่านไป ฟังเพลงเพราะๆ ไป บล็อกมันก็คงดูดีขึ้นสัก 14.28571% แหละน่าาา.... >_<
หนทางหมื่นลี้ เริ่มต้นที่ก้าวแรก
千里之行,始于足下
สุภาษิตจีนบทนึงที่ดูจะเหมาะสำหรับการเริ่มต้นบล็อกนี้เป็นอย่างดี cr: lookaumlaoshi.wordpress.com
การก้าวสู่โลกกว้างของผู้เขียนในบล็อกนี้ก็เช่นกัน หากไม่เริ่มต้นจากก้าวแรก เราจะมีก้าวต่อๆ ไปได้อย่างไร รวมถึงการเริ่มเขียนบล็อกนี้ด้วย
บล็อกนี้จะเป็นบล็อกรีวิวการท่องเที่ยวต่างประเทศของผู้เขียนนะครับ แต่เนื่องด้วยที่เป็นการ (ลอง) เขียนรีวิวการท่องเที่ยวครั้งแรก ก็เลยมีประเด็นยิบย่อย โน่นนี่นั่น ที่เห็นสมควรว่าควรเก็บเป็นบันทึกไว้เสียหน่อย คือถ้ามีทริปถัดๆ ไป ก็คงไม่ต้องร่ายยาวเป็นมหากาพย์กันแบบนี้แล้วล่ะ ฮาฮา
ถ้าใครมีเวลา คิดว่าไม่มีอะไรทำ คิดว่าชีวิตนี้บางทีก็ต้องการเสพอะไรที่มันไร้สาระดูบ้าง ก็เชิญอ่านกันได้เลยครับ ว่าผู้เขียนจะไปไหน ไปอย่างไร และไปแล้วโอเคไหม
และเนื่องด้วยบล็อกนี้มันยาว (ยาวมาก ยาวที่สุด) เราจึงเห็นควรว่ามันต้องแบ่งออกเป็นหลายๆ โพสต์แล้วล่ะ ดังนั้น ก็เชิญเลือกเสพเฉพาะหัวข้อที่สนใจ หรือถ้าว่างจริงๆ จะไล่อ่านทั้งหมด ก็เชิญกันตามสบายคร้าบบบบ ~
แต่ถ้าไม่ได้อยากรู้อะไรมากมาย ขออ่านแค่สรุปสั้นๆ ง่ายๆ ได้ใจความมีไหม ก็อ่านบทสรุปของทริปนี้ได้ด้านล่างเลย
- EP 0.0 : Intro ที่มา ก่อนจะได้ที่ไป
- EP 0.5 : เตรียมตัว
- EP 0.9 : ฉันจะบิน...
- EP 1.0 : Day 1 ครึ่งวันแรกในสิงคโปร์
- EP 2.0 : Day 2 ไปเที่ยว Lego Land กันเถอะ (ความสนุกบางทีก็ไม่ได้อยู่ในสวนสนุก)
- EP 3.0 : Day 3 Universal Studios ใครๆ ก็ไปกัน (ตูก็ด้วย)
- EP 4.0 : Day 4 เที่ยวไปในสิงคโปร์ แบบ.... ไม่โปรเอาซะเลย
- EP 5.0 : Day 5 เก็บตก และ... ลาจาก
. . . . . . .
ที่มาที่ไป
ทริปการเดินทางท่องเที่ยวไปยังต่างประเทศครั้งแรกของผู้เขียนนี้ เกิดขึ้นได้ก็ อาจจะต้องถือว่าเป็นความบังเอิญ เพราะโดยส่วนตัว ก็ไม่คิดจะเดินทางไปต่างประเทศอยู่แล้ว ยิ่งไปคนเดียวยิ่งไม่ต้องพูดถึง (7-Eleven หน้าบ้านตูยังไม่เคยไปเล้ย) ขาดปัจจัยหลายๆ อย่าง ทั้งทุนทรัพย์ ทั้งเพื่อนร่วมเดินทาง ดังนั้นทริปครั้งนี้ที่เกิดขึ้นมาได้นี่ ก็ต้องนับว่าเข้าใกล้ความบังเอิญไปมากเชียวล่ะ
ที่มาเริ่มต้นจากการคุยกันถึงภูกระดึง ว่าเป็น landmark ที่นึงที่ชีวิตนี้ผู้เขียนเองอยากไปให้ได้สักครั้ง (แน่นอนว่าขึ้นเองโดยไม่เพิ่งกระเช้า ) 'ผู้ใหญ่ใจดี' ที่ผู้เขียนคุยด้วย ก็สนับสนุนบอกว่าเอาสิ เดี๋ยวจะช่วยออกค่าใช้จ่ายให้ ให้ชวนเพื่อนๆ ทั้งปกติและคนพิการไปเที่ยวด้วยกัน แต่พอคุยไปคุยมา ภูกระดึงเอง ก็มีเงื่อนไขหลายอย่างที่เราไม่พร้อม หลักๆ ก็ความฟิตของร่างกายนี่แหละ ก็เลยมองหาสถานที่ใหม่กัน แล้วก็ไปเรื่อย (คือผู้เขียนเป็นพวกได้คืบจะเอาสอก) จนจากภูกระดึง เราก็หลุดไปจนถึง Lego Land @ Malaysia ได้อย่างไรก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน ฮาาา จนสรุปได้ว่า ถ้าไหนๆ ก็ไปมาเลเซียแล้ว ก็ขอแถมสิงคโปร์ด้วยเลยแล้วกัน ปักหลักที่สิงคโปร์สะดวกกว่าในหลายๆ อย่าง แล้วก็แวะไปเที่ยว Lego Land @ Malaysia กันวันนึง เพราะมันอยู่ติดกันแค่นั้นเอง
ดราม่าแล้ว ดราม่าเล่า
ทริปนี้ที่ใช้ชื่อบล็อกว่า "แบบ... ไม่โปร" มันก็มีที่มาของมันจริงๆ เนื่องจากอาจจะเป็นการไปต่างประเทศครั้งแรก อาจจะเป็นการรวมเพื่อนๆ (ทั้งพิการและคนปกติ) รวมหัวกันไปเที่ยวไกลๆ และหลายวันเป็นครั้งแรก (ที่ต้องจัดการทุกอย่างกันเอง) มันก็เลยมีแต่ความตะกุกตะกัก ปัญหาดราม่า กันไม่เว้นแต่ละช่วงแต่ละตอน
เอาแค่อย่างแรกเรื่องวันเวลา พอมาถึงวัยทำงาน แค่การจะหาเวลาว่างให้ตรงกัน หลายคนก็ต้องมีเรื่องการลางานหยุดงานเข้ามาเป็นเงื่อนไข พอมาเจอกับตัวเข้า ก็ไม่แปลกใจที่เคยได้ยินคนเขาบ่นว่า พอเรียนจบแล้ว เพื่อนๆ ก็เหมือนต่างคนต่างไป ก็ด้วยเงื่อนไขชีวิตที่มีภาระจากการทำงานของแต่ละคนแหละนะ จะให้เฮไหนเฮนั่น เหมือนสมัยเรียนหนังสือ ที่ไม่ต้องใส่ใจอะไรมาก นอกจากสอบให้ผ่าน มันก็คงจะไม่ได้แล้ว
ตกลงเรื่องวันเวลาแล้ว ก็ยังมีปัญหาเรื่องคนอีก ซึ่งอันนี้โดยส่วนตัวก็บอกตรงๆ ว่า ไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลที่อ้างอิงจากอารมณ์เท่าไหร่ โอเคไปได้เพราะ 1 2 3 ไปไม่ได้เพราะ 1 2 3 อันนี้เราคุยกันได้ แต่พวกที่ทีแรกก็โอเคไป ไปได้ ไม่ติดอะไร แต่พอจู่ๆ ก็เกิดนอย เกิดความไม่เสถียรทางอารมณ์อะไรไม่รู้ขึ้นมา แล้วก็บอกว่าไม่ไปแล้ว ขอถอนตัว ยิ่งในเวลาที่ทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้แล้วเนี่ย เอ่อ.... คิดอะไรอยู่วะครับ (?)
อีกปัญหาที่เหมือนจะไม่เป็นปัญหา แต่ก็เป็นปัญหา ก็คือเรื่อง "เงิน" คือในเมื่อเราก็คุยกันแล้วว่าเราจะไปเที่ยวงี้ๆ ค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ก็ตกลงกันแล้ว แถมเวลาที่คุย ก็คุยกันในระยะเวลาหลักหลายเดือน แต่พอถึงเวลาจริง ก็ดูเหมือนว่าหลายคน ไม่ได้เตรียมความพร้อมด้านการเงินให้เพียงพอ อุ่นใจแก่การไปเที่ยวอย่างไม่ต้องซีเรียดกันเลยแฮะ...
แต่ข้อสำคัญที่สุดของการแก้ปัญหาทุกปัญหาก็คือ เราต้องยอมรับก่อนว่าเรามีปัญหา แล้วก็หาทางออก ถ้ามีปัญหาแล้วมัวแต่เก็บไว้ หวังว่าปัญหามันจะแก้ไขตัวเองได้ ซึ่ง.. มันก็อาจจะได้แหละ แต่ก็อาจไม่ทันกาล ดังนั้น เราจึงดึงทุกปม ทุกประเด็นที่ดูว่าเป็นปัญหา เอามากอง แผ่กันในที่ประชุม (ซึ่งในที่นี้ก็คือ Facebook group chat อะนะ) มันก็อาจจะดูว่าดราม่ากันไปหน่อย แต่เราก็ต้องทำเพื่อให้ทริปมันเดินหน้าต่อไปได้นี่นะ และในที่สุดมันก็เป็นไปได้จริงๆ
เริ่มออกเดินทางกันเถอะ
Credit photo from gulfstream.com
ทริปนี้นอกจากจะเป็นการไปเที่ยวต่างประเทศครั้งแรกของผู้เขียนแล้ว มันก็ยังเป็นการขึ้นเครื่องบินครั้งแรกของผู้เขียนอีกด้วย คิดดูว่าชีวิตนี้ เคยข้องเกี่ยวกับสนามบินแค่ตอนไม่กี่ขวบ (ไปส่งพ่อไปทำงานเมืองนอก) ครั้งเดียว นอกนั้นก็ไม่เคยไปเหรียบสนามบินอีกเลย ไม่ว่าดอนเมืองหรือสุวรรณภูมิ เพราะนอกจากจะเป็นคนที่ไม่ได้เดินทางไปไหนเท่าไหร่แล้ว ก็ยังมีความคิด (งี่เง่า) ส่วนตัวอีกว่า ไม่อยากขึ้นเครื่องบินโดยสารเชิงพาณิชย์ หุหุ แต่ก็ทำไงได้ ความฝันที่จะขึ้น Private Jet ของเรา ก็คงต้องเป็นแค่ฝันต่อไป (ชาตินี้เอ็งจะได้ขึ้นเร่อ?) งานนี้ก็เลยจำใจต้องใช้บริการเครื่องบินเชิงพาณิชย์ครั้งแรกจนได้
สายการบินที่พวกเราใช้บริการคราวนี้คือสายการบิน Tigerair ซึ่งการเดินทางของผู้เขียน จากบ้าน จนไปถึงตอนขึ้นเครื่องนั้น ก็ราบรื่นดี อาจจะต้องบอกว่าโชคดีด้วยซ้ำ ที่ไม่เจอเหตุ AirportLink ไฟดับหรือมีเหตุอื่นใด ให้ล่าช้า ความรู้สึกเมื่อได้ไปเหยียบสุวรรณภูมิครั้งแรกก็ไม่ได้มีอะไรไปกว่า "ทำไมมันวุ่นวายจังฟระ?" เป็นที่ที่คนเยอะจริงๆ และการ check in ผ่านเครื่องสแกนกระเป๋าไปขึ้นเครื่อง ทุกอย่างก็ถือว่าไม่มีอุปสรรคอะไรให้ปวดหัว
การเดินทางทุกอย่างราบรื่น จนเครื่องลง ณ สนามบินชางงี (Changi Airport) ซึ่งโดยส่วนตัวแอบรู้สึกว่า สนามบินของสิงคโปร์นี่ดูโอเคกว่าสุวรรณภูมิบ้านเราอีกนะ (แต่เพื่อนบางคนก็แอบเห็นแย้งว่า สุวรรณภูมิบ้านเราดูหรูกว่า) แต่ที่แน่ๆ หลังจากลงจากเครื่อง ผู้คนก็วุ่นวายกันแป๊บนึง จากนั้นก็แทบจะรู้สึกว่า มีแค่กลุ่มของผู้เขียนนี่แหละ ที่มาใช้บริการ คือคนผ่านไปผ่านมาน้อยมาก จนมาถึง ตม. เลย
day 1 ครึ่งวันแรกในสิงคโปร์
กิจกรรมแรกหลังจากเราผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง และถือว่ามาอยู่ในสถานะนักท่องเที่ยวยังต่างประเทศแบบเป็นทางการแล้วก็คือ การตามล่าหาซื้อซิม ซึ่งซิมที่เราดูมาก็เป็นของค่าย Star Hub ซึ่งราคา 15 SGD และให้อินเทอร์เน็ตปริมาณถึง "100 GB" แต่พอทดลองใช้แล้ว ก็อาจจะเป็นที่เราอ่านเงื่อนไขไม่ดีเอง ถึงจะให้ปริมาณมาเยอะเฟ่อ แต่ดันบล็อกพวก streamming ทุกสิ่งอย่าง Youtube Radio Online ใดๆ ล้วนถูกบล็อกหมด เอ่อ... พี่จะให้ผมใช้แต่ text + browser 100GB นี่นะครับ? ดังนั้นที่อยากจะแนะนำก็คือ หากจะซื้อซิมของเจ้าไหนก็ควรศึกษาเงื่อนไขอย่างละเอียดเสียก่อน ไม่งั้นก็อาจจะเจอความเฟลแบบผู้เขียนได้ >_<
ถัดจากการหาซื้อซิม ซึ่งก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าจะผ่านกันมาได้ เนื่องจากมีอุปสรรคด้านการเปลี่ยนซิม การตั้งค่าอะไรกันพอสมควร เครื่องของผู้เขียนนี่แหละ ดันยังใช้ไม่ได้อยู่คนเดียวเลย เหอๆ ถัดไปเราก็ไปหาซื้อ Singapore Tourist Pass : STP กัน ซึ่งมันก็คือบัตรโดยสารรถเมล์ รถไฟใต้ดิน (SMRT) แบบเหมาจ่ายหรือบุฟเฟ่นั่นเอง ซึ่งเอาจริงๆ เราก็ใช้มันขึ้นแค่ SMRT อย่างเดียวแหละ แต่ก็ถือว่าใช้คุ้มนะ คือนั่ง SMRT หลงกันซะคุ้มเลย
ซิมพร้อม บัตร STP พร้อม เราก็ได้เวลาเผ่นจากสนามบินไปยังโรงแรมกันแล้ว โดยทีแรกก็เข้าใจว่า เราจะ check in โรงแรมได้หรือเปล่า เนื่องจากเที่ยวบินมาถึงตั้งแต่ยังไม่บ่าย ก็ไม่แน่ใจว่าทางโรงแรมให้ check in ได้กี่โมง แต่จากที่เอื่อยเฉื่อยอยู่ที่สนามบิน ไหนจะถ่ายรูป ซื้อซิมเปลี่ยนซิม กว่าเราจะถึงโรงแรม ก็บ่ายสามโมงเข้าไปแล้ว
ดูเหมือนความตื่นตาอย่างแรกที่สิงคโปร์ให้แก่พวกเราก็คือ การที่รถไฟใต้ดินของบ้านเขา มีทั้งมุดลงดิน แล้วก็โผล่ขึ้นมาบนดินได้นี่แหละ เป็นอะไรที่ในไทยเรายังไม่มี 55 และโดยส่วนตัว ก็มีความรู้สึกว่า SMRT นี่วิ่งค่อนข้างเร็วกว่า MRT บ้านเราพอสมควรเลยนะ หรือเพราะสายที่นั่งจากสนามบินเข้าเมืองนั้น เป็นระยะทางที่ทำความเร็วได้ เพราะสถานีอยู่ห่างกันก็ไม่ทราบได้ แต่ความรู้สึกคือ โหยมันวิ่งเร็วจัง แต่พอนั่งเที่ยวถัดไป ความรู้สึกนี้ก็หายไปแล้วล่ะ
พอถึงโรงแรม check in จ่ายเงินเรียบร้อย ก็มีอีกสิ่งนึงที่ทำให้แปลกใจคือ ในสิงคโปร์นี่ หลายอย่าง เขาออกแบบมาให้คนพิการเข้าถึงได้ (universal design) ดีจังเลยแฮะ จริงๆ ก็สังเกตตั้งแต่ที่สนามบินและในสถานี SMRT แล้วล่ะ ว่าเขามีเบรลล์บล็อก และในลิฟต์ ก็มีทั้งเสียง มีทั้งปุ่มกดที่มีอักษรเบรลล์ ซึ่งในโรงแรมนี่ก็มีลิฟต์แบบนั้นเช่นกัน (แต่ในโรงแรมไม่มีเบรลล์บล็อกนะ ฮาฮา)
ไม่รู้ว่าโชคดีหรือเปล่า พวกเราได้ห้องชั้นบนสุด แถมของผู้เขียนกับเพื่อน ยังได้ห้องมุมสุดอีกต่างหาก คือถ้ามองเห็นก็คงถือว่าโชคดีที่ได้ห้องวิวสวย (แต่นี่ก็ไม่เห็นไง) แต่ถ้ามองเชิงความปลอดภัยล่ะก็... ถ้ามันเกิดอะไรขึ้นนี่ ความเสี่ยงตูก็มากสุดๆ เลยนะ :O
ออกไปสัมผัสความเป็นสิงคโปร์กันดีกว่า
ภารกิจของพวกเราสำหรับวันแรกก็ไม่มีอะไร แค่เราต้องไปหาซื้อบัตรเข้า Universal Studios กันไว้สำหรับวันที่ 3 เท่านั้นเอง ตารางจึงไม่ได้รีบร้อนอะไรมาก ปล่อยให้สาวๆ เข้าห้องไปจัดการข้าวของกันพักใหญ่ สี่โมงกว่าได้ เราก็รวมพลและเริ่มเดินทางทริปนี้ของเราในสิงคโปร์กันอย่างเป็นทางการเสียที
การเดินทางไปยังร้าน Seawheel ไม่ได้ยากเย็นอะไร เพราะเราใช้ข้อมูลจากเว็บ สองบาท ก็สามารถไปถึงได้ (ถึงจะต้องถามคนที่ตึก People's Park ว่าร้านอยู่ชั้นไหนก็เถอะ) และคุณมัส ซึ่งเป็นพนักงานคนไทยที่ประจำอยู่ที่นั่น ก็ให้บริการดีสมกับที่อ่านมาเช่นกัน นอกจากเราจะได้ตั๋ว Universal Studios พร้อมกับคำแนะนำถึงวิธีการเดินทางไป Universal แล้ว เราก็ยังได้ลายแทงร้านข้าวมันไก่ ซึ่งถือเป็นเมนูยอดฮิตที่ใครที่มาสิงคโปร์ ก็ต้องไปกินข้าวมันไก่สิงคโปร์กันแทบทุกคน แถมมาอีกด้วย ดังนั้นเป้าหมายถัดไปของพวกเราก็จึงเป็น ข้าวมันไก่สิงคโปร์ @ศูนย์อาหาร Maxwell
มาถึงสิงคโปร์ ก็ต้องกินข้าวมันไก่สิงคโปร์เสียหน่อย
ถึงจะได้รับคำแนะนำ (ลายแทง) ในการเดินทางไปยังศูนย์อาหาร Maxwell ที่ว่าแล้ว (ก็ยืนมุมฟังกันทุกคนนั่นแหละ) แต่ก็ยังมีบางคนหลงทางกันจนได้ เรียกว่าหลงตั้งแต่ก้าวแรกๆ ที่มาสิงคโปร์เลยได้ไหมเนี่ย? แต่ก็ต้องขอบคุณเทคโนโลยีที่เรียกว่า 'โทรศัพท์' และซิมของ Star Hub ที่ถึงเน็ตจะโปรมีเงื่อนไขแปลกๆ แล้ว แต่เขาก็ยังให้เรามีเงินติดซิม ตั้ง 18 เหรียญ พอที่จะใช้โทรตามเวลามีคนหลงแบบกรณีนี้กันได้นี่แหละ
หลงไปไม่นาน หลงไปไม่ไกล ในที่สุดก็กลับมาเจอกันจนได้ ณ หน้าวัดพระเขี้ยวแก้ว (ไม่ได้ถึงขั้นมีใครเข้าไปบนขอให้เพื่อนกลับมาถูกใช่ไหม?) พวกเราก็เลยได้ไปหาข้าวกินกันเสียที หลังจากที่มื้อเช้าใน food court ในสนามบินสุวรรณภูมิแล้ว จนป่านนี้ ก็ยังไม่มีใครมีอะไรตกถึงกระเพาะกันเลย
ตัดสรุปหลังจากข้าวมันไก่ของทุกคนเกลี้ยงจานเลยก็แล้วกัน ถามว่าอร่อยไหม อันนี้เรื่องรสชาติก็เป็นรสนิยมส่วนบุคคลอะนะ แต่อาจจะด้วยความหิว หรือด้วยความงก (ข้าวมันไก่จานละตั้ง 5 SGD แน่ะ) ทุกคนก็กวาดจนเกลี้ยงจานกันอยู่ดี ความเห็นโดยรวมๆ คือ ไก่เนื้อนิ่มๆ ฉ่ำ แต่รสชาติน้ำจิ้มคงไม่แซ่บถูกปากคนไทยนัก โอเค งั้นเดี๋ยวเราคงต้องลองข้าวมันไก่เจ้าอื่นๆ เพิ่มเติมกันต่อไป ว่าจะมีเจ้าไหนพอสู้กับข้าวมันไก่ประตูน้ำได้หรือเปล่า 55
หลังจากจัดการกับมื้อเย็นกันเสร็จแล้ว สาวๆ ก็ยังคงหาโอกาสแชะภาพ ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระทึกกันต่อไป ใช้เวลาที่ยังชิลๆ เฟรชๆ นี้ เดินย่าน Chinatown กันซะหน่อย แต่เราตกลงกันว่า ยังไม่ต้องซื้ออะไร ดูไว้ก่อน เพราะเดี๋ยวคงได้กลับมาอีกวันหลัง ภารกิจของคืนนี้ก็เลยมีแค่เดินสำรวจสถานที่ + หามุมถ่ายรูปกันเท่านั้นเอง
Garrett popcorn เป็นเหตุ
ความสนุกสนาน (หรือหายนะ) ของวันแรกในสิงคโปร์ของพวกเรา มันเริ่มต้นเมื่อตอนขากลับโรงแรมนี่ล่ะครับพี่น้อง เพราะเราดันคุยกันไว้ตอนกินข้าวว่า หาซื้อ Garrett popcorn ไปกินกันไหมคืนนี้ ก็อิข้าวโพดแบรนด์ดังที่มีขายในไทยแล้วนั่นแหละ แต่การได้มากินที่นี่ ก็ถือเป็นความฟินอีกอย่างอะนะ เพราะเราค้นอากู๋เจอว่า มันมีร้านขายอยู่ที่สถานีนึง ซึ่งเป็นทางผ่านของเราในการนั่ง SMRT กลับโรงแรมอยู่แล้ว ก็เลยวางแผนกันว่าจะแวะลงไปซื้อ แล้วก็ต่อ SMRT กลับโรงแรมกัน ง่ายๆ แต่....
เอาแค่เริ่มต้นจากการหาร้าน Garrett เอง ก็ไม่ง่ายซะแล้ว ขนาดตกลงกันแล้วว่าเราจะไม่หากันเองนะ ขึ้นไปให้ถามเขาเองเลย แต่ถามแล้วเดิน ถามแล้วเดิน อยู่ 4-5 ตลบได้ กว่าเราจะเจอร้าน เหนื่อยรอบแรกกันไปแล้ว ยังครับยังไม่พอ ด้วยความที่มึนงงวนหลงอยู่บนห้างบน SMRT กันหลายตลบ คุณเพื่อนเราก็ดันเข้าใจว่า นี่ไง เราเดินๆ จนมาถึงสถานีถัดไปแล้ว คือสถานีถัดไปน่ะใช่ครับ แต่มันคนละสายกับสายที่เราต้องนั่งกลับโรงแรม และด้วยความที่ยังใหม่กับ SMRT กันทุกคน ก็ไม่มีคนฉุกคิด (จริงๆ ก็มีแหละ แต่คนอื่นไม่ทันฟัง วิ่งไปก่อนแล้ว) ก็เลยทำให้พวกเราได้ใช้ STP กันอย่างคุ้มค่า เพราะหลงมันตั้งแต่วันแรก กว่าจะรู้ตัว กว่าจะตั้งตัว วางแผนการเดินทางกลับมายังโรงแรมได้ ก็เสียเวลาไปอีกพักใหญ่ ถ้าจะปลอบใจล่ะก็... คงต้องบอกว่า ไม่เป็นไร ถือว่านั่ง SMRT เล่น ก็พอได้แหละมั้ง #แบบนี้ก็ได้เหรอ
Day 2 ไปเที่ยว Lego Land กันเถอะ
อย่างที่บอกว่า เป้าหมายหลักของทริปนี้ของพวกเรา ทีแรกมันอยู่ที่ Lego Land ด้วยซ้ำ ดังนั้น วันแรกในการท่องเที่ยวของพวกเรา (แบบเต็มวัน) จึงจัดไว้ให้กับการไปเที่ยว Lego Land ก่อนเป็นอันดับแรกเลย
ตื่นเช้ามาจัดมื้อเช้ากันที่ food court ข้างโรงแรม ไม่ต้องสงสัยเลยครับ ด้วยความงก เอ้ยประหยัด พวกเราจึงตัดค่าอาหารเช้าของโรงแรมออก เลยต้องซมซานหามื้อเช้าทานกันวันต่อวันนี่แหละ เหอๆ
จากนั้นพวกเราก็ต้องใช้บริการ SMRT กันอีกครั้ง เพื่อไปต่อรถเมล์ไปยังมาเลเซีย และก็ต่อไปจนถึง Lego Land เลยแหละ เพราะเป็นวิธีการเดินทางที่ประหยัดที่สุดแล้ว ใครสนใจวิธีการโดยละเอียด เชิญอ่านได้จาก กระทู้นี้
การเดินทางก็ถือว่าค่อนข้างราบรื่น ผ่าน ตม. ทั้งออกจากสิงคโปร์ และเข้ามาเลเซียได้อย่างไม่มีปัญหาใด ประกอบกับคนน้อยด้วยแหละ เราเลยไม่เสียเวลาในด่านกันมากนัก ใช้เวลาลุ้น + รอรถบัสที่จะพาเราไปยัง Lego Land ในฝั่งมาเลเซียอีกพักนึง ในที่สุดพวกเราก็ไปถึง Lego Land กันจนได้....
ความประทับใจอย่างนึงคือ รถบัสที่พาเราไปยัง Lego Land ซึ่งก็ดูว่าจะเป็นรถโดยสารทั่วไปนี่แหละ แต่... ด้วยความที่เป็นวันธรรมดาหรืออย่างไรมิทราบได้ จึงมีแค่กลุ่มของพวกเราแค่ 5 คน บนรถ ทั้งขาไปและกลับ กับค่าโดยสารเพียง 2 RM จึงให้ความรู้สึก V.I.P. มากกก 55
การเล่นเครื่องเล่นใน Lego Land น่าเสียดายว่าการวางแผนไม่ค่อยดี เราจึงเก็บเครื่องเล่นกันไม่ครบ แถมไม่รู้ด้วยว่าถ้าขอใบไว้สแตมป์แล้วเก็บเครื่องเล่นให้ครบ จะได้ของที่ระรึกด้วย พลาดเลย แต่บรรยากาศใน Lego Land เอง ก็ไม่ค่อยเอื้อสักเท่าไหร่ เพราะถ้าไม่แดดร้อน (ร้อนอย่างที่หลายคนที่รีวิวบ่นไว้จริงๆ หลายปีผ่านไป ต้นไม้ก็ไม่เห็นจะเยอะขึ้นเลย) เดินๆ ไปก็เจอฝนตก (ซะงั้น) บางช่วงก็เลยต้องวิ่งหาที่หลบฝนกันบ้างเหมือนกัน
เครื่องเล่นที่ประทับใจก็ได้แก่ Dino Island ซึ่งก็คือล่องแก่งนี่แหละ ซึ่งก็ได้เล่นซ้ำ 2 รอบ ให้ (เปียก) สระใจกันไปเลย
หรือจะเป็น The Dragon ซึ่งคงเป็นเครื่องเล่นที่เสียวและสนุกที่สุดใน Lego Land แล้วล่ะ อันนี้ก็ชอบมากจนอยากจะซ้ำเช่นกัน แต่เพื่อนๆ ไม่มีใครยอมเล่นด้วยเลย
เสียดายที่ไม่ได้เข้าไปชม LEGO ® Studios ซึ่งเป็นโรงหนัง 4D ซึ่งหลายคนก็ชมว่าระบบดีอยู่นะ >_<
โดยส่วนใหญ่เครื่องเล่นอาจจะไม่ได้เหมาะสำหรับหนุ่มๆ สาวๆ หรือวัยผู้ใหญ่นัก เพราะเขาออกแบบมาไว้หลอกเด็ก เอ้ยสำหรับเด็กเล็ก ถึงเด็กโตหน่อยมากกว่า โดยเฉพาะ ฐานที่มี Lego ให้ต่อเล่น บางฐานก็ให้ต่ออย่างอิสระ แต่บางฐาน ก็มีโจทย์ยากๆ เช่นการโปรแกรมให้ Lego หุ่นยนตร์เดินได้ ซึ่งก็ต้องเล่นกันทั้งครอบครัว ฐานพวกนั้นพวกเราก็ไม่ได้เข้าไปเล่นเลยเช่นกัน
แต่ถึงจะดูว่าไม่มีอะไรๆ แต่สาวๆ ก็ใช้เวลาถ่ายรูป และอยู่ใน Lego Land กันตั้งแต่สายๆ จนค่ำ กว่าจะกลับออกมาก็เกือบหกโมงแล้ว แถมตอนขากลับยังมีเรื่องตื่นเต้นให้ได้ใจหายใจคว่ำกันอีกหลายตลบ (อ่านได้จากบล็อกฉบับเต็ม) กว่าจะได้ขึ้นรถกลับออกมา หลังจากพักกินข้าวเย็นและช็อปขนมมาเป็นของฝากกันแล้ว ก็ได้รถเที่ยว 20:00 น. เข้าไปแล้ว
กลับมาถึงสิงคโปร์ ผ่านด่านได้อย่างง่ายดายผิดคาด นั่งรถกลับมาโรงแรมก็ไม่มีอะไรผิดพลาด (ก็แค่นั่งย้อนทางเดิมน่ะ) วันที่ 2 ของเราในการท่องเที่ยวทริปนี้ ก็จบลงแต่เพียงเท่านี้....
Day 3 Universal Studios ใครๆ ก็ไปกัน
วันที่ 3 ของกลุ่มเรา ก็เป็นกิจกรรมที่ค่อนข้าง basic สุดๆ สำหรับคนที่มาเที่ยวสิงคโปร์ นั่นก็คือการไปหาความสนุกหวาดเสียวจากสวนสนุกชื่อดังอย่าง "Universal Studios" นั่นเอง
พวกเราเลือกการเดินทางแบบที่ประหยัดที่สุด (อีกแล้วครับท่าน) ซึ่งก็คือการเดินข้ามไปยังเกาะ Sentosa ด้วย Roadwalk ซึ่งก็ยังดีที่มีทางเลื่อนและหลังคาให้ตลอดระยะทางครึ่งกิโลเมตรกว่าๆ สาวๆ ก็ใช้เวลานี้เก็บภาพกันอีกตามระเบียบ แถมเรายังโชคดีไปอีก เพราะจริงๆ ต่อให้เดินมา ก็ยังต้องเสียตังค่าเข้าเกาะ Sentosa คนละ 1 SGD แต่ได้ยินมาว่า จนถึงสิ้นปี 2016 นี้ เขายกเว้นค่าผ่านทางสำหรับคนเดินที่ว่านี่ด้วยแหละ แปลว่าพวกเราก็เลยไม่เสียค่าเดินทางสำหรับวันนี้แต่อย่างใด
สำหรับ Universal Studios คงไม่ต้องเล่าอะไรกันให้มาก หลายคนคงอ่านรีวิวกันมาจนเบื่อแล้ว เอาเป็นว่าพูดถึงเฉพาะเครื่องเล่นที่ชอบแค่นั้นแล้วกัน ก่อนอื่นต้องแอบยอมรับก่อนว่า ก่อนมา อ่านรีวิวมาก็หลายรีวิว ทำให้เกิดอาการ "ป๊อด" กับเครื่องเล่นใน Universal นี่พอสมควร เพราะอันโน้นก็เสียว อันนี้ก็เสียว โอ้ยยยย ตูจะรอดมั้ยยยย แต่พอมาเล่นจริง เออ มันก็เล่นได้ทุกอย่างนี่นา ไม่เห็นจะเสียว (เว่อ) อย่างที่หลายคนรีวิวไว้เลย
ความเห็นของผู้เขียน ก็คงไม่ต่างจากที่คนอื่นรีวิวไว้เท่าไหร่ เครื่องเล่นที่แนะนำก็ได้แก่
- TRANSFORMERS The Ride : The Ultimate 3D Battle อันนี้นั่งสนุกๆ ไม่เสียวอะไร แต่เอฟเฟคประกอบ กับหนัง 3D ที่ได้ดู (ผ่านแว่น) ก็ทำให้เราสนุกสนานได้ไม่ยาก
- Enchanted Airways อันนี้ไม่มีอะไรมาก มันคือรถไฟเหาะดีๆ นี่แหละ ใครที่ need ความหวาดเสียวเครื่องเล่นนี้ก็ตอบสนองคุณได้ดีทีเดียว (แต่ก็ยังไม่สุดนะ)
- Jurassic Park Rapids Adventure อันนี้ถือว่า "แนะนำอย่างยิ่ง" เป็นเครื่องเล่นที่เล่นได้ทุกคน เสียว (นิดหน่อย) แต่ฉากโดยรวม ถือเป็นการล่องแก่งที่สมควรต่อคิวเข้ามาชมเลยแหละ โดยเฉพาะคนที่ชอบหนัง Jurassic park เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จะพลาดได้ไง
- Revenge of the Mummy อันนี้ก็ถือเป็นอีกเครื่องเล่นที่อยากแนะนำ ถ้าคุณใจกล้าพอ เพราะเป็นรถไฟเหาะในร่ม คือทั้งเสียวทั้งมืด แต่จริงๆ ก็ไม่ได้มืดสนิท เพราะในนั้นจะเป็นทีมของหนัง The Mummy มีเนื้อเรื่อง เหมือนเราเข้าไปอยู่ในฉาก ก็แอบมีเอฟเฟคประกอบพอสมควร แต่ก็น้อยกว่า Transformers: The Ride อะนะ ใครที่เคยเล่นรถไฟตะลุยจักรวาลที่ Dream World บอกได้เลยว่าอันนี้คือเวอร์ชันอัพเกรด 55
- Battlestar Galactica อันนี้ถือเป็น hilight สุดๆ แล้วของสวนสนุกแห่งนี้ แต่คุณก็ต้องใจกล้าพอระดับหนึ่งเช่นกัน เพราะแค่ไปยืนส่อง และรับฟังเสียงกรี๊ดๆๆ จากคนที่เล่นแล้ว คุณอาจจะเกิดความลังเลขึ้นมาก็เป็นได้55 เครื่องเล่นนี้ ผู้เขียนเองไม่ได้เล่น แต่สาวๆ ซึ่งไปเป็นหน่วยกล้าตาย หลังจากเล่นครบทั้งรางสีแดงและรางสีฟ้าแล้ว (เขาว่าอันหลังนี่เสียวขึ้นไปอีก) ก็กลับลงมารายงานว่า "สนุกมากกกกก" อันนี้ก็เชิญลองกันได้นะครับ
เราก็ใช้เวลาอยู่ใน Universal Studios คุ้มอีกเช่นกัน แทบไม่ต่างจากเมื่อวานที่ Lego Land เท่าไหร่ กว่าจะกลับออกมาก็หกโมงกว่า มีแวะนั่งรถ MonoRail ไปชมเกาะ Sentosa ส่วนที่เหลืออีกเล็กน้อย (เล็กน้อยจริงๆ เพราะดูแค่จากบนรถไฟนั่นแหละ) ได้เฉียดเข้าใกล้ Merlion ตัวใหญ่ที่สุดก็เท่านี้... จากนั้นเราก็กลับมายังห้าง Vivo City ซึ่งตอนเช้าสองหนุ่มก็แวะทานข้าวเช้ากันแล้วมื้อนึง มื้อเย็นเราก็มาฝากท้องไว้กับ Food court ที่ห้างนี้อีกครั้ง มื้อเย็นสองหนุ่มจัด Paper Lunch ไปกันคนละเซ็ต
หลังจากทานข้าวเย็น ก็เดินแวะซื้อขนมกันนิดหน่อย และเราก็คุยกันว่า จะลองไปต่อที่ Marina Bay เพื่อชมนิทรรศการ "I Light" ซึ่งก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามันอยู่ส่วนไหนของ Marina Bay แต่ก็ลองถามๆ เขามา จนได้สถานี SMRT ที่เราต้องลง แต่... ดูเหมือนธรรมชาติจะไม่ค่อยเป็นใจ พอโผล่ขึ้นมาบนดินแล้ว เราพบว่า "ฝนตก" ครับพี่น้อง แผนการของเราก็เลยต้องจบลงแต่เพียงเท่านี้.....
Day 4 เที่ยวไปในสิงคโปร์ แบบ... ไม่โปรเอาซะเลย
วันที่ 4 นี่เป็นวันที่เราจะได้เที่ยวสิงคโปร์ แบบเที่ยวกันจริงๆ เป็นวันแรก คือครึ่งวันแรกก็แค่แวะ Chinatown คร่าวๆ ใช่ไหม แล้วก็แวะกินข้าวมันไก่ วันที่สองก็ไปและกลับ Lego Land ซึ่งอยู่ถึงฝั่งมาเลเซียแบบไม่ได้แวะรายทางที่ไหนเลย ส่วนเมื่อวาน หลังจากออกมาจาก Universal Studios แล้ว ก็มีความพยายามจะไปเที่ยวต่อ แต่ธรรมชาติไม่เป็นใจ เราก็อดอีก วันนี้นี่แหละที่จะได้รู้จักสิงคโปร์แบบที่เป็นสิงคโปร์จริงๆ กันเสียที
เริ่มแรกจากความไม่ได้ตั้งใจ เนื่องจากวันนี้เราต้องซื้อบัตร STP ใหม่ (ใบแรกซื้อมา 3 วัน ซึ่งสูงสุดที่จะซื้อได้แล้ว พอหมดอายุก็ต้องเอาใบเก่าไปคืนแล้วซื้อใหม่น่ะ) และเคานต์เตอร์ขายบัตรที่สถานี SMRT เขาดันเปิดตอนเที่ยงแฮะ พวกเราซึ่งก็นัดกันค่อนข้างสาย (คือเหนื่อยสะสมมาสองวันละ) ก็เลยมีเวลาเหลืออยู่ช่วงที่ต้องรอเคานต์เตอร์ขายบัตร STP เปิดนี่แหละ เลยทำให้เราได้ลองไปสำรวจรอบๆ โรงแรมที่เราพักกัน (อยู่มาจนจะกลับวันพรุ่งนี้ละ เพิ่งจะมาเดินสำรวจอะคิดดู)
ปรากฏว่า เราได้บรรลุอีกหนึ่งภารกิจที่เราตั้งใจกันไว้ตั้งแต่ก่อนมา ว่าจะต้องหาเจ้าสิ่งนี้ที่สิงคโปร์ให้เจอให้จงได้ เจ้าสิ่งนี้ที่ว่านั่นก็คือ "ไอติมเวียเน็ตต้า" นั่นเอง 55 พวกเราเจอมันขายอยู่ในร้านสะดวกซื้อ FairPrice ข้างๆ โรงแรมของเรานี่เอง แต่ด้วยราคาที่ค่อนข้างโหด ตั้ง 14.5 SGD แน่ะ ก็เลยตัด(สิน)ใจซื้อกันไม่ลง สรุปแล้ว ภารกิจเวียเน็ตต้าของพวกเรา ก็เลยเป็นได้แค่ภารกิจตามหา แต่... ไม่ได้ทาน T___T
จากนั้นเราก็ไปนั่งสุมหัวประชุมถึงแผนการเดินทางสำหรับวันนี้กัน เพราะยังไม่มีแผนอะไรเลย นอกจากที่แรกที่เราจะไปกัน โดยการวางแผนก็ยึดเอาเส้นทางของรถไฟใต้ดิน SMRT เป็นหลัก ก็นั่นแหละซื้อแบบบุฟเฟ่มาแล้ว ก็ต้องใช้ให้คุ้ม ปัญหามันอยู่ตรงนี้แหละครับ ด้วยความที่เราก็ไม่มีใครเชี่ยวชาญหรือศึกษาข้อมูลมาอย่างละเอียดอะไร ยกเว้นสถานที่ที่คุยกันมาไว้แล้วว่าจะไป เช่น Lego Land หรือ Universal Studios สถานที่นอกนั้น ก็เหมือนว่าอยู่นอกแผน (จริงๆ คือไม่มีแผน) ก็เพิ่งแค่แผนที่จากหนังสือท่องเที่ยวเล่มนึงเป็นหลัก เทียบสถานที่กับชื่อสถานี SMRT ก็ mark จุดกันเลย ผลคือ "หลงสิครับ" หรือบางที่ก็ไม่ได้เจอส่วนที่เราอยากไปกันจริงๆ
เราเริ่มต้นการเดินทางวันนี้กันด้วยไปทานบักกุ๊ดเต๋ที่ร้านเจ้าดัง ชื่อว่าร้าน Song Fa มื้อนี้เป็นมื้อที่ทุกคนทุ่มทุนมาก จ่ายไปกันคนละเกิน 10 SGD กันเลยทีเดียว โดยส่วนตัวนี่เป็นการลองทานบักกุ๊ดเต๋ครั้งแรก ซึ่งก็เคยได้ยินชื่อมาอยู่บ้างอะนะ ว่าเป็นอาหารที่คนในภาคใต้บ้านเรา นิยมรับประทานกัน แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้ไปใต้เลย ดันได้มาลองทานครั้งแรกถึงสิงคโปร์แน่ะ
จริงๆ ก่อนนี้เคยเข้าใจว่าเราน่าจะไม่ค่อยชอบเจ้าบักกุ๊ดเต๋นี่เท่าไหร่ เพราะมีทั้งเครื่องยาจีน ซี่โครงหมู เครื่องใน อะไรๆ ซึ่งเรามิโปรดสักอย่าง แต่พอได้มาลองของจริง อืม... มันก็โอเคนะ เพราะผู้เขียนเลือกเป็นเมนูปลาด้วยแหละ นอกจากจะไม่มีกระดูก (เหมือนซี่โครงหมู) แล้ว ยังราคาถูกกว่าเขาอีกด้วย 55 (แต่มาทราบทีหลังว่า เมนูเนื้อหมูอย่างเดียวก็มี แถมถูกกว่าปลาอีก โอ้ย... แต่ถ้ารู้ก็คงตัดสินใจเลือกปลาอยู่ดี มีความเชื่อว่า "กินปลาแล้วฉลาด" อิอิ)
ข้อดีอย่างนึงก็คือ ถึงราคาจะดูโหด ถ้วยนึงราวๆ 7 SGD แต่เขาให้เราเติมน้ำซุปได้เรื่อยๆ นะ คือเนื้อยังไม่หมด (หรือจะหมดแล้ว) แต่ข้าวยังไม่หมด (หรือจะหมดแล้ว) แต่ยังอยากซดน้ำซุปอยู่ เขาก็มีซุปร้อนๆ (ร้อนมาก) ให้เราเรียกเติมได้ตลอด (น่าจะเติมข้าวได้อีกอย่างนะ ><) ซึ่งเอาจริงๆ เพื่อนๆ ก็ไม่มีใครเติมกันเลย ตัวตั้งตัวตีที่อยากมาทาน ก็ดันสั่งสองถ้วยอยู่แล้ว ก็เลยไม่ได้เติมน้ำซุป มีแต่ผู้เขียนนี่แหละ ยังไงต้องจัดให้คุ้ม ใช้สิทธิ์เติมน้ำซุปอยู่คนเดียว แต่ก็เติมแค่รอบเดียวอะนะ ข้าวมันหมดแล้วง่ะ
เสร็จจากร้าน Song Fa ซึ่งเพื่อนผู้เขียนซื้อผงทำบักกุ๊ดเต๋มาเป็นของฝากด้วยแฮะ เออ เขาก็เข้าใจทำนะ คนกินที่ร้านแล้ว ติดใจ อยากไปทำกินเองที่บ้านรึ ซื้อผงกึ่งสำเร็จรูปจากร้านเราสิ (ขายของได้อีก) แต่เขาก็ตั้งใจ (ขายของ) จริงๆ นะ ดูจากการออกแบบถุงหิ้ว (ถุงกระดาษ) ก็ทำซะดีเชียว ป๊ำนูนโลโก้ร้านซะด้วย เราก็จะไปต่อกันที่ ย่านออฉาด ซึ่งจริงๆ ก็เป็นแหล่งช็อปปิ้ง แต่เนื่องจากสาวๆ ในกลุ่มเรา เน้นแต่ถ่ายรูป ไม่เน้นช็อป เราจึงวางแผนกันว่า จะแวะไปแค่ขอเก็บภาพเท่านั้น (ไม่ขอเสียตังอะไรเด็ดขาด) แต่ด้วยความโชคดี (อีกแล้วครับท่าน) นอกจากได้แค่ถ่ายรูปหน้าห้างออฉาดแล้ว พวกเรายังได้ไปเก็บรูปและบรรยากาศสวยๆ จากมุมสูง ของสิงคโปร์ แบบไม่ได้ตั้งใจ แถม "ฟรี" กันอีกด้วย
เดินทางกันจากร้าน Song Fa ด้วยรถไฟใต้ดิน SMRT เช่นเคย เกือบจะหลง (จริงๆ ก็หลงแล้วนั่นแหละ) ยังดีที่ถามคนแถวนั้นก่อนจะขึ้นจากสถานี ว่าข้างบนนี่ใช่ห้างออฉาดที่เราจะไปกันหรือเปล่า ปรากฏเราเข้าใจผิด อ้าวก็สถานีมันชื่อออฉาดนี่นา ทำไมไม่ใช่สถานีนี้ล่ะ? เขาบอกว่าเราต้องเปลี่ยนขบวนและนั่งต่อไปอีกนิดนึง พอเราลงมาแล้ว เพื่อความชัวร์ เราเลยถามกันอีกต่อ ปรากฏว่าเรามาถูกแล้ว แถมยังได้คำแนะนำดีๆ มาอีกว่า ถ้าอยากถ่ายรูป ในมุมสูง วิวสวยๆ ให้ขึ้นไปขึ้นลิฟต์ที่ชั้น 4 ของห้างออฉาดนี่สิ มันจะขึ้นไปยังชั้นที่ 55/56 ซึ่งเป็นจุดชมวิวได้ แถมฟรีด้วยนะเธอ ว้าววว! ช่างโชคดีอะไรเพียงนี้ สาวๆ ก็ใช้เวลาเก็บภาพที่หน้าห้างออฉาดไม่นานนัก แล้วเราก็เลยไปตามลายแทงที่คุณลุงใจดีบอกมา ปรากฏว่าจริงๆ ด้วยครับ แถมเรายังโชคดีไปตรงเวลาที่เขาเปิดให้ขึ้นกันอีกด้วย
จุดชมวิว (ฟรี) ที่เราได้ขึ้นมานี้ ชื่อว่า "Ion Sky" ซึ่งอยู่บนห้างออฉาดชั้นที่ 55/56 โดยจะมีลิฟต์ยิงตรงขึ้นมาได้เลยจากชั้น 4 แต่เขาเปิดเป็นเวลานะ แล้วแต่ละรอบ ก็จะค่อยๆ ปล่อยคนขึ้นลิฟต์มาด้วย ไม่ใช่นึกจะขึ้นก็ขึ้นได้เลย วันที่เราไป และช่วงที่เราไป เขาเปิดรอบให้ขึ้นตอน 15:00 น. พอดี คือพอดีกับที่เราไปนั่นแหละ แต่ถ้าใครจะไปตอนไหน ลองเช็กข้อมูลดูก่อนนะ เขาอาจจะไม่ได้เปิดในเวลานั้น เพราะเห็นว่าเขาจะเปลี่ยนช่วงเวลาให้ขึ้นไปเรื่อยๆ อยู่เหมือนกัน
บน "Ion Sky" ก็คล้ายกับหอคอย (Tower) ที่ไว้ให้นักท่องเที่ยวขึ้นมาชมวิวทั่วๆ ไป คือบนนี้เป็นกระจกใสล้อมรอบ (มันมีร้านอาหารบนนี้ด้วยนะ ใครอยากกินหรูๆ ก็ลองมาใช้บริการกันได้) แถมยังมีเครื่องชมวิว ที่เป็นคล้ายๆ กล้องส่องทางไกล ให้เราส่องดูวิวโดยรอบ หรือจะเลือกช่วงเวลาต่างๆ ของวัน เพื่อชมวิวในบรรยากาศที่ต่างไปก็ได้เช่นกัน (กล้องเป็นข้อมูลที่บันทึกไว้แหละนะ น่าจะไม่ใช่ภาพสด) ซึ่งสาวๆ ก็ใช้เวลาอยู่บนนี้กันนานมาก ถ่ายมุมโน่นมุมนี้กันอย่างสนุกสนาน คือถ้าเทียบแล้ว จุดชมวิวที่นิยมกันอย่างบนโรงแรม Marina Bay Sand เอง ก็อาจจะไม่ได้วิวสวยเท่านี้ เพราะความสูงก็น่าจะพอๆ กัน แถมถ้าเราไปอยู่บน Marina Bay Sand เองแล้ว เราก็ไม่เห็นตัวมันเองสิ แต่จาก Ion Sky นี่เห็นนะเออ
กว่าจะลงมาจาก Ion Sky กันได้ ก็เกินกำหนดเวลาตารางไปเกือบครึ่งชั่วโมง สถานที่ต่อไปที่เราจะไปกัน ค่อนข้างอยู่โดดออกไปจากที่อื่น (เมื่อดูจากแผนที่) แปลว่าเราต้องใช้เวลาเดินทาง ทั้งไปและกลับ เพื่อสถานที่นี้นานกว่าที่อื่นนั่นเอง ซึ่ง... ถือว่าเราไม่น่าเสียเวลากับจุดนี้กันเลย เพราะพอไปถึงแล้ว จุดที่เห็นจากในหนังสือ มันอยู่ตรงไหนไม่รู้ แถมต่อให้พยายามหา ก็เป็นไปได้ว่าเขาปิดให้บริการไปแล้ว เราจึงได้แต่เก็บภาพเท่าที่จะพอหามุมกันได้จากแถวๆ นั้น
สถานที่ที่ว่านี่ก็คือ Botanic Garden ซึ่งตอนแรกเราเข้าใจว่ามันน่าจะเป็นแนวๆ สวนพฤกษศาสตร์ มีต้นไม้ ทุ่งดอกไม้ สวยๆ ให้เป็นพรอปถ่ายภาพ แต่พอโผล่ขึ้นไปถึงแล้ว เรากลับเจอสวนศาธารณะ อารมณ์คล้ายๆ สวนลุมหรือสวนรถไฟบ้านเราแทน ซึ่งความจริง ก็ต้องชื่นชมนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของสิงคโปร์เขานะ ขนาดบ้านเขาเป็นเกาะเล็กๆ (พอๆ กับภูเก็ตบ้านเรา) แต่เขาก็ให้ความสำคัญกับต้นไม้อย่างมาก ไม่ว่าจะการออกแบบอาคาร สถานที่ต่างๆ รวมถึงสวนสาธารณะกลางเมืองแบบนี้ด้วย การรักษาดูแลก็ทำอย่างเป็นระบบ คือคนใช้บริการก็มี แต่เราก็เจอคนดูแลสวนในสัดส่วนที่เยอะเลยทีเดียว
หลังจากค่อนข้างผิดหวังจากการไปถึง Botanic Garden กันแล้ว เราก็ลงมานั่ง SMRT ต่อกันแบบยาวๆ (ยาวจนหลับเกือบทุกคน) เป้าหมายถัดไปของเราก็คือ "Marina Bay" landmark หลักของสิงคโปร์นั่นเอง ซึ่งจริงๆ เราก็ไม่ได้วางแผนว่าจะไปดูอะไรบ้างที่ Marina Bay ก็คิดแค่ว่าเดินไปเรื่อยๆ เจออะไรก็แวะถ่ายรูป (สาวๆ เน้นกันแต่ถ่ายรูป) ก็แบบลุ้นเอาดาบหน้าละกัน อะไรทำนองนั้น
ถึงจะไม่ได้อะไร แต่ก็ยังดีที่เราบรรลุอีกภารกิจที่ผู้เขียนก็ตั้งใจไว้เหมือนกัน ว่าถ้ามาจะต้องไม่พลาด และเราก็เจออย่าง...ค่อนข้างบังเอิญ เพราะไม่ได้จงใจ เดินมาเจอก็ ก็เจอ 55 นั่นก็คือ "คุณลุงขายไอติมแม็กโนเลีย" ตรง Helix Bridge ไม่ได้กินเวียเน็ตต้า แต่ได้ไอติมคุณลุงแทน ก็แทนกันได้แหละน่า ไอติมก็มีหลายรส เป็นไอติมประกบเวเฟอร์ #แบบนี้ก็ได้เหรอ แต่งงว่า ลุงห่อพลาสติกมาให้ผมนี่นะครับ ห่อแบบห่อจริงๆ นะ ไม่ได้เป็นถุงหรืออะไรด้วย แล้วอิพลาสติกนี่ก็ทำให้กินยากได้อีก ไม่ได้ช่วยอะไรเล้ย ทีหลังลุงน่าจะขายไอติมยัดไส้ขนมปังแทนนะครับ ถือขนมปังก็ไม่เลอะ แถมกินอิ่มกว่าด้วย
แล้วต่อจากนั้น หลังจากสาวๆ เดินไปเจองาน "I Light" ซึ่งก็ไม่ได้เป็นงานยิ่งใหญ่อลังการอะไรเล้ย เป็นแค่ซุ้มแสดงงานศิลปะ ที่ใช้ไฟในการนำเสนอเท่านั้นเอง แล้วก็หามุมถ่ายภาพแล้วภาพเล่า กันอีกพักใหญ่ เราก็ได้มีโอกาสชมการแสดงแสงสีเสียง ที่เขามีแสดงเป็นประจำตอนค่ำๆ กันด้วย คือใครอยู่แถวนั้น (ถ้าเป็นนักท่องเที่ยว) ก็คงหยุดดูกันหมดแหละนะ ถึงจุดที่เราดูจะไม่ใช่จุดที่ดี แต่ก็คงโอเคระดับหนึ่งแหละ ก็มีคนยืนดูกันเยอะแยะ....
ต่อจากนั้น เราก็เริ่มการตามหาเป้าหมายถัดไป ซึ่งก็ไม่ใช่อะไร "ข้าวเย็น" สิคร้าบ ค่ำแล้ว หิวกันแล้วล่ะ ซึ่งจากจุดที่ได้ยืนดูการแสดงแสงสีเสียงที่ว่า (ใกล้กับ Marina Square) เราก็เดินไปกันอีกไกลพอสมควร แต่ถึงจะเดินไกล (แบบไม่ได้ตั้งใจ จริงๆ คือกะจะหา food court ที่ใกล้ที่สุดเท่านั้นล่ะ) เราก็พบว่าการเดินทางช่างคุ้มค่า 55 เพราะเราพบกับศูนย์อาหารที่ "ใหญ่มากกก" อลังการงานสร้างตั้งแต่ที่เราเจอมาในสิงคโปร์เลยก็ว่าได้
Rasapura Masters Food Court เป็นศูนย์อาหารที่อยู่ในห้าง The Shoppe ใน Marina Bay Sand นี่เอง ในนี้มีอาหารหลากหลายมาก (แอบอ่านเจอมาว่า เป็น 24HR Food court ซึ่งมีอาหารจาก 24 Local ด้วยล่ะ) ซึ่งบรรยากาศที่สัมผัสได้ อย่างแรกเลยคือคนเยอะมาก อาจจะเพราะนี่เป็นค่ำวันเสาร์ด้วยแหละ ทั้งนักท่องเที่ยวทั้งคนสิงคโปร์เองก็คงออกมาหาของกินนอกบ้านเหมือนกัน อย่างที่สองซึ่งเตะจมูกมาก ก็คือกลิ่นอาหารนั่นเอง หรืออาจจะด้วยความหิว อิอิ แต่ไม่หรอก อาหารเขาเยอะจริงๆ ซึ่งก็มีหลายร้านที่กลิ่นช่างยั่วยวนเสียเหลือเกิน แต่... ก่อนเราจะได้ไปมีความสุขกับการรับประทานอาหาร เราต้องผจญทุกขเวทนากับการตามล่าคว้าดาว เอ้ย ตามล่าหาโต๊ะนั่งให้ได้ก่อน ซึ่งบอกเลยว่าเป็นเรื่องยากมาก โดยเฉพาะกลุ่มใหญ่ที่มากันตั้ง 5 คนแบบกลุ่มของผู้เขียน สรุปก็ต้องนั่งแยกโต๊ะกัน มารวมกันตอนที่กินเสร็จกันเกือบหมดแล้ว
มื้อเย็นนี้เพื่อนของผู้เขียนไม่รู้จะเลือกอะไร เลยขอจัดข้าวมันไก่อีกรอบ (ไม่เข็ด) นี่เช้าวานมรึงก็ข้าวมันไก่รอบที่สองไปอีกมื้อแล้วนะ แต่ก็ไม่เสียเที่ยวที่ลองข้าวมันไก่ที่นี่อีกมื้อ เพราะเห็นบอกว่ารสชาติโอเคเลยทีเดียว เนื้อไก่เหมือนเคลือบซอสอะไรบางอย่างมาอยู่แล้ว (ไม่เกี่ยวกับน้ำจิ้ม) แต่ติดตรงถ้าเทียบราคาและปริมาณ ก็ดูจะน้อยไปหน่อย เอาน่า ของดีก็แพงแบบนี้ล่ะ หุหุ ส่วนผู้เขียนเองก็ขอจัดเต็ม ซัดอาหารอิตาเลี่ยนกันสักมื้อ (แต่เมนูดูญี่ปุ่นยังไงไม่รู้นะ) เป็นแซลมอนย่างซอส + ข้าวห่อไข่ ซึ่งขอบอกว่า "อร่อยยยยยย" แซลมอนได้มาแบบเต็มๆ ย่างก็ชุ่มกำลังดี ข้าวห่อไข่ก็โอเค เป็นมื้อที่ happy ที่สุดในทริปนี้แล้วล่ะ (หรือเพราะหิว) ><
จบจากของคาว บอกแล้วว่ามื้อนี้เราจะขอจัดเต็ม ผู้เขียนเลยไปตามล่าหาของหวานกับเพื่อนกันต่อ เลยไปได้ไอติมมาแบ่งกันกินกับเพื่อนๆ แอบมีดราม่าเล็กๆ กับป้าร้านขายไอติมด้วยล่ะ 55 ซึ่งไอติมก็อร่อยจนเพื่อนถามเลยทีเดียวว่าซื้อจากร้านไหน คือผู้เขียนจัดลูกที่เป็นรส mint คนเดียวอะนะ อีกสองลูกให้เพื่อนแบ่งกัน แต่เพื่อนกินลูกที่เป็น mocha (แต่เข้าใจว่าเป็นรสช็อกโกแล็ต) ติดอกติดใจจนต้องถามหาชื่อร้าน น่าเสียดายที่ไม่ใช่แบรนด์ที่มีขายในไทย ไม่อย่างนั้นคุณเพื่อนคงมีภารกิจตามล่าหาไอติมเจ้านี้ในไทยอย่างแน่นอน
เสร็จจากมื้อเย็น (เสียที) ที่ถัดไปที่เราตั้งใจจะไปกันก็คือ Singapore Flyer ก็ไม่ได้ขึ้นไปนั่งชมวิวบนนั้นหรอกนะ (มันแพง ตั้ง 33 SGD แน่ะ) แต่สาวๆ ก็อยากไปถ่ายรูปกันตามระเบียบ แถมด้วยภารกิจเล็กๆ ซึ่งอ่านมาจากเว็บพันทิปก็คือ "การตามหาตู้กดน้ำฟรี ใต้ Singapore Flyer" ออกจาก Rasapura Masters Food Court มาจริงๆ ก็เดินไปหา Singapore ไม่ยากอะไร แต่เราก็ยังต้องถามเขาเพื่อความชัวร์อีกเช่นเคย ซึ่งพี่คนนึงที่เราถาม ดันเปิด Google Maps ให้เราดูซะอย่างนั้น โถ ถ้าเปิด Maps นี่ พวกผมก็เปิดกันเองได้คร้าบ (แต่ทั้งทริปก็ไม่เห็นมีใครใช้ Maps นะ)
เดินกันพอเหนื่อย เราก็มาถึง Singapore Flyer กันจนได้ และสาวๆ ก็ตามหาตู้กดน้ำ (ในตำนาน) เจอกันด้วยแหละ พอแวะกดน้ำ ก็เลยนั่งสุมหัวประชุมกันอีกครั้ง ปรึกษากันว่า วันนี้ก็ดึกแล้ว เรายังไม่ได้ไปที่ที่อยากไปกันอีกตั้งหลายที่ Merlion แบบจะๆ ก็ยังไม่ได้ไปถ่ายรูป Super Tree อีกล่ะ Garden by The Bay ก็อีก ไหนจะน้ำพุแห่งโชคลาภ โอ้ย เยอะแยะไปหมด พรุ่งนี้ ซึ่งเป็นวันสุดท้าย แต่ดูเหมือนว่าการเดินทางของเรายังไม่สิ้นสุด เราคงต้องวางแผนเที่ยวกันจนถึงนาทีสุดท้ายแล้วล่ะ (ซึ่งก็สุดๆ จริง) เราก็เลยตกลงกันว่า งั้นสำหรับคืนนี้ก็คงพอแต่เพียงเท่านี้ ก็กลับโรงแรมพักผ่อน เก็บข้าวเก็บของ พรุ่งนี้หลังจากตื่นมา check out โรงแรมแล้ว เราก็จะมาตะลุยสิงคโปร์ กันอีกรอบ ก่อนกลับ....
มีทริคเล็กๆ ที่เพิ่งรู้จากทริปนี้อีกอย่างคือ พวกเราซื้อน้ำหนัก load ของในเที่ยวบินขากลับกันไว้แหละ แต่... ไม่มีใครเอากระเป๋าใบใหญ่ๆ ที่จะใส่ของฝากพอกันเลยสักคน ซึ่งที่จริงของฝากก็หนักไปที่ของกินแหละ สาวๆ เล่นซื้อช็อกโกแล็ต (เป็นกระปุก) จากมาเลเซีย (เมื่อวานซืน) มากันตั้งคนละหลายกระปุก รวมแล้ว 13 กระปุกแน่ะ ไหนจะ Lego ของผู้เขียนกับเพื่อนอีก ถึงจะกล่องไม่ใหญ่ แต่รวมกันก็พอสมควรอยู่ดี จึงไม่มีกระเป๋าใครจะใส่ไหวแน่ๆ เราเลยหาวิธีว่าจะขนของฝากเหล่านี้กลับกันอย่างไร...
วิธีที่คิดกันได้ก็คือการหาลังแล้วแพกมันไว้โหลดลงใต้เครื่องซะ ซึ่งเราก็ได้ร้านขายของชำใกล้ๆ โรงแรมนี่แหละ เป็นที่เพิ่ง มีขายครบถ้วนทั้งลัง เชือก กระดาษกาวไว้ปิดลัง ค่าเสียหายก็พอสมควร ลังขนาดกลางๆ ใบนึง + เชือกปอม้วนเล็กๆ ม้วนนึง + กระดาษกาวม้วนนึง เจอไป 3.8 SGD แต่ก็แลกกับความสะดวกอะนะ ภารกิจของพวกเราในค่ำคืนที่ 4 นี้ก็จบลงด้วยการหาซื้อลังที่ว่านี่แล...
Day 5 เก็บตก และ... ลาจาก
วันสุดท้ายของพวกเราในสิงคโปร์ ก็เริ่มกันแต่เช้า (วันนี้ผู้เขียนแอบเลต อิอิ) แต่ก็ถือว่าทำเวลาได้อย่างที่ตั้งใจ คือออกจากโรงแรมกันตั้งแต่ 8:30 น. (นี่เช้าแล้วรึ?) หลังจาก check out อะไรๆ กันเรียบร้อย โรงแรมนี่ก็ check out ง่ายดีนะ แค่เราเอา keycard ไปคืน ก็จบ ไม่เห็นต้องรอตรวจห้งตรวจห้องอะไรเลย (นี่ถ้าแอบหิ้วกาต้มน้ำติดกระเป๋ามาเขาจะรู้ไหมเนี่ย?) และก็ใช้บริการฝากของกับทางโรงแรม แน่นอนว่าเราคงไม่แบกกระเป๋าไปเที่ยวด้วยทั้งวันอะนะ ซึ่งระบบฝากของของทางโรงแรมก็ดูปลอดภัยใช้ได้ ถึงเขาจะไม่รับผิดชอบของมีค่า (เช่นโน้ตบุ๊ก) คือเห็นกระเป๋าเราที่เป็นกระเป๋าใส่โน้ตบุ๊กนี่เขาก็ทักเลย แต่ก็มีใบมาให้ แล้วก็กองของเราแยกไว้เป็นสัดส่วน ห้องก็มีคนเฝ้าตลอด ก็...โอเค้
เป้าหมายแรกของเราวันนี้ก็คือ "ของกิน" อีกแล้ว อิอิ เป็นโจ๊กเจ้าดัง ซึ่งวันก่อนคุณเพื่อนอ่านให้ฟังจากหนังสือท่องเที่ยวที่ชีๆ ติดมือกันมาเล่มเดียวนั่นแหละ ซึ่งก็อยู่ที่ศูนย์อาหาร Maxwell ที่เดียวกับข้าวมันไก่เจ้าดังอะแหละ แล้วเราก็ถือโอกาสกลับไปเยี่ยมเยียน Chinatown และวัดพระเขี้ยวแก้วยามกลางวันไปด้วยในตัว
การเดินทางก็ราบรื่นดี (แหมก็คนมันเคยๆ) แต่แอบเฟลอย่าง ตรงที่หลังจากกลับมาแล้ว ดันเจอ กระทู้นี้ บอกวิธีไปศูนย์อาหาร Maxwell ที่ดูจะใกล้และง่ายกว่าวิธีที่พวกเราไปกันเยอะเลย (สรุปคือตูอ้อมสินะ) เหอๆ แต่ก็ช่างมันเถอะ ผ่านไปแล้ว ทำอะไรไม่ได้ ฮรืออออ
ในที่สุดเราก็ได้ทานโจ๊กเป็นมื้อเช้ากันสมใจ แต่ว่า... อุปสรรคก็คือโจ๊กนี่แหละ ดูจากปริมาณนั่นสิครับ ใครจะกินหมด... ด้วยความที่เราก็ไม่เคยรู้มาก่อน และดันเจอเพื่อนขู่ว่า ชามเล็ก (3 SGD) มันเล็กมากเลยนะ น่าจะไม่อิ่ม เราก็อืม.. ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว งั้นจัดเต็มเลยแล้วกัน เอาชามใหญ่
(5 SGD) มาเลยละกัน แต่ก็ยังโชคดี ที่สรุปแล้วได้มาแค่ชามกลาง (4 SGD) มา แต่ก็อย่างที่บอก ว่าแค่นั้นก็ดูแววแล้วว่าไม่น่าจะหมด ซึ่งผลก็คือสั่งกันมากิน 4 คน แต่ไม่มีใครกินหมดเลยสักคน ทั้งที่จริงรสชาติก็โอเคนะ (สำหรับผู้เขียน) ก็เป็นโจ๊กแบบโจ๊กฮ่องกง แต่ติดแค่ปริมาณจริงๆ >_<
ผ่านจากมื้อเช้าอันแสนทรมานมากันได้แล้ว เราก็มาแวะวัดพระเขี้ยวแก้ว เพิ่งพิงความสงบจากพระพุทธศาสนากันเสียหน่อย ซึ่งพระพุทธศาสนาก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง สถาปนิกออกแบบวัดได้ร่มเย็นดีจริงๆ (?)
เราใช้เวลาเยี่ยมชมวัดพระเขี้ยวแก้วกันไม่นาน ก็ต้องจำใจลาจาก เวลามันกระชั้นจริ๊งๆ คือได้แค่ชมชั้นล่าง กับบริเวณรอบๆ นิดหน่อยเท่านั้นแหละ เราก็ต้องไปกันต่อแล้ว โดยเราก็แวะซื้อของฝากกันที่ย่าน Chinatown นั่นเอง จริงๆ รอบแรกที่มา ก็เล็งร้านขาย Magnet ที่จะซื้อเป็นของฝากกันไว้แล้วแหละ แต่เช้านี้ที่มารู้สึกว่าร้านเขาจะยังไม่เปิดน่ะ สรุปก็เลยไปได้ Magnet จากอีกร้านนึงแทน ก็เสียตังให้กับ Magnet กันคนละ 3-4 อัน คือเขามีโปรลดน่ะ ปกติชิ้นละ 2 SGD แต่ถ้าซื้อ 3 ชิ้น ลดเหลือ 5 SGD ก็เลยจัดกันมาคนละหลายชิ้นอย่างที่ว่า... และร้านขาย Magnet นี้ ก็เป็นร้านขายของฝากร้านเดียวที่เราได้แวะกันในทริปนี้ ร้านเดียวจริงๆ (ไม่นับร้านขนมนะ) จึงเป็นสาเหตุว่า ทำไมไม่ได้ของฝากดีๆ เจ๋งๆ อะไรติดไม้ติดมือกันกลับมาเล้ย ได้แค่ที่ติดตู้เย็นมานี่นะ (แอบโดนแม่เฉ่ง)
ถัดจากร้านขายของฝากย่าน Chinatown เราก็กลับไปยัง Marina Bay กันอีกรอบ เมื่อวานมาตอนค่ำ วันนี้ก็เลยอยากกลับมาเก็บบรรยากาศตอนกลางวัน (ถ่ายรูปชัดๆ) กันอีกครั้ง ซึ่งวันนี้เราขึ้นจาก SMRT คนละสถานีกับเมื่อเย็นวาน เลยทำให้ได้มุมถ่ายรูปอีกวิวนึง และพอสาวๆ ถ่ายรูปกันจนหนำใจแล้ว ก็มาตกลงกันใหม่ว่า เราเปลี่ยนแพลนจากที่จะไปที่อื่นต่อ เป็นขออยู่กับแถวนี้ คือซื้อตั๋วขึ้นรถรางพาเที่ยว ไปชม Garden by The Bay Flower Dome Super Tree กันดีกว่า ซึ่ง ณ ตอนนั้น ก็เหลือเวลาอยู่ราว 2 ชั่วโมง
เมื่อเรามาถึง Garden by The Bay ก็พบความจริงอันโหดร้ายว่า ถ้าจะเข้าชมด้านในแต่ละส่วน ซึ่งก็เป็นสวนจำลองเขตพืชพันธุ์ต่างๆ ล้วนแล้วแต่ต้องเสียตังเพิ่มทั้งสิ้น เราเลยได้แค่เดินๆ รอบๆ แล้วถ่ายรูปในมุมที่พอจะเก็บภาพได้กัน และแล้วเวลา 2 ชั่วโมงของพวกเราก็ผ่านไป แต่ความสนุกมาอยู่อิตอนหาทางกลับนี่แหละคร้าบ ตอนมาน่ะนั่งรถรางมา แต่ตอนกลับไม่รู้จะกลับยังไง ออกทางเดิมก็ออกไม่ถูก เลยถามเขาละกันว่าไอจะไปสถานี SMRT น่ะ ไปยังไง เขาก็บอกๆ ให้เดินๆ เราก็อืมๆ แต่พอเดินไป (แวะถ่ายรูปไป) ก็หลงจนได้ ป้ายบอกทางก็วกวน แถมมองไปทางไหนก็มีแต่ต้นไม้ (ยังกับหลงป่า) กว่าจะโผล่ออกมาเจอจุดที่พอคุ้นตาได้ ก็เดินกันมาไกลเกินกว่าจะหารถกลับเสียแล้ว เพราะว่า จุดที่เราขึ้นรถมาน่ะ ก็อยู่ข้างหน้านี่เอง (อ้าว!)
สรุปคือขาไปนั่งรถ (เสียค่ารถด้วย) แต่ขากลับดันเดินกลับกันมาซะงั้น (ได้ข่าวว่ารถเขาให้นั่งวนได้นะ) แถมเวลาก็กระชั้นชิด ก็ต้องรีบๆ เผ่นมาขึ้น SMRT และกลับไปโรงแรมให้ทันเวลาที่ตั้งไว้ เพราะเราต้องรีบไปสนามบินให้ทันเวลา check in กันอีก ซึ่งก็ถือว่าประมาทกันพอสมควร คนอื่นเขาต้องเผื่อเวลาที่สนามบินกันหลายๆ ชั่วโมง อิกลุ่มนี้เผื่อเวลาแค่ไปให้ทันก่อนปิด check in อะคิดดู๊ และกว่าจะถึงโรงแรมเอาของที่ฝากไว้ กว่าจะเผ่นไปถึงสนามบิน มันก็นาที (เกือบๆ) สุดท้ายจริงๆ ถึงเคานต์เตอร์ check in 5 นาทีก่อนเขาปิด :O
แต่ในที่สุดก็รอดมาขึ้นเครื่องกันได้แบบไม่ได้มีปัญหาอะไร ถ้าตกเครื่องนี่ต๊าย... ทริปนี้ของพวกเรา ก็เลยจบลงด้วยความเหนื่อยหอบแต่เพียงเท่านี้
สรุปสุดท้าย
การเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศครั้งแรกของผู้เขียนทริปนี้ ก็ถือเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ ได้ครบทุกรสชาติ ตั้งแต่ดราม่าในขั้นการวางแผน ตื่นเต้น (เหรอ?) กับการเดินทางโดยสารเครื่องบินพาณิชย์เป็นครั้งแรก (Low-cost กันเลย) เหนื่อยหอบ กับการเดิน เดิน และเดิน เที่ยวในสิงคโปร์และมาเลเซีย (นิดนึง) จากปกติที่ใช้ชีวิตด้วยการเดินวันละไม่ถึง 1000 ก้าว (วัดจาก Mi Band) ไปเที่ยวทริปนี้ เจอไปวันละ 1xxxx ก้าว ถือว่าเป็นอะไรที่โหดมาก (ถึงสำหรับหลายคนเดินแค่นี้ก็เดินเป็นปกติอยู่แล้วในหนึ่งวันก็ตาม)
ได้กินอาหารแปลกใหม่ที่ไม่เคยทาน (บักกุ๊ดเต๋) หรือมื้อพิเศษๆ อย่างอาหารใน Rasapura Masters Food Court ที่ถึงกับต้องชมว่า "อร่อยยย" ได้พักในโรงแรมระดับ 4 ดาว ซึ่งสิ่งอำนวยความสะดวกก็ถือว่าดี ความสะอาดก็ดี (แม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดทุกวัน) ที่ตั้งก็ดี อยู่บนสถานีรถไฟใต้ดิน SMRT เลย เดินทางเหนื่อยๆ ขากลับมาโรงแรมในแต่ละวัน ขึ้นมาจากรถไฟใต้ดินแล้ว ก็ไม่ต้องถ่อสังขารเดินต่อให้เมื่อยตุ้ม เข้าโรงแรมได้เลย และส่วนที่ขาดไม่ได้ก็คือ การได้เดินทางและท่องเที่ยว ร่วมกับเพื่อน ทั้งปกติและคนพิการ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็ก้วนเพื่อนๆ จากมหาลัยนี่แหละ ถึงสมัยมหาลัยจะไม่เคยไปเที่ยวไหน (กันเอง) กับเพื่อนกลุ่มนี้ก็ตาม การได้มาเที่ยวถึงต่างประเทศ (จริงๆ เราก็ได้ไปกันถึงสองประเทศเลยนะ) แถมด้วยสองสวนสนุก (Lego Land + Universal Studios) ก็ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ มากมาย แน่นอนว่าต่างจาก Dream World หรือสวนสยามบ้านเราเยอะ (แต่พวกสวนน้ำสวนสนุกใหม่ๆ ที่ผุดเป็นดอกเห็นตามต่างจังหวัดในไทยผู้เขียนก็ยังไม่เคยไปอะนะ)
ดังนั้นทริปนี้จึงเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ก็อยากเก็บไว้ "ครั้งหนึ่งในชีวิต" จนมาหลังขดหลังแข็งเขียนเป็นบล็อกนี้เสียยืดยาวขึ้นมาแหละ (รวมแล้วร่วมร้อยกว่าหน้าเลยนะ!!!)
สุดท้ายก็คงต้องขอขอบคุณ 'ผู้ใหญ่ใจดี' ที่เป็นผู้มีอุปการะคุณ สนับสนุนค่าใช้จ่าย ถึงจะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็ถือเป็นตัวตั้งตัวตีที่ทำให้เกิดทริปนี้ขึ้นมาได้ รวมถึงเพื่อนๆ ทุกคน ที่อุตส่าห์ทนความงี่เง่า เอาแต่ใจ ขี้บ่น เรื่องมาก ฯ ของข้าพเจ้ามาได้ ตั้งแต่ต้นจนจบทริป
โดยสรุปแล้ว "สิงคโปร์" ก็เป็นประเทศที่น่าสนใจดี ถึงแม้ใครจะมองว่าเป็นแค่เกาะเล็กๆ หลายคนอาจจะสงสัยว่า "แค่สิงคโปร์ ไปทำอะไรตั้ง 5วัน?" แต่บอกได้เลยว่า แค่ 5 วันเนี่ยยังน้อยไป น้อยไปมากๆ ด้วยซ้ำ หากเราจะเที่ยวที่เกาะเล้กๆ ที่ว่านี้ให้ทั่วถึงล่ะก็...
คือหลังจากไปเที่ยวกลับมาแล้ว ผู้เขียนนี่อ่านกระทู้พันทิปรีวิวสิงคโปร์ รัวๆ เยอะกว่าตอนก่อนไปเสียอีก หุหุ คือก็ไม่ได้จงใจหาอ่านอะไรนะ ก็เห็นเพราะเขาขึ้นกระทู้แนะนำทั้งนั้น แล้วก็พบว่า มันมีอีกหลายที่มากๆ ที่น่าสนใจ และเราก็ไม่ได้ไปกันเลย ทั้งที่สวยๆ ไว้ถ่ายรูป ทั้งที่เที่ยวที่เป็นกิจกรรม มีทั้งกิจกรรมเบาๆ จนถึงกิจกรรมผจญภัยแบบโหดๆ เขาก็มี คือเป็นประเทศเล็กๆ แต่ดูครบมากๆ
ส่วนที่ชอบก็คงจะเป็นความสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเขา อย่างนึงที่เห็นได้ชัดคือ ตามถนนหนทางไม่มีหมาหรือแมวจรจัดเลย รถเข็นขายของก็ไม่มี เลยจะสังเกตว่า กลุ่มของผู้เขียนเองไม่ได้เจอร้านแบบพื้นถิ่น (local) ที่เป็นอาหารสิงคโปร์จริงๆ เลย เนื่องจากไม่ได้ไปยังย่านที่มีร้านแบบนั้น และเขาก็ไม่มีร้านข้างทางรัวๆ แบบในไทย เลยได้กินแต่ตาม Food court ><
แถมบ้านเขายังใส่ใจกับเรื่องสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างเช่นสวนสาธารณะที่ผู้เขียนได้แวะไป หรือจะเป็นย่าน Temple Street ที่เป็นคล้ายย่านสีลม สาทร บ้านเรา แต่ฟุตปาธ ดูดีกว่าบ้านเราเยอะ แถมมีสวนหย่อมอยู่ในทุกตึกทุกอาคาร ขนาดคนที่เรียนออกแบบเอง ยังชมเลยว่าสิงคโปร์นี่ให้ความสำคัญกับ green design มากๆ นอกจาก green design แล้ว ความเป็น universal design ของเขาก็ดีไม่แพ้ใคร ถึงจะไม่ได้มี BrailleBlock ทุกถนน แต่ในสถานที่สำคัญๆ ก็เข้าใจว่ามีหมดนะ และมีในแบบที่ใช้งานได้จริง เพราะนอกจากจะไม่มีร้านค้ามาตั้งขวางทางเดินแล้ว ต้นไม้หรือเสาไฟฟ้า ก็ไม่พบว่ามันจะมาขวางทางเดินเท้าเช่นกัน
ป.ล. ไม่เข้าใจว่าบ้านเขามีนโยบายให้ใช้น้ำหอมปรับอากาศกลิ่นเดียวกันทั้งประเทศหรือไร รู้สึกว่าไปที่ไหน ไม่ว่าจะโรงแรม จะห้าง จะบนเกาะ Sentosa ก็ได้กลิ่นน้ำหอมปรับอากาศกลิ่นที่ว่าอยู่ตลอดเวลา นี่ถ้ามีขายจะซื้อกลับมาเป็นที่ระรึกจริงๆ นะเนี่ย